เวลาล่วงเลยไปเกือบเดือนเอมอรเริ่มปรับตัวให้เข้ากับสภาพความเป็นอยู่ทุกอย่างได้มากขึ้น และเริ่มสนิทและกล้าที่จะเปิดใจคุยกับกันมากขึ้นกว่าเดิม แต่สิ่งที่เธอไม่เคยพูดถึงเลยก็คือเรื่องเกี่ยวกับชาติกำเนิดที่แท้จริงของเธอ
เช้าวันนี้พ่ออาคมกับน้องชายและญาติ ๆ ของเธอช่วยกันทำลานนวดข้าว โดยการถากถางตอซังข้าวออกจากพื้นที่ที่จะทำเป็นลานนวดข้าวให้หมดแล้วเก็บกวาดเศษต่าง ๆ ออกให้เกลี้ยงเหลือไว้เพียงหน้าดินแข็ง ๆ จากนั้นนำขี้ควายเปียกมาเทไว้เป็นกอง ๆ แล้วนำน้ำมารดให้เปียกชุ่มใช้เท้าเปล่าเหยียบย่ำอยู่บนกองขี้ควายแล้วเกลี่ยทาให้ทั่วพื้นที่
‘แค่ยืนมองก็รู้สึกจั้กจี้เท้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไหนจะกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ของมันอีก’
จากนั้นนำไม้กวาดที่ทำจากหญ้าที่พ่อของเธอเรียกมันว่าต้นขัดมอนหรือหญ้าขัดมากวาดเพื่อให้ผิวดินฉาบไปด้วยขี้ควายทั้งหมด เสร็จแล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณสองสามวันให้ขี้ควายแห้งก็สามารถขนมัดข้าวเข้ามาไว้ในลานนวดได้ ขี้ควายผสมกับน้ำเมื่อแห้งแล้วจะเกาะกับผิวดินแน่นคล้ายกับฉาบปูน ทำให้เวลานวดข้าวเสร็จแล้วสามารถกวาดเมล็ดข้าวใส่กระสอบได้ง่าย
สามวันต่อมาก็ขนมัดข้าวมาไว้ที่ลานนวดซึ่งการขนข้าวจะใช้ไม้คันหลาวที่ทำจากไม้ไผ่เหลาปลายแหลมทั้งสองด้านเพื่อสอดมัดข้าวเข้าไปแล้วหาบมาไว้ที่ลานนวดข้าว
เธอรู้สึกว่าการขนมัดข้าวมันช่างยากเย็นแสนเข็ญสำหรับเธอตัวก็เล็กต้องมาหาบข้าวข้ามคันนาแถมบางที่ตอซังข้าวก็สูงเกือบถึงอกกว่าจะเดินถึงลานนวด เมล็ดข้าวครูดร่วงระหว่างทางไปตั้งเท่าไหร่ ไหนจะล้มลุกคลุกคลานอีก
กันเดินขึ้นมาจากนาตัวเองเพื่อมาสอดส่องดูเอมอร เห็นคนตัวเล็กจับมัดข้าวสอดเข้าไม้คันหลาวทั้งรู้สึกขัดหูขัดตาปนสงสาร
“เอามานี่ข่อยสิซอย” (เอามานี่ผมจะช่วย) ชายหนุ่มแย่งไม้คันหลาวจากหญิงสาวแล้วยกขึ้นบ่าตัวเอง
“เอามาใส่อีก” กันบอกเอมอรเมื่อเห็นมัดข้าวอยู่ในไม้คันหลาวซึ่งมีแค่ข้างละสามฟ่อน
“ก็มันหนักนี่นา” เอมอรบอกชายหนุ่มใบหน้าสวยเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ
“นั่นล่ะเอามาใส่อีกสิหาบให้นิ่แหม” (นั่นแหละเอามาใส่อีกจะหาบให้นี่ไง) เอมอรจึงเอามาใส่อีกให้ครบข้างละสิบฟ่อน ช่างแตกต่างกับเธอลิบลับ
กันหาบไปหลายเที่ยวพอรู้สึกเหนื่อยก็มานั่งพักใต้ต้นไม้กับเอมอร
“เดี่ยวสิเฮ็ดปี่ให้เป่า” (เดี๋ยวจะทำปี่ให้เป่า) กันเลือกตอซังข้าวมาปล้องเดียวแล้วทำอะไรกับมันสักอย่างแล้วก็ส่งให้เธอเป่า พอเธอเป่าแล้วมันเกิดเสียงเขาก็หัวเราะ
“ของเล่นเด็กน้อย” เขาหาว่าเธอเป็นเด็กแล้วก็เอามือมายีผมเธอเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู เอมอรเอียงศีรษะออกเพราะเกรงว่าคนอื่นจะมองเห็น เป็นครั้งแรกที่เธอเริ่มรู้สึกหวั่นไหวกับการกระทำของเขา
“ปะ สิพาไปเก็บหมากเล็บแมว”
“หึ ฉันกลัวผี”
“ผีอยู่ไส บ่อมีดอก ลุกสิพาไปนิ่” (ผีอยู่ไหน ไม่มีหรอก ลุกขึ้นจะพาไปเนี่ย) เขาเร้าหรืออยู่สักพักเอมอรจำต้องเดินตามคนร่างใหญ่ไปแบบกล้า ๆ กลัว ๆ เอมอรเดินก้มหน้าตามหลังเขาตลอดทางไม่กล้ามองดูสิ่งรอบ ๆ ตัวพอไปถึงต้นเล็บเหยี่ยวที่อยู่ริมป่าช้าสายตาจับจ้องอยู่เฉพาะต้นของมันเพียงอย่างเดียวมือข้างหนึ่งเก็บลูกของมันมืออีกข้างจับชายเสื้อเขาไว้แน่นเพราะกลัวคนตัวโตจะวิ่งหนี กันมองดูเธอแล้วได้แต่อมยิ้มในความขี้กลัวของว่าที่ภรรยา ยังคิดหวั่นใจถ้าไปอยู่กับเขาแล้วจะทนแรงกดดันพ่อของเขาได้หรือเปล่า
“มันกำลังสิวายแล้ว” (มันกำลังจะวายแล้ว) กันบอกผลของมันกำลังจะร่วงหมดเพราะกำลังจะหมดฤดูกาลของมันแล้วแต่ก็ยังเหลือเยอะพอที่จะเก็บกินได้ ผลของมันเริ่มมีแต่ผลสีดำเต็มต้นแต่เก็บได้ทีละลูกสองลูก เพราะถึงจะเยอะแค่ไหนก็ใช้มือรูดไม่ได้ทั้งต้นเต็มไปด้วยหนามเขาบอกว่าถ้าจะให้ดีต้องเอากระด้งมาด้วยแล้วใช้ไม้เคาะกิ่งให้ผลสุกมันร่วงลงมา เอมอรลองเก็บผลของมันมาแล้วลองกินดูเหมือนเขาทำ รสชาติก็เหมือนกับที่ยายแพงบอก หวานอมเปรี้ยวอร่อยดี แต่รู้สึกว่าเนื้อผลของมันจะน้อยไปหน่อยเวลากินต้องเคี้ยวเมล็ดมันเข้าไปด้วย
หลายวันต่อมาหลังจากขนข้าวเสร็จก็จะเป็นขั้นตอนการตีข้าวโดยใช้ไม้หนีบข้าวลักษณะเป็นไม้สองท่อนขนาดพอดีมือผูกเชือกติดกันแล้วคีบเข้ากับมัดข้าว ระยะเวลาฟาดข้าวจนเอาข้าวขึ้นยุ้งฉางเสร็จก็ใช้เวลาเกือบสิบวัน แยกเก็บเป็นข้าวเหนียวข้าวจ้าว
‘เย้! เสร็จไปหนึ่งงาน’
กว่าจะเสร็จน้ำตาแทบกระเด็นเป็นการทำงานที่ไม่มีวันหยุดเอาเสียเลย มือไม้ไม่ต้องพูดถึงทั้งแตกทั้งด้าน ส่วนแขนขานั้นเอมอรทาด้วยน้ำมันมะพร้าวที่กันเอามาให้เธอเขาน่าจะใช้วิธีสกัดร้อน เธอก็เลยใช้ทาแทนโลชั่นทาผิวด้วยเลย เหมือนมีกลิ่นขนมหวานติดตัวอยู่ทั้งวัน
คืนนั้นแม่อวนต้มไก่บ้านใส่ใบส้มป่อยลักษณะคล้ายใบชะอมมีหนามเหมือนกันแต่เปลือกผิวของมันมีสีแดงให้รสชาติเปรี้ยวมากพร้อมกับเสิร์ฟสาโทที่ยายแพงหมักไว้กินเอง
“ยายคะ ทำแบบนี้ไม่ผิดกฎหมายเหรอคะ” เอมอรถามยายเมื่อเห็นทุกคนกำลังดื่มน้ำสีขาวขุ่นและกลิ่นมันโชยเข้าจมูก
“ผิดตั้ว เฮ็ดแล้วกะเซียงไว้” (ผิดสิ ทำเสร็จแล้วก็ซ่อนไว้)
“ซ่อนไว้ไหนตำรวจถึงจะไม่เจอล่ะยาย”
“ในเล้า” (ในยุ้งข้าว) ยายแพงชี้มือไปทางยุ้งข้าว เอมอรจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ขอหนูชิมนิดนึงได้ไหมคะ” เอมอรอยากรู้ว่ารสชาติมันจะเหมือนน้ำสีเหลืองอำพันที่เธอเคยลองดื่มกับเพื่อน ๆ ตอนสมัยเรียนหรือเปล่า
“อย่ากินหลายเด้อ มันแซบแท้เด้แต่กะเมาบ่อรู้เรื่องคือกัน” (อย่าดื่มเยอะนะ มันอร่อยมากเลยนะแต่ก็เมาไม่รู้เรื่องเหมือนกัน) ยายแพงเอ่ยเตือนหลานสาว
เอมอรรินใส่แก้วเพียงนิดเดียวแล้วยกขึ้นมาจิบเพื่อให้รู้รสชาติ
“อร่อยอะยาย ขออีกได้ปะ” รสชาติมันหวานหอมถึงแม้จะมีกลิ่นแอลกอฮอล์แต่รวม ๆ แล้วคืออร่อย ดื่มง่ายกว่าเหล้าอื่น ๆ ที่เธอเคยลองมาเป็นไหน ๆ
“นั่น กูว่าแล้ว” เอมอรดื่มเข้าไปอีกเต็มแก้วพอรู้สึกว่ามึนศีรษะจึงรีบเข้าไปนอน ยายแพงได้แต่มองตามหลังหลานสาวอย่างขัน ๆ ระคนเอ็นดู
“ตะนี่มานี่กูว่าอีนางอรมันฮู้จักความขึ้นหลายเด้อวน มึงว่าเบ๊าะ” (เดี๋ยวนี้กูว่าอีนางอรมันรู้ความขึ้นมากเลยนะอวน มึงว่าปะ) ยายแพงหันไปคุยกับลูกสาว
“เอ๊อ ข่อยกะเบิ่งมันอยู่นี่ล่ะแม่ ข่อยกะเห็นคือกัน ถ้ามันเป็นจั่งซี่ตะทีแรกปานนี่มันกับบักกันแต่งงานกันไปตะโดนแล้ว” (เอ๊อ ฉันก็ดูมันอยู่นี่ล่ะแม่ ฉันก็เห็นเหมือนกัน ถ้ามันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ทีแรกมันกับไอ้กันแต่งงานกันไปตั้งนานแล้ว)
เสร็จจากนาข้าวแล้วก็เริ่มเข้าหน้าแล้งแบบจริงจังชาวบ้านก็ไม่ได้ทำการเพาะปลูกอะไรต่อ ยกเว้นบางบ้านที่มีสระน้ำหรืออยู่ใกล้ห้วย หนอง คลอง บึงก็จะปลูกผักไว้กินเอง ส่วนมากไม่ค่อยได้ซื้อ แม่อวนบอกว่าปลาทูเข่งละสามบาท ปลากระป๋องก็กระป๋องละสามบาท ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เอมอรยังไม่เคยเห็นหน้าตาสองสิ่งนี้เลย กับข้าวส่วนมากมีแต่เมนูปู ปลา ไก่ หอยและก็พืชตามท้องไร่ท้องนา ผักสารพัดตามไร่นาแม่อวนก็เก็บมาใส่แกงอ่อมได้หมด ตอนนี้เธอแทบจะลืมไปแล้วว่าแครอทกับบล็อคเคอร์รี่หน้าตามันเป็นยังไง
นอกจากชาวบ้านจะปลูกผักแล้วก็คือการเลี้ยงวัวเลี้ยงควายตามไร่นาที่เก็บเกี่ยวข้าวออกไปแล้ว บางพื้นที่ปลูกอ้อยก็เริ่มดายหญ้าอ้อยกันบ้าง
นาของเอมอรติดกับนากันและนากันก็ติดกับลำน้ำที่มีระยะทางยาวไหลผ่านซึ่งในลำน้ำแห่งนี้มีปลาหลากหลายชนิด คนในหมู่บ้านที่เธออาศัยอยู่และหมู่บ้านใกล้เคียงต่างพากันมาหาปลาที่ลำน้ำแห่งนี้กันทั้งนั้น