หมายเหตุ นักเขียน
นิยายเรื่องนี้ผู้เขียนได้แต่งขึ้นมาจากจินตนาการของตนเอง ไม่อิงประวัติศาสตร์ หลักความเป็นจริง สถานที่ ขนบธรรมเนียมประเพณี และตัวละครไม่มีอยู่จริง รวมถึงมีฉากอีโรติกรวมอยู่ด้วย วอนผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน นิยายเรื่องนี้เหมาะกับผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น (อายุ 18 ปี ขึ้นไป) และใช้คำราชาศัพท์เพียงบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากหากใช้ฉบับเต็มรูปแบบอาจจะส่งผลให้ผู้อ่านรู้สึกติดขัด และเข้าใจยาก หรือน่ารำคาญจนเกินไป
ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวนักเขียนเองยินดีรับฟังข้อเสนอแนะ คำติ หรือคำชมเพื่อปรับปรุงแก้ไขในผลงานเล่มต่อไป
[พื้นที่เพื่อความบันเทิง ละเว้นดราม่ากันนะคะทุกคน]
---
๔
องค์รัชทายาทเสด็จ
ไอ้เวรนี่!
"ดูเจ้ามองข้าสิ ราวกับว่ากำลังด่าข้าอยู่"
"ข้า… หม่อมฉันไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย เพคะ"
"หึ เอาเถิด เชิญไท่ฝูเที่ยวเล่นเถิด"
พระองค์จ้องมองใบหน้าของนางไปพลาง อมยิ้มไปพลางนางเห็นแล้วก็น่าหมั่นไส้ยิ่ง เป่าเป้ยหันไปมองท่านพ่อของนางแล้วมองไปทางที่ม้าขององค์รัชทายาทเดินหายไป ข้างหลังมีเหล่าทหารขี่ม้าตามบ้าง เดินกันเป็นขบวนบ้าง ไม่รู้จะยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น ดีแล้วที่เป่าเป้ยคนก่อนตัดสินใจจบชีวิตเพราะไม่อยากข้องเกี่ยวกับองค์รัชทายาทผู้นี้
"เอาเถอะเป้ยเป้ย เราไปกันเถอะ"
"ท่านพ่อข้าอยากกินน้ำตาลปั้น"
ครอบครัวสุขสันต์เป็นครั้งแรกจนเผลอลืมใครบางคนไปเสียสนิท ใครบางคนคนนั้นเดินออกมาจากการหลบมุมนางหวังใจว่าจะได้เห็นองค์รัชทายาทตวาดน้องสาวตน แต่ผิดคาด สายตาที่องค์รัชทายาทมองน้องสาวของนางแม้จะไม่ได้ดูหลงใหล แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจ แม้จะดูเย็นชาแต่ก็ไม่ได้ดูเข้าหายากแบบนั้น เฟยหงกำมือแน่น สิ่งที่นางปรารถนากลับไม่เป็นจริง
ย้อนกลับไปวันนั้น วันที่นางยัดเบี้ยให้กับนางกำนัลฝ่ายในเพื่อที่จะขึ้นเตียงกับองค์รัชทายาทเพราะนางรู้ว่าพระองค์ชื่นชอบสุราในช่วงค่ำคืนเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนางเดินเข้าไปได้เห็นพระองค์กำลังเงื้อดาบฟันคอของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ นางตกใจยิ่งจึงรีบวิ่งออกมา นางกลัวจนตัวสั่นแต่ไม่กล้าปริปากร่ำร้อง กระทั่งกลับมาถึงบ้านเห็นน้องสาวนอกไส้กำลังนั่งชมจันทร์อยู่ที่ศาลาชมจันทร์
นางต้องไปเจอเรื่องเลวร้ายน่ากลัว แต่ตัวกลับนั่งชมจันทร์มีความสุขเสียจริงนะ แล้วยิ่งองค์รัชทายาทผู้นี้ที่ขึ้นเชื่อเรื่องความเอาแต่ใจด้วยแล้ว นางอยากจะส่งนังน้องสาวนอกไส้นี่ไปให้พระองค์ฟันคอเล่นเสียจริง เพราะหากเป่าเป้ยไม่อยู่ในโลกใบนี้แล้ว ความรักของท่านพ่อท่านแม่ที่เคยแบ่งเป็นสองจะได้รวบรวมเอาไว้ที่นางผู้เดียว อีกทั้งสมบัติของท่านพ่อก็มากมายจะได้ตกเป็นของนางเพียงผู้เดียว นางจึงกุเรื่องขึ้นเพื่อป้ายสีน้องสาวตัวเองหวังส่งน้องสาวไปให้องค์รัชทายาทนั่นสังหารเสีย
"ดูท้องเจ้าสิเป้ยเป้ย ราวกับผลแตงโมสุขแล้ว"
"ท่านแม่ ก็ของกินมากมายเช่นนี้ มีหรือที่ข้าจะปล่อยให้ผ่านไปได้" ทุกอย่างที่ผ่านมานางอยากกินทุกอย่าง อีกทั้งนางยังแบ่งให้กับเว่ยหยันกินอีกด้วย นางช่างมีน้ำใจเสียจริง ปกติแล้วแม้จะไม่ได้รังเกียจเว่ยหยันแต่นางก็เป็นคนถือตัวอยู่มากโข
"ข้าก็ว่าอย่างนั้น หากรูปร่างเจ้าเสียทรงคงจะหาสามียากยิ่ง"
"ข้าไม่อยากแต่งงาน ข้าอยากอยู่เที่ยวเล่นกับท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้หรือไร"
"เจ้าปรารถนาเช่นนั้นหรือ" เจียวจิ้นถามบุตรสาว ก่อนจะเหลือบสายตามองเลยไปที่เฟยฉี แล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
"ใช่สิ ข้าอยู่กับท่านพ่อ ท่านแม่ข้าสบายจะตาย หิวก็กิน อยากจะมาเดินเล่นก็มีท่านทั้งสองคอยคุ้มครอง"
"เจ้า ไม่รังเกียจข้าแล้วหรือ"
เฟยฉี ตัดสินใจเอ่ยถามเพราะนางไม่อยากเป็นฝ่ายฉวยโอกาสในตอนที่เป่าเป้ยเลอะเลือนเช่นนี้ แม้เป่าเป้ยจะไม่ทราบเหตุผลว่าเหตุใดเฟยฉีจึงถามนางเช่นนี้ แต่นางมองเข้าไปในดวงตาของเฟยฉีแล้วก็ใช้มือเล็กบอบบางของนางจับมือเฟยฉีเอาไว้
"ข้าต้องรังเกียจท่านด้วยเรื่องอันใด? "
"เพราะข้าเป็นอนุของท่านพ่อเจ้า"
"ไม่ ข้าไม่รังเกียจท่าน"
"แต่ก่อนหน้านี้…" เป่าเป้ยคนเก่าใจร้ายกับนางหรอกหรือ นางก็ออกจะแสนดีปานนี้เหตุไฉนต้องใจร้ายกับนางถึงเพียงนั้น แล้วเหตุไฉนตัวนางเองถึงไม่มีความจำของเจ้าของร่างเลยเล่า
"ก่อนหน้านี้ ข้าอาจจะยังทำใจรับไม่ได้อยู่บ้าง แต่ท่านแม่" ตั้งใจพูดให้นางคลายทุกข์
"ท่านดีกับข้าถึงเพียงนี้ ข้าจะรังเกียจท่านลงได้อย่างไร"
เฟยฉียิ้มทั้งน้ำตา นางซึ้งใจและรู้สึกโล่งใจที่ในที่สุดแล้วนางก็ได้คลายข้อสงสัยในตัวได้แล้ว นางเข้าใจแล้วว่าที่ก่อนหน้านี้เป่าเป้ยไม่แยแส ไม่ยินดียินร้ายกับนางด้วยเหตุที่ยังทำใจรับภรรยาใหม่ของท่านพ่อตนเองไม่ได้ สิ่งที่นางอดทนมาไม่เสียเปล่า
"ข้าว่า เราเลิกพูดเรื่องที่ผ่านมาแล้วดีหรือไม่ ข้าอยากมีความสุขกับตอนนี้แล้ว" นางไม่อยากพูดเรื่องเก่าๆ แล้ว เพราะนางไม่รู้อดีตเลยด้วยซ้ำ แต่นางอยากมีความสุขในช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่นางติดอยู่ที่นี่ หรือแม้แต่ช่วงเวลาในอนาคตของนาง
"เจ้าอยากเที่ยวต่ออีกหรือไม่เป้ยเป้ย"
"ไม่แล้วล่ะ" สองมือของนางข้าวของมากมายโดยเฉพาะของกิน อีกทั้งยังลามไปที่สองมือของเว่ยหยันสาวรับใช้ส่วนตัวของนางอีกด้วย
"งั้นกลับกันเถอะ"
…
หลายวันต่อมา
หลายวันมานี้เป่าเป้ยอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุข นางปรับตัวได้บ้างแล้วแม้จะยังไม่ค่อยชินมากก็ตาม อาการป่วย ของนางก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แม้จะยังต้องกินยาบำรุงอยู่เสมอ แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ท่านหมอพอใจ อีกทั้งนางยังมีเพื่อนที่สนิทก็คือเว่ยหยัน และมารดาเลี้ยงที่ให้ความอบอุ่นกับนางราวกับเป็นมารดาแท้ๆ เพียงเท่านี้นางก็พอใจยิ่ง
"วันนี้คุณหนูอยากไปที่อื่นหรือไม่เจ้าคะ"
"ข้าอยากไปตลาด"
"แต่คุณหนูไปตลาดทุกวันเลยนะเจ้าคะ"
"ก็ข้าอยากเดินเที่ยว อยู่แต่ในจวนเจ้าไม่เหงาบ้างหรือ"
"ข้ามีคุณหนูแล้ว ไม่เหงาเลยเจ้าค่ะ"
เว่ยหยันรู้สึกประทับใจคุณหนูของนางยิ่ง ก่อนที่คุณหนูจะป่วยนางก็ประทับใจในการวางตัวของคุณหนูอยู่แล้ว มายามนี้คุณหนูของนางสดใสและไม่ถือตัวกับนางอีกแล้ว นางยิ่งประทับใจคุณหนูยิ่งกว่าเดิมหลายเท่านัก
"ปากของเจ้า เคลือบน้ำตาลไว้หรือไร เหตุไฉนเจ้าถึงพูดจาน่าฟังเช่นนี้"
เวยหยันบีบนวดที่แขนเรียวเล็กของคุณหนูของนาง ในขณะที่เป่าเป้ยก็นอนคว่ำหน้ารับลมเย็นๆ อากาศสดชื่นบริสุทธิ์พลางปิดเปลือกตาลงเพราะต้องการความผ่อนคลาย
"เสี่ยวเว่ย" เงียบ ไร้เสียงตอบกลับ แต่นางได้ยินเสียงเดินราวกับว่ามีใครหลายคนเดินไปเดินมา ก็คงจะเป็นท่านพ่อกับท่านแม่สินะ ที่สรรหาขนมรสชาติดีมาให้นางได้ลิ้มรส เอ๋ หากไม่ใช่ท่านพ่อกับท่านแม่ของนาง หรือจะเป็นเฟยหงที่มักจะมาหาเรื่องกระแหนะกระแหนนางอย่างเคย
"เสี่ยวเว่ย ข้าว่าจะพูดกับท่านพ่ออีกครั้งว่าจะไม่ยอมแต่งงานกับองค์รัชทายาทผู้นั้นเจ้าว่าดีหรือไม่" น้ำหนักมือของเว่ยหยันค่อนข้างหนักขึ้นราวกับมือของบุรุษ แต่ก็ดีเพราะนางรู้สึกผ่อนคลายยิ่ง
"แม้ท่านพ่อจะบอกแล้วว่า หากข้าไม่เต็มใจท่านก็จะช่วยข้า แต่ข้าก็อยากจะย้ำชัดกับท่านอีกหนเพื่อให้ท่านรู้ว่าข้าพูดจริง เจ้าว่าดีหรือไม่"
เงียบไปแปลกๆ เว่ยหยันของนางคงไม่กล้าออกความคิดเห็นล่ะมั้ง ก็เป็นธรรมดาที่นางจะเงียบเพราะนี่ถือได้ว่าเป็นเรื่องของเจ้านาย แต่มันก็ผิดวิสัยของเว่ยหยันอยู่เพราะว่าโดยปกติแล้วนางจะชอบสอดรู้
"ไฉนเจ้าไม่พูดกับข้า" เป่าเป้ยค่อยๆ หันกลับมาดูปรากฏว่านางต้องตกใจจนแทบหยุดหายใจอีกครั้งเมื่อคนที่กำลังปรนนิบัตินางเมื่อครู่ไม่ใช่เว่ยหยันแต่เป็น…
"อะ องค์รัชทายาท!"
"เจ้า ไม่อยากแต่งกับข้าขนาดนี้เลยหรือ"
ที่จริงพระองค์แปลกใจอยู่บ้างที่นางไม่ได้สิ้นใจไปเสีย ข่าวของนางรู้ถึงหูพระองค์ในเพลานั้นพระองค์ก็พอใจยิ่งที่จะไม่ต้องแต่งกับคนโง่เง่า ไร้รสชาติเช่นนาง หากเสด็จพ่อไม่บังคับใจพระองค์ก็คงจะไม่ตกลงตอบรับไท่ฝูเป็นแน่ แต่ทันทีที่ได้เจอกันที่ตลาดนางกลับทำให้พระองค์นึกถึงนางตลอดเวลา หันไปทางไหนก็เจอแต่หน้านางจนมาวันนี้พระองค์เลยจะมาดูสักหน่อยว่าทำไมพระองค์ถึงเป็นเช่นนั้นได้
แต่เมื่อมาถึงพระองค์กลับได้ยินเต็มสองหูว่านางไม่อยากแต่งกับพระองค์ มันยิ่งทำให้พระองค์ไม่พอพระทัยยิ่ง คนเช่นพระองค์ ผู้ที่อยู่เหนือคนทั้งแคว้นอยู่ใต้เพียงเสด็จพ่อพระองค์เดียวเหตุไฉนนางถึงไม่ต้องการ!
"ข้าไม่ดีอย่างไร" ถามนางโดยที่นางเองก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัว
เป่าเป้ยรีบลุกขึ้นแล้วย่อตัวลงเล็กน้อย สองมือกุมไว้ด้านหน้าเพื่อทำความเคารพระองค์ ปกติที่เคยเห็นจะต้องมีคนร้องบอกก่อนไม่ใช่หรือไร
"เสี่ยวเว่ย!"
"เจ้าไม่เห็นข้าหรือ" เขานั่งหัวโด่อยู่ที่นี่ ทำไมนางถึงเรียกแต่สาวใช้!
เป่าเป้ยทำตัวไม่ถูก นี่เป็นเพียงหนที่สองที่นางได้เจอกับพระองค์ แต่ครั้งนี้กลับมาถูกเนื้อต้องตัวนาง พระองค์เป็นบุรุษที่ใช้ไม่ได้ยิ่ง!
"ข้า… หม่อมฉัน" องค์รัชทายาทยกมือขึ้นโบกไปมา ข้าหลวงธารกำนัลก็ย่อตัวลง และโค้งตัวลง พากันเดินออกไปเหลือเพียงแค่นางกับพระองค์สองคนที่อยู่ตรงนี้
"มานี่"
"ข้า… หม่อมฉันไม่สะดวก"
"ไม่สะดวก? "
"เพคะ"
"เพราะเหตุใด" ทำไมนางถึงไม่อยากอยู่ใกล้เขากัน?
"พระองค์เป็นบุรุษ หม่อมฉันเป็นสตรี หม่อมฉันเคยได้ยินมาว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด ไม่แน่ว่าที่หอหนังสือของพระองค์ไม่มีบอกหรือเพคะ" ร้ายกาจยิ่ง! นางหลอกด่าเขาว่าไม่มีผู้สั่งสอน ไม่มีตำราหาความรู้
"ข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่เจ้ากำลังจะมาเป็นสมบัติของข้าไม่ใช่หรือ"
"หม่อมฉันไม่เป็นสมบัติของใครเพคะ"
"เอาเถอะ มานั่งนี่ นั่งกับข้า"
"แต่!" สายตาขององค์รัชทายาทจ้องนางราวกับว่ามีปลายคมดาบมาจ่อที่ลำคอของนางแล้ว เป่าเป้ยไม่มีทางเลือกนางจึงค่อยๆ เดินไปนั่ง
"ฮึม!"
"ชายหญิง ไม่ควรใกล้ชิดไม่ใช่หรือ" อะ อ้าว ก็เวลารับแขก นางก็นั่งตรงนี้นี่!
"ไว้แต่งเจ้าแล้ว ค่อยมานั่งตรงนี้ก็ยังไม่สาย แต่เพลานี้ เจ้านั่งข้างๆ ข้าก่อนเถิด" นางไม่รู้! ก็พระองค์เป็นคนเรียกให้มานั่ง ตามเดิมแล้วปกตินางก็มักจะนั่งบนตักของลูกค้าอยู่เสมอ!
"เออ… ข้า หมะ หม่อมฉันไม่ทราบ ขอพระองค์โปรดอภัย"
"ไม่เป็นไร ข้าได้ยินมาว่าเจ้าป่วยไข้ หายดีแล้วหรือ" ทำไม? หายดีแล้วจะทำไม?
"หยะ ยังเพคะ หม่อมฉันสุขภาพไม่ค่อยดียังต้องบำรุงอยู่อีกนาน"
"งั้นหรือ" นางคิดว่าเขาโง่สินะ นางพูดเช่นนี้เพียงเพราะไม่อยากร่วมหอกับเขา
"เพคะ" พระองค์จะรู้ไหมเนี่ยว่านางพูดปด
"ไม่เป็นไร เลื่อนออกไปก่อนก็ได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะหายป่วยโดยเร็ว" ยิ่งมองหน้านาง ยิ่งอยากใกล้ชิด ยิ่งได้ใกล้ชิด ยิ่งอยากปกป้อง นางดูบอบบางอ่อนแอเสียเหลือเกิน ตัวของนางเล็กเช่นนี้เขายกนางได้อย่างง่ายดายด้วยแขนเพียงข้างเดียวด้วยซ้ำ
"หม่อมฉันยังต้องรักษาตัวอีกนาน พระองค์ลองสู่ขอแม่นางอื่นดีหรือไม่เจ้าคะ" เสนอความคิดแต่กลับขัดใจใครบางคนยิ่ง!
"ไม่ดี!" องค์รัชทายาทขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะตอบนางกลับน้ำเสียงเย็นเยือก นางทำพระองค์โกรธแล้ว นางจะถูกตัดหัวหรือไม่
"องครักษ์ตง"
"พ่ะย่ะค่ะ" หึย! ใครวะ มาไงเนี่ย เมื่อกี้ยังไม่มีคนอยู่เลย
"ตามหมอหลวงมาให้ข้าที ข้าต้องการรู้ว่านางต้องรักษาตัวอีกนานแค่ไหน" เป่าเป้ยอ้าปากค้าง ไม่คาดคิดว่าพระองค์จะจับผิดนางเยี่ยงนี้
"พ่ะย่ะค่ะ" หะ หายไปแล้วเหลือแค่นางกับพระองค์สองคนเหมือนเคย องค์รัชทายาทไม่พูดอะไรมาก พระองค์นั่งนิ่งๆ แต่ก็สร้างความอึดอัดให้เป่าเป้ยไม่น้อย เพราะมัวแต่นั่งมองใบหน้าของนาง พร้อมกับยังใช้ให้นางรินชาให้พระองค์อยู่บ่อยครั้ง
"วันนี้พระองค์ไม่เสด็จไปเยี่ยมเยียนราษฎรหรือเพคะ" มานั่งกับนางอยู่ได้!
"ข้าทำแล้ว" ทำอะไรเห็นนั่งอยู่นานหลายชั่วยามแล้วไม่ไปเสียที
"ทำแล้ว? "
"อืม" เห็นหน้านางฉงนนักก็ยิ่งได้ใจ
"กำลังทำอยู่"
"แต่"
"เจ้าไม่ใช่ราษฎรของข้าหรือ" พูดจบก็ยกยิ้มเล็กน้อยแล้วจิบชาไปด้วยมองใบหน้าของนางไปด้วย