ในคืนวันหนึ่งหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จกันหาทางที่จะมาคุยกับแดงต้อยเรื่องที่เขากำลังจะแต่งงานกับเอมอร แต่ความจริงเขาก็รู้กันไปทั้งหมู่บ้านแล้วล่ะ
“อ้ายกันสิแต่งงานกับอีเอมอรติ” (พี่กันจะแต่งงานกับอีเอมอรเหรอ) แดงต้อยเอ่ยถามขึ้นก่อนเมื่อเจอหน้าคนรัก หลายวันแล้วที่เขาไม่ได้มาหาเธอ
“แมน อ้ายขัดเฒ่าพ่อบ่อได้” (ใช่ พี่ขัดคุณพ่อไม่ได้) กันสีหน้าดูเศร้าลง ก่อนจะคุยกับแดงต้อยอีกไม่กี่คำก็ขอตัวกลับ พอกันกลับไปแดงต้อยก็นั่งพิงเสาร้องไห้อยู่คนเดียว จนแม่ได้ยินเสียงสะอื้นจึงเดินออกมาดู
“มึงไห้เฮ็ดหยัง” (มึงร้องไห้ทำไม)
“กะอ้ายกันลาวสิแต่งงานเนาะแม่” (ก็พี่กันเขาจะแต่งงานนี่คะแม่)
“เอ๊อ กะเฮามันจนคิดซะว่าเขาบ่อแมนคู่เฮา เซาไห้ ๆ เข้าไปนอน” (เอ๊อ ก็เรามันจนคิดซะว่าเขาไม่ใช่คู่เรา หยุดร้องไห้ ๆ เข้าไปนอน) แม่ของเธอลูบผมลูกสาวเบา ๆ แล้วส่งเธอเข้าห้องนอน
ช่วงบ่ายคล้อยวันหนึ่งป้าแจ้งเดินมาหาหลานสาวที่กำลังเกี่ยวข้าว
“สิพาไปหาปลาข่อน ไปนำบ่อ” (จะพาไปหาปลาขาดน้ำ ไปด้วยไหม) ป้าแจ้งเอ่ยถามหลานสาว เอมอรหันขวับไปมองหน้ากันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วขมวดคิ้ว เขาอมยิ้มเหมือนรู้ทันว่าเธอคงไม่เข้าใจที่ป้าแจ้งพูด
“ไปบ่อล่ะ สิพาไป” (ไปมั้ยล่ะ จะพาไป) กันไม่ได้ตอบแต่ถามเธอกลับมา เอมอรจึงพยักหน้า ตอนนี้กันเริ่มชวนเอมอรไปไหนมาไหนด้วยมากขึ้น แต่ก่อนแค่เห็นหน้ายังอยากจะเดินหนี
ป้าแจ้งถือถังน้ำใบหนึ่งมาด้วยแล้วเดินนำหน้าไปตามคันนาที่เต็มไปด้วยหญ้าคา ขาของเธอเริ่มจะเป็นแผลเพิ่มขึ้นมาอีกแล้วเพราะโดนหญ้าคาบาด แต่เธอก็ฝืนเดินต่อไปไม่ยอมหยุด คนร่างใหญ่ที่เดินนำไปก่อนก็คอยหันมามองเธออยู่บ่อยครั้งและพยายามเดินให้ช้าลง
พอมาถึงเอมอรเห็นปลาจำนวนมากทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักรวมกันอยู่มุมหนึ่งของนาข้าวที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว แต่น้ำกำลังจะแห้งเหือดไปจากมัน
“ป้าจะเอามันไปปล่อยเหรอคะ” เอมอรเอ่ยถามเพราะเห็นปลาส่วนมากตัวไม่ใหญ่มาก และบางตัวกำลังตะเกียกตะกายขึ้นมาบนบกตัวมีแต่ดินแห้งกรังเกาะอยู่คล้ายกำลังจะตาย
“บ่อ…ปล่อยเฮ็ดหยัง กะเอาไปไว้ถ่ากินตั้วเนาะ กินบ่อเหมิดกะเฮ็ดปลาแดกซั่นตั้ว” (ไม่…ปล่อยทำไม ก็เอาไปไว้สำหรับทำกินสิ กินไม่หมดก็ทำปลาร้าสิ)
เอมอรสังเกตว่ายุคนี้ไม่นิยมขายของหรือจ้างงานกัน ส่วนใหญ่จะเป็นลงแขกหรือไหว้วานกันและแบ่งอาหารกันกิน อาหารการกินทุกอย่างไม่เคยได้ซื้อ หาอะไรได้จากธรรมชาติก็สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้เกือบหมดไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ ขนาดเปลือกต้นมะกอกป่า ต้นแค ยังสามารถนำมาตำกินได้
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอยังไม่ได้ใช้เงินสักบาทเพราะของใช้ส่วนตัวต่าง ๆ ในบ้านแม่อวนเป็นคนหาซื้อมาซึ่งก็มีแค่ไม่กี่อย่างดีหน่อยที่ยังมีผ้าอนามัยบางคนที่ยากจนจริง ๆ เขาก็ไม่ซื้อปล่อยให้ระดูเปื้อนผ้าถุงไปหมด
‘เธอคือคนที่โชคดีแล้วนะ’
เธอไม่เคยได้กินขนมจุบจิบ กับข้าวกับปลาที่กินอยู่ทุกวันก็ได้มาจากพ่อและน้องชายไปหามาไว้ให้แม่อวนประกอบอาหาร แต่สิ่งที่เธอกินไม่ได้เลยตอนนี้ก็คือหนู วันก่อนน้องชายของเธอเพิ่งไปหามา แม่ทำแกงอ่อมใส่สะเดาทุกคนบอกว่ามันอร่อยมากแต่ว่าเธอขอปล่อยผ่านเพราะรสชาติมันขมมาก
กันกับป้าแจ้งช่วยกันจับปลาจนเนื้อตัวเปื้อนโคลนไปหมด เอมอรจะลงไปช่วยเพราะดูแล้วน่าสนุกดีแต่เขาห้ามไว้เพราะกลัวเธอจะเลอะ
“มันสิห้าวขา อย่าลงมา” (ขามันจะแห้งตึง อย่าลงมา) กันบอกกับเธอแบบนี้
กว่าจะจับเสร็จก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมงได้ปลามาเกือบเต็มถัง ปลาที่เธอพอรู้จักก็น่าจะมีปลาหมอ ปลาดุก ปลาช่อน และปลากระดี่ นอกนั้นมันหน้าตาไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่
ตกเย็นแม่อวนทำต้มยำปลาช่อนน้ำใสสไตล์อีสานให้เธอกิน โดยการต้มทั้งตัวขอดเกล็ดอย่างเดียวใส่มะกอกป่า มะกอกป่าจะทำให้น้ำแกงสีขาวขุ่นเล็กน้อยให้รสชาติเปรี้ยวอมหวานและฝาดเล็กน้อยแต่รวม ๆ แล้วคือแซ่บนัว เอมอรยอมรับว่ามันก็อร่อยไปอีกแบบ แม่อวนตักแยกถ้วยต่างหากเพราะแกชอบใส่ผักแขยงลงไปด้วยให้รสชาติหอมเผ็ดร้อนขึ้นมาอีก
หลังจากทานมื้อค่ำเสร็จพ่อกับแม่ของเธอกำลังเตรียมจะเข้านอนเพราะบ้านเธอไม่มีโทรทัศน์ ถ้าอยากดูก็ต้องไปอาศัยบ้านคนอื่นแต่ถึงมีก็ดูได้แค่สองช่องแถมเป็นสีขาวดำอีก
เดี่ยวกับทองเพื่อนของกันมาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่แถวบันไดเรือนสักพักก็เดินตามกันขึ้นมาบนบ้าน พ่อกับแม่รู้ได้ทันทีว่าว่าที่ลูกเขยกำลังจะมาจีบลูกสาวตน
“หล้าไปเอายาสูบมาให้อ้ายแหมะ” (หนูไปเอายาสูบมาให้พี่สิ) แม่อวนบอกเอมอร เธอจึงไปจัดเตรียมใส่จานมาให้พร้อมกับไม้ขีดไฟ ทั้งสองพันยาสูบสูบคนละมวนแล้วนั่งถามคุยสารทุกข์สุกดิบอยู่สักพักแล้วกันก็เดินตามหลังขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย พอยาสูบหมดมวน เดี่ยวกับทองก็เดินลงเรือนไปเหลือแค่กันเพียงคนเดียว นี่เป็นประเพณีจีบสาวสมัยก่อนที่ต้องมีเพื่อนขึ้นไปคุยเปิดทางให้ก่อน จากนั้นจึงปล่อยให้หนุ่มสาวได้คุยกันสองต่อสอง
‘เฮ้อ! ขั้นตอนจะเยอะไปไหนแอบคุยไม่ได้ด้วยนะ’
นี่เป็นครั้งแรกที่เอมอรได้นั่งคุยกับกันอย่างเป็นทางการ เขายื่นขวดบางอย่างให้กับเธอ
“เอาอั่นนี้มาให้” (เอาอันนี้มาให้) เอมอรรับจากมือเขามาดูมันเหมือนน้ำมันอะไรสักอย่าง
“มันคืออะไรอะ”
“น้ำมันเอาไว้ทาแผลตามแขนขา มันสิเฮ็ดให้แผลเซาไวขึ้น” (น้ำมันเอาไว้ทาแผลตามแขนขา มันจะทำให้แผลหายเร็วขึ้น) กันคงสังเกตว่าเธอมีแผลอยู่เต็มแขนขาไปหมด
“ขอบคุณค่ะ” เอมอรพูดแล้วยิ้มละมุนให้เขา ในสายตากันตอนนี้เขามองว่าเอมอรเป็นผู้หญิงที่ดูน่ารักและน่าค้นหาคนหนึ่ง ผิดกับเอมอรคนก่อนที่คอยผลักเขาออกห่างอยู่ตลอดเวลา
ทั้งสองนั่งคุยกันจนดึกดื่นไม่รู้ว่าสรรหาเรื่องอะไรมาคุยกันคนหนึ่งพูดภาษากลางอีกคนพูดภาษาอีสานบางครั้งต่างคนก็ต่างสอนภาษาให้กัน เอมอรคงเหงาที่มาอยู่ที่นี่แล้วไม่มีเพื่อนคุยพอมีคนมานั่งคุยด้วยก็คงรู้สึกดีขึ้น ส่วนกันจากคนที่ไม่ค่อยพูดพอมีคนชวนคุยก็คุยไม่หยุด จนแม่อวนต้องเดินออกมา เพราะหลับไปหลายตื่นแล้วเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับ
“บ่อพอเมียแล้วติหล้า มันเดิกแล้วเด้อ” (ไม่ถึงเวลากลับแล้วเหรอหนุ่ม มันดึกแล้วนะ) โดนแม่ไล่กันก็ยิ้มอาย ๆ แล้วขอตัวกลับบ้านไปอย่างอิดออด
“ข่อยเมียเกิ่นเด้อ มื่ออื่นจั่งสิมาใหม่” (ผมกลับก่อนนะ พรุ่งนี้ค่อยจะมาใหม่) กันเริ่มรู้สึกว่าการได้คุยกับเอมอรมันก็สนุกดี ดูเธอเป็นผู้หญิงที่มีความรู้และหัวทันสมัย บางมุมเธอก็เหมือนเอมอรที่เขาเคยรู้จักแต่บางมุมก็เหมือนเธออยู่คนละโลกกับเขา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาเข้าไม่ถึงเธอ
หลังจากวันนั้นตอนกลางวันกันก็ไปช่วยเอมอรเกี่ยวข้าว บางวันก็ไปเกี่ยวข้าวที่นาตัวเองบ้าง ตกตอนเย็นก็มานั่งคุยกับเธอเกือบทุกคืน ความจริงแล้วกันไม่จำเป็นต้องมาบ้านเอมอรแบบนี้ก็ได้ รอให้ถึงวันแต่งงานทีเดียวก็ย่อมได้ แต่เขาอยากจะมาหาเธอเองวันไหนที่กันไม่ได้คุยกับเอมอรแล้วมันรู้สึกกระสับกระส่ายจนนอนไม่ค่อยหลับ