พูดไป สายตาคมก็จ้องมองเด็กหนุ่มที่นั่งตัวลีบไปด้วย กรอบหน้าของกานต์มีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดพราย เป็นครั้งแรกเลยที่เขาถูกพ่อเลี้ยงดุ มันรู้สึกไม่ดีเลย ถึงมันจะเหมาะสมแล้วก็เถอะ แต่ออสตินจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าแค่ตอนเวลาปกติ เขาก็ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้หวาดเกรงได้มากพออยู่แล้ว ทว่าพอเอ่ยปากดุออกมาพร้อมกับปรายตามองอย่างตำหนิ ก็ยิ่งทำให้กานต์ทำอะไรต่อไม่ถูกจนได้แต่กำมือแน่นแล้วก้มหน้านิ่ง
“เป็นอะไร”
ออสตินถามเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเอาแต่เงียบ และดูท่าทางจะปิดปากเงียบอีกนานแน่ เพราะตอนนี้กานต์เม้มปากแล้ว
“ฉันถามว่าเป็นอะไร”
คำถามที่หลุดออกจากริมฝีปากหนาอีกครั้งนั้นยังคงเรียบนิ่งเช่นเดิม แต่เมื่อกานต์สบตากับดวงตาสีฟ้าคู่สวยนั่น เขาก็ต้องหวาดหวั่นในใจขึ้นมา
ออสตินไม่เคยดุเขาด้วยคำพูดเลย แต่มักจะใช้สายตาข่มขู่ ซึ่ง...มันก็ไม่ใช่สายตาดุดันเช่นกัน เป็นการมองนิ่งๆ แต่กลับมีพลังอำนาจมหาศาลที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องยอมศิโรราบ
“ว่ายังไง จะตอบคำถามฉันได้หรือยัง”
ออสตินประสานมือลงบนตัก ท่าทางนั้นคาดคั้นให้กานต์ต้องเปิดปากพูด
“ผมไม่ชอบ...”
“หืม?”
“ไม่ชอบครับ”
“ไม่ชอบอะไร”
“ไม่ชอบให้คุณดุผม”
กานต์ยอมรับออกไปตามตรงว่าสาเหตุที่เงียบคืออะไร
“แล้วทำอะไรผิดมาล่ะ”
“ผมเกเร”
“เกเรอะไรมา”
“ดื้อกับคุณ”
“ใช่ ขนาดตอนนี้ก็ยังดื้อ”
ออสตินว่า กานต์ครุ่นคิดเป็นพัลวันทันทีว่าทำอะไรผิดนอกเหนือจากการที่ดื้อไปก่อนหน้านั้น
“ฉันบอกอะไรไว้ทำไมถึงไม่รู้จักฝึกให้ชิน”
ตอนนี้เข้าใจชัดแจ้งเลยว่าออสตินหมายถึงเขาดื้อเรื่องอะไร
“ผมขอโทษครับแด๊ดดี้”
รอยยิ้มประดับพรายที่มุมปากของชายหนุ่มทันที
“ใช่ เธอต้องฝึกเรียกฉันว่าแด๊ดดี้ให้ชิน ไม่ใช่เรียกคุณอย่างนั้นอย่างนี้”
“ครับ”
“แล้วเมื่อเช้าทำอะไรผิดมา”
วกกลับเข้าเรื่องเดิมจนได้ กานต์เม้มริมฝีปากแน่นไปครู่ จากนั้นก็เปิดปากพูดก่อนที่จะถูกถามย้ำอีกครั้ง
“ผมไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษกับมาเรีย”
“นั่นสินะ” ออสตินครางรับ “ไม่ยอมพูด มาเรียถามก็อึกๆ อักๆ เดินหนี เป็นอย่างนี้แล้วฉันจะให้เธอไปเรียนปรับพื้นฐานก่อนมาที่นี่ทำไม”
เดาได้ไม่ยากเลยว่าแม่บ้านคนนั้นไปฟ้องพ่อเลี้ยงของเขา อันที่จริงอาจจะเป็นออสตินนี่แหละที่สั่งให้มาเรียคอยสอดส่องแล้วไปรายงาน
“ฉันไม่ได้ให้มาเรียมาทำความสะอาดบ้านอย่างเดียวหรอกนะรู้ไหม” ชายหนุ่มว่าขึ้นมาอีก “แต่ให้หล่อนมาคอยเป็นเพื่อนฝึกภาษาให้เธอก่อนที่เธอจะไปโรงเรียนด้วย เข้าใจหรือยังว่าทำไมฉันถึงได้หัวเสียที่เธอเดินหนีหล่อน”
กานต์พยักหน้า เหลือบตามองอย่างสำนึกผิด
ผู้ชายคนนั้นหวังดีกับเขา ถึงจะดุไปบ้าง ทำเขาอึดอัดเป็นบางครั้ง แต่ทุกอย่างที่ทำให้คือความหวังดีจากใจจริง กานต์จึงเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว
“ขอโทษครับแด๊ดดี้”
“อืม”
“แด๊ดดี้...ไม่โกรธผมนะครับ”
สิ่งนี้คือสิ่งที่กานต์กลัวมากที่สุด เพราะถ้าออสตินโกรธแล้ว นอกจากโดนดุ อาจจะถูกทำร้ายด้วยก็ได้เพราะเขาเองก็เรียกว่ายังไม่รู้จักกับออสตินดีพอ จึงไม่รู้ว่าเวลาที่เขาโกรธขึ้นมาจะปะทุอารมณ์ออกมาแบบไหน ทว่าพอสิ้นประโยคนั้น ออสตินกลับไม่แสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวอะไร นอกจากยิ้มออกมาหน่อยๆ ด้วยความเอ็นดู
“ถ้าเธอเป็นเด็กดี ฉันก็ไม่โกรธหรอก”
กานต์โล่งใจขึ้นมาในวินาทีนั้น
“แต่วันนี้เธอดื้อใช่ไหม”
“ครับ”
สลดลงไปอีกแล้ว ขณะที่ออสตินว่าเนิบๆ
“เด็กดื้อต้องถูกทำโทษ รู้ใช่ไหม”
คนฟังกลืนน้ำลาย
ทำโทษ...ทำอย่างไร? ทำอะไร?
ในหัวคิดวุ่นวายไปหมด แต่แล้วก็ต้องโล่งใจอีกครั้งเมื่อได้ยินออสตินพูดขึ้น
“ห้ามใช้อินเทอร์เน็ตหนึ่งอาทิตย์”
“แค่นี้เหรอครับ?”
“อืม ตอนแรกว่าจะกักบริเวณเธอด้วย แต่เธอไม่ค่อยได้ออกนอกบ้าน ฉันเลยคิดว่าวิธีนั้นคงจะไม่ได้ทำให้เธอสำนึกสักเท่าไร เธอดูไม่ได้เดือดร้อนถ้าจะต้องอยู่แต่ในบ้านทั้งอาทิตย์ งดเล่นอินเทอร์เน็ตแล้วกัน เธอจะได้มีเวลาปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์จริงๆ มากขึ้น”
กานต์ก็พอจะได้ยินมาอยู่บ้างว่าครอบครัวของชาวอเมริกันไม่นิยมตีลูกหลานเป็นการลงโทษหรือสั่งสอนเพราะมันเกี่ยวเนื่องกับกฎหมายการทารุณกรรมเด็ก ดังนั้นวิธีการทำโทษจึงเป็นไปในลักษณะของการจำกัดอิสระแทน
“อย่าให้จับได้ว่าแอบเล่นเชียว”
ออสตินว่าสั้นๆ แค่นี้ก็ทำให้กานต์พยักหน้าหงึกหงักแล้ว
“ผมไม่เล่นครับ สาบาน”
ออสตินพยักหน้ารับเล็กน้อย ลุกขึ้นจากเก้าอี้ คว้าเสื้อสูทที่วางพาดอยู่บนพนักขึ้นมาถือ
“ไปกินมื้อเย็นกัน มาเรียทำอาหารเตรียมไว้ให้แล้ว”
พูดจบก็ก้าวเข้ามาใกล้กับลูกเลี้ยง กานต์อยากจะเอาใจให้อีกฝ่ายหายหัวเสียเรื่องเขาเลยรีบยื่นมือไปคว้าเสื้อสูทเอาไว้ พอออสตินหันไปมอง ก็ว่าออกมา
“ผมเอาไปเก็บให้ครับ”
ออสตินมองอย่างชั่งใจ “จะเอาใจฉันชดเชยความผิดเหรอ”
ถูกจับได้ กานต์ก็มีท่าทีอึกๆ อักๆ ขึ้นมา
“คือ...”
“ไม่ได้ผลหรอกนะ ความผิดก็ส่วนความผิด ไม่ได้ทำให้ฉันลดโทษเธอได้หรอก” ชายหนุ่มว่า “แต่ถ้าอยากจะเอาไปเก็บให้ก็ตามใจ เอาไปแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าในห้องฉัน พรุ่งนี้ฉันจะใส่มันอีก”
กานต์พยักหน้ารับ มือรับเอาเสื้อสูทมาแล้วก้าวไวๆ ขึ้นไปบนบ้าน ปล่อยให้คนเป็นพ่อเลี้ยงมองตามหลังครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไปในครัว
เด็กหนุ่มเข้ามาในห้องนอนของออสตินแล้ว เห็นสภาพห้องนอนแล้วก็ได้แต่ครางออกมา
“เนี้ยบมาก...”
ทุกส่วนถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ บ่งบอกชัดเจนถึงลักษณะนิสัยโดดเด่นของออสติน แต่กานต์ก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไร พอจะรู้อยู่แล้วว่าพ่อเลี้ยงเขาเป็นคนแบบนี้
ขาก้าวไปหยุดยังตู้เสื้อผ้า เปิดประตูแล้วตั้งใจว่าจะเอาเสื้อสูทแขวนเข้ากับไม้แขวนเก็บให้ ทว่าในจังหวะที่จัดเสื้อสูทให้เข้าที่ กลิ่นหอมบางอย่างก็ลอยมาเตะจมูกเขาเข้าอย่างจัง
มันเป็นกลิ่นน้ำหอม...
กลิ่นหอมแบบนุ่มนวล จะว่าเป็นกลิ่นดอกไม้ก็ไม่แน่ใจนัก เพราะในกลิ่นนุ่มนวลนั้นก็มีกลิ่นของไม้แห้งอบอวลอยู่ด้วย แต่จะเป็นกลิ่นของส่วนประกอบใดบ้าง กานต์ก็ไม่สนใจแล้ว เขารู้แต่เพียงอย่างเดียวว่ามันหอมเสียจนอดไม่ได้ที่จะเอาเสื้อสูทตัวนั้นขึ้นมาสูดดม
เปลือกตาหลับพริ้ม...
หอมมาก...
ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
...เขาชอบกลิ่นนี้
กลิ่นของ ออสติน สเวน...