พอตั้งสติได้ก็รีบดันตัวออกห่างพี่คิวในมือยังคงจับมือถือของเขาไว้แน่น หัวใจเริ่มเต้นรัวไม่เป็นจังหวะราวกับเป็นพวกเมียน้อยที่กลัวโดนเมียหลวงจับได้
"ห้ามเปิดนะ" ฉันรีบบอกออกไปเพราะกลัวว่าเขาจะเลื่อนกระจกลง ยัยคะนิ้งก็เอาแต่เคาะแล้วยืนยิ้มกริ่มเพ่งมองเข้ามาในรถ แต่คงมองไม่เห็นเพราะรถของเขาติดฟิล์มดำหนาทึบ
นอกซะจากว่า...มันจะขยับเข้ามาส่องดูใกล้ๆ และมันก็ทำจริงๆ
"น่ารำคาญจังวะ" ได้ยินเขาบ่นออกมาอย่ารำคาญคิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากันจนนูนและมีรอยย่น
ก๊อกๆ
ยัยนั่นยังคงเคาะกระจกไม่เลิก ดูแล้วรถเขาก็ราคาหลักล้านแน่ๆ ถ้าเป็นคนหวงรถคงอยากกระทืบเต็มทน
"ทะ...ทำไงดี" น้ำเสียงของฉันเริ่มติดขัดจนอีกคนหันมามองแล้วทำหน้าเครียดกว่าเดิม
"..." พี่คิวเงียบเขาถอนหายใจออกมาแรงๆแล้วหันมาบอกฉัน รั้งศีรษะของฉันให้ก้มลง"กลัวขนาดนั้นก็หลบ"
"..." ฉันรีบโน้มตัวลงไปมุดหน้าอยู่บนตักของเขา ด้วยหัวใจเต้นรัวอย่างกับเด็กที่กำลังทำผิดแล้วกลัวการถูกทำโทษ ฝ่ามือเล็กเริ่มชุ่มเหงื่ออีกครั้งเมื่อพี่คิวเลื่อนกระจกลงแต่คงแค่นิดเดียว
เขาวางแขนลงบนแผ่นหลังของฉันเอาไว้ ไม่รู้ว่าคะนิ้งจะมองเห็นมั้ยแต่เพราะตรงนี้เป็นจุดจอดรถที่ค่อนข้างมืดพอสมควรอาจจะมองไม่เห็นหรอก
"พี่คิวจริงด้วย มาทำอะไรหอนี้คะ" เสียงของยัยนั่นดังขึ้นมาเหนือศีรษะ น้ำเสียงที่คุยกับพี่คิวต่างกันลิบลับกับเวลาคุยกับเพื่อน
"มีอะไร" เอาจริงๆนะขนาดฉัรยังฟังออกเลยว่าเขาไม่ชอบใจ แต่ยัยคะนิ้งมันจะรู้มั้ย
"นิ้งมาหาเพื่อน เอ่อ พอดีรถเสียพี่ไปส่งได้มั้ยคะ" เสียได้ถูกจังหวะจริงๆ เลยนะ ฉันไม่ได้อคติกับมันหรอกแต่ยังไงก็ดูออกว่ามันอยากให้เขาไปส่ง
"..." จังหวะที่เขาเงียบฉันแทบจะเป็นบ้ารีบกระตุกชายเสื้อของเขาเพื่อบอกว่าฉันไม่โอเค เขาคงไม่ใจร้ายขนาดนั้นนะ "ฉันไม่สะดวก"
"งั้น...พี่คิวตอบไลน์นิ้วบ้างนะคะ เดี๋ยวทักไปหา"
"ถ้าฉันไม่ตอบแปลว่าไม่อยากคุย"
ทำไมฉันรู้สึกไม่ดีจังที่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ รู้สึกสงสารเพื่อนตัวเองที่มาชอบคนแบบพี่คิว
แล้วพี่คิวก็เลื่อนกระจกขึ้นขับรถออกมาจากตรงนั้นปล่อยให้คะนิ้งยืนทึ่งกับการกระทำของเขาที่ไม่แคร์ยัยนั่นเลย
"วันนึงก็รู้ ทำไมต้องกลัว" พี่คิวถามขึ้นตอนที่ขับรถออกมา
เขาก็พูดได้สิ คนที่จะโดนเพื่อนเกลียดคือฉันไม่ใช่เขา
"ยัยนั่นจะไม่รู้ ถ้าเราไม่ต้องมาเจอกันอีก" ความรู้สึกของฉันตอนนี้มันเหมือนคนที่มีความผิดใหญ่หลวงเลย
รู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก
"นับวันฉันยิ่งอยากเจอเธอมากขึ้นด้วยสิ คงทำแบบนั้นไม่ได้" คนพูดยิ้มออกมาเหมือนทีเล่นทีจริง
"ถามหน่อยเถอะ ทำแบบนี้ทำไม ชอบเตยเหรอ" ฉันเริ่มหงุดหงิดแล้วนะ ตอนนี้มันคืออะไรกันแน่ ยิ่งนับวันยิ่งสับสนไปทุกที
"คงจะใช่"
พอเขาตอบแบบนั้นฉันก็พูดอะไรไม่ออก พยายามจะไม่หวั่นไหวแต่กลับทำไม่ได้ ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังเผยรอยยิ้มขึ้นหันมามองเมื่อเห็นว่าฉันเงียบ จึงต้องรีบหลบสายตาแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างแทน
"เลิกเจ้าชู้ให้ได้ก่อนเถอะ ผู้หญิงทักมาตลอดเวลาแบบนี้" ที่รู้เพราะตอนนี้โทรศัพท์มือถือของเขาอยู่ในมือฉัน แค่จับมันไว้ไม่ถึงสิบนาทีคนทักมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามคน
"ฉันไปเจ้าชู้ให้เห็นตอนไหน" พูดแบบนี้แปลว่าไม่ทำให้เห็นหรือเปล่า "คนที่ทักมาฉันตอบมั้ยลองเปิดดู"
"เปิดดูทำไม ไม่ได้สนใจพี่คิวขนาดนั้น" พูดไปอย่างนั้นแต่สายตาฉันแอบมองอยู่ว่ายัยพวกนั้นมันทักมาด้วยเหตุผลอะไร
ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆทำไมต้องอยากรู้ด้วยนะ
"ไม่สนใจจริง?"
"อืม..."
พอฉันตอบออกไปมุมปากเขาก็ยกขึ้นทันที เกลียดหน้าแบบนี้ที่สุดเลย เหมือนจะสื่อว่าคำพูดของฉันมันไม่เป็นความจริงอย่างนั้นแหละ
"พี่ไม่กลับห้องเหรอ" พอกลับมาถึงหอฉันเขาก็เดินตามขึ้นมา ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงเปิดเครื่องปรับอากาศยี่สิบองศาแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดจนถึงคอ
ค่าไฟฉันหลายพันแน่!
"ไปด้วยกันมั้ย ห้องฉันน่านอนนะ เตียงก็กว้าง เสียงดังก็ได้" ชวนจริงหรือแค่กวนประสาท แต่ที่พูดมานั่นมันไม่สื่อถึงอย่างอื่นเลยนอกจากเรื่องบนเตียง
"ปกติก็ชวนผู้หญิงไปแบบนี้สินะ ไม่ไปหรอก ไม่อยากไปนอนทับที่คนอื่น"
"ไม่เคยพาใครไปเลย" เกลียดการปฏิเสธหน้านิ่งๆแบบนี้จัง ทั้งที่ตัวเองเป็นคนกะล่อนแท้ๆ
"..." ฉันไม่พูดกับพี่คิวต่อ เดินหนีไปเก็บกวาดห้องแล้วเอาผ้าลงไปซัก และในนั้นก็มีเสื้อผ้าของเขาที่ถอดทิ้งไว้ด้วย รับบทเมียจำเป็นอีกแล้วฉัน
พอกลับขึ้นมาบนห้องเขาก็หลับไปแล้ว ฉันจึงนอนดูซีรี่ย์อยู่ข้างๆเพราะไม่มีอะไรทำ รอลงไปเอาเสื้อที่ซักไว้มาตาก
ครืด~ ครืด~
โทรศัพท์มือถือของพี่คิวที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นเตือนขึ้นมาเมื่อมีสายเรียกเข้า แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมตื่นฉันจึงต้องเดินไปหยิบมันแล้วเอามายัดใส่มือของเขา
"มีคนโทรมา"
"รับเลย..." เขาบอกน้ำเสียงงัวเงียโดยที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองเลยแม้แต่นิดเดียว คงเพลียมากละมั้งเมื่อคืนเขานอนดึกกว่าฉันเพราะมัวแต่ทำงานส่งอาจารย์ เห็นบอกว่าอาจารย์จะดูความคืบหน้าของโปรเจ็คที่กำลังทำอยู่ แล้วยังตื่นเช้ากว่าด้วย
"ให้รับได้ไง เตยไม่รู้จักจะคุยรู้เรื่องมั้ย"ฉันพูดพลางมองชื่อที่แสดงขึ้นมาบนหน้าจอ คงเป็นผู้ชายซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนของเขา
"รับไปเถอะ..." เขาพูดงึมงำแล้วดึงผ้าห่มขึ้นไปคลุมโปงตัวเอง
'ฮ่องเต้'
ชื่อนั้นยังคงโทรเข้ามาเรื่อยๆ แต่อีกคนก็ไม่สนใจจะรับสายเลยซักนิด
"..." พี่คิวยังคงเงียบและหลับตาพริ้ม สายนั้นก็ยังคงดังขึ้นอีกรอบ
"ตอนนี้พี่คิวหลับอยู่ค่ะ" ฉันตัดสินใจกดรับสายแล้วรีบบอกออกไปทันที
(เอ้า ไอ้นี่ งั้นน้องบอกมันหน่อยว่าจองโต๊ะไว้แล้วต้องไปก่อนสองทุ่ม) ผู้ชายคนนั้นพูดเร็วจนฉันฟังเกือบไม่ทันแต่ก็ต้องตอบออกไปอย่างมึนๆ
"ค่ะ"
(บอกมันไปให้ทันด้วยเพราะเขาจะนับแค่คนที่ไปก่อนสองทุ่มไม่งั้นได้ยืนแน่)
"ค่ะ" ฉันพูดได้แค่คำเดียวเพราะคนที่อยู่ปลายสายแทบไม่ให้ฉันต้องออกความเห็น สั่งอย่างเดียว
(โอเค งั้นแค่นี้นะ) พูดจบเขาก็วางสายไปเลยทันที ขณะที่ฉันยังคงสับสนอยู่
แล้วปลายสายนั่นไม่คิดสงสัยหน่อยเหรอว่าฉันเป็นใคร หรือว่ารู้จักเพื่อนเขาดีอยู่แล้ว อาจจะอยู่กับผู้หญิงบ่อยจนเพื่อนขี้เกียจสงสัย
"พี่คิว ตื่นมาฟัง" ฉันเรียกเขาอีกครั้งแต่เขาคนใต้ผ้าห่มผืนหนาก็ยังนอนนิ่ง จึงต้องดึงผ้าห่มออกจากตัวเขาเพื่อปลุกให้ตื่น
ซักพักพี่คิวก็เริ่มขยับตัวและค่อยๆลืมตาขึ้นมามองเป็นคำถาม
"ใคร"
"ไม่รู้เตยไม่รู้จัก เขาบอกว่าให้ไปก่อนสองทุ่ม"
"อืม แค่นี้ใช่มั้ย"
ฉันพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วยื่นมือถือไปให้เขา แต่กลับกลายเป็นยื่นแขนไปให้เขาดึงแทน
"อ๊ะ! พี่คิวจะทำอะไรฮะ!" ฉันที่นอนทับอยู่บนตัวเขารีบทุบตีขัดขืนแต่พี่คิวก็เอาแต่ยิ้มแล้วพลิกตัวฉันมานอนข้างๆก่อนจะสวมกอดไว้แน่น
"ตื่นเช้าก็นอนพักไง" เขาพูดแล้วกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น
"เตยไม่นอนแล้วปล่อยเลย จะไปตากผ้า"
"ซักให้พี่ด้วยมั้ย" เขาไม่ปล่อยเอาแต่สูดดมตรงนั้นตรงนี้ หอมหัวฉันจนกลิ่นแชมพูจะหายเข้าไปในจมูกเข้าแล้วนะ
"ซักแล้ว" ว่าแล้วฉันก็พยายามดันตัวออกอีกรอบ แต่เขาก็ไม่ยอม สุดท้ายจึงยอมนอนอยู่อย่างนั้น อยากกอดก็กอดไปเลย!
"เมีย"
"ก็พี่ทิ้งเรี่ยราดมั้ย เดี๋ยวก็เอาไปทำผ้าเช็ดเท้า"
"นั่นเสื้อช็อปเลยนะ เดี๋ยวก็ไม่ได้เป็นหรอกเมียเกียร์" เมียเกียร์คือคำเรียกของคนที่เป็นแฟนของพวกเด็กวิศวะนั่นแหละ
"เตยไม่อยากเป็นสักหน่อย"