ออสตินดูแลลูกเลี้ยงของตนเป็นอย่างดี ดีมากเสียจนกานต์ที่คิดว่าตัวเองน่าจะเริ่มไม่ค่อยเกร็งเวลาอยู่กับเขาเกร็งมากขึ้นไปอีก นอกจากอาการเกร็ง ยังจะมีความเกรงใจที่พร่างพรายขึ้นมาไม่หยุดหย่อน เพราะทุกสิ่งที่ออสตินทำนั้น ไม่ต่างอะไรจากการเป็นพ่อของใครสักคนเลยแม้แต่น้อย
เรียกได้ว่าดูแลเด็กหนุ่มดีกว่าพ่อแท้ๆ ของเขาอีก กานต์ซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งเลยพยายามทำตัวดี ตั้งใจว่าจะเป็นเด็กดีของแด๊ดดี้อย่างที่เคยคิดไว้ในตอนแรก แต่ความเป็นเด็กดีของเขานั้นก็คงอยู่ไม่ได้นานสักเท่าไร ชีวิตของเด็กวัยรุ่นแน่นอนว่าจะต้องมีบางครั้งที่ดื้อบ้าง ซึ่งการดื้อของกานต์ก็คือ...
“ตั้งแต่วันนี้ มาเรียจะแวะมาดูแลเธอในช่วงเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น เธอจะได้มีเพื่อนเวลาฉันไม่อยู่บ้าน”
ออสตินว่าขณะที่แนะนำผู้หญิงชาวตะวันตกวัยกลางคนให้กับเด็กหนุ่มรู้จัก มาเรียเป็นผู้หญิงรูปร่างอ้วนท้วม หน้าตาและท่าทางใจดี เหมือนกับซานตาคลอสในเวอร์ชันผู้หญิงก็ไม่ปาน เมื่อเห็นหล่อนยกยิ้มให้อย่างเป็นมิตร กานต์ก็ยิ้มตอบด้วยท่าทางประดักประเดิด
“อยู่กับมาเรียอย่าดื้อ” ออสตินบอกตบท้ายก่อนจะหันไปคุยกับผู้หญิงคนนั้นเป็นภาษาอังกฤษ “ฝากดูแลเขาด้วย”
“ได้ค่ะคุณสเวน”
จากนั้นชายหนุ่มก็หันมาบอกกับลูกเลี้ยงของตนด้วยภาษาเดียวกัน พักนี้ออสตินเริ่มพูดภาษาอังกฤษกับเด็กหนุ่มตรงหน้าแทนภาษาไทยมากขึ้นแล้ว ด้วยเหตุผลว่ากานต์จะได้ค่อยๆ ปรับตัวกับสังคมที่นี่
“ฉันไปล่ะ เจอกันมื้อเย็น”
มือคว้าเสื้อสูทมาสวม ก่อนจะวางมือลงบนศีรษะของเด็กหนุ่ม ออกแรงยีเบาๆ เป็นการบอกลาอย่างที่เคยทำ
ทุกครั้งที่ออสตินจะออกไปไหน เขามักจะทำอย่างนี้กับลูกเลี้ยงของตนเสมอ ประหนึ่งว่าเป็นการลูบหัวสุนัขเพื่อบอกให้เป็นเด็กดีอยู่เฝ้าบ้านอย่างไรอย่างนั้น
กานต์เห็นภาพตัวเองเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้คิดอะไร ออกจะชอบเสียอีกที่อีกฝ่ายปฏิบัติกับตนเช่นนั้น เพราะฝ่ามือหยาบกร้านของพ่อเลี้ยงเขามันอบอุ่นมากจนไม่อาจปฏิเสธสัมผัสได้เลยแม้แต่น้อย
คล้อยหลังของชายหนุ่มไป มาเรียก็ออกปาก
“ไปที่ครัวกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะทำมื้อเที่ยงให้”
กานต์นิ่งไปครู่หนึ่ง หัวสมองกำลังประมวลผลกับสำเนียงภาษาที่สองที่เขายังไม่คุ้นชินสักเท่าไร ก่อนจะพยักหน้ารับในท้ายที่สุดเมื่อเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร
เด็กหนุ่มตรงไปนั่งยังเก้าอี้ประจำ สายตามองไปยังผู้หญิงคนนั้นที่สาละวนกับการทำมื้อเที่ยงให้เขา ทุกอย่างน่าจะเป็นไปด้วยดีถ้าหากว่ามาเรียไม่พยายามชวนเขาคุย
“มาที่นี่แล้วเป็นไงบ้าง”
“ครับ?”
“ฉันถามว่าเป็นยังไงบ้าง หมายถึงเธอชอบที่นี่ไหมน่ะจ้ะ”
กานต์เข้าใจที่อีกฝ่ายพูดอย่างชัดเจน เขาไม่มีปัญหาเรื่องการฟัง แต่ปัญหาของเขาก็คือการพูดมากกว่า
“คือผม...”
แน่นอนว่าปัญหาเรื่องการพูดก็ไม่ใช่เพราะเขาเรียบเรียงประโยคไม่ได้ ต่อให้มันจะยากในตอนแรก แต่พอมาอยู่ที่นี่ได้ร่วมสัปดาห์ เขาก็ขยันหัดฟังสำเนียงภาษาจากภาพยนตร์บ้าง ซีรีส์บ้าง จนกระทั่งค่อนข้างมั่นใจว่าเขาไม่น่าจะมีปัญหาในส่วนนี้
“ว่ายังไงจ๊ะ เป็นยังไงบ้าง เธอชอบไหม”
มาเรียยังคงถาม หน้าที่ชวนคุยนั่นก็เป็นหน้าที่ซึ่งเธอได้รับมอบหมายจากผู้เป็นนาย ทว่ากานต์กลับอึกอักแล้วก้มหน้างุด
“ผม...” พลันก็ว่าเสียงแผ่ว “ครับ ผมชอบ”
“แล้วเธอตื่นเต้นไหมที่จะได้ไปโรงเรียนใหม่”
“ครับ”
“ทำไมล่ะ”
ดูก็รู้ว่าถ้าตอบไป มาเรียจะต้องเล่นเกมหนึ่งร้อยคำถามกับเขาแน่ เพราะทุกครั้งที่ตอบ เธอจะถามต่อเนื่องขึ้นมาทันที และนั่นมันทำให้กานต์กดดันเป็นอย่างมาก
“คือ...”
นอกจากตอบแค่ ‘ครับ’ กานต์ก็ไม่รู้ว่าจะพูดประโยคอื่นอย่างไรดี กับออสติน เขายังกล้าพูดเพราะเริ่มคุ้นชินบ้าง แต่พอต้องพูดประโยคยาวๆ กับคนอื่น เขากลับไม่มีความมั่นใจ
“ตกลงแล้วทำไมถึงตื่นเต้นล่ะ”
ทนไม่ไหวแล้ว...
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เด็กหนุ่มตัดบทฉับพลัน เป็นประโยคที่ยาวที่สุดเท่าที่เขาคุยกับแม่บ้านคนนี้ ก่อนจะหุนหันลุกจากเก้าอี้แล้ววิ่งขึ้นไปหลบในห้องตัวเองที่ชั้นบน
เขาไม่ชอบ...ไม่ชอบเลยที่จะต้องถูกกดดัน
แต่การกระทำของเขานั้นก็ไม่ใช่มารยาทที่ดี การที่เดินหนีไปเฉยๆ อย่างนั้นทำให้มาเรียถึงกับขมวดคิ้วมุ่น เธอพอจะเข้าใจเรื่องความขี้อายของชาวเอเชีย แต่ก็ไม่เคยพบเคยเจอใครบางคนเดินหนีเธออย่างนี้มาก่อน เท่านั้นมืออวบอูมของเธอก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง คว้าเอาโทรศัพท์มือถือออกมา กดโทรหาผู้เป็นนายทันที
“คุณสเวนคะ...”
[เขาดื้อใช่ไหม]
ปลายสายถามกลับมาอย่างรู้ทัน
“ค่ะ”
[ไม่ต้องไปตาม ปล่อยไว้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง]
สิ้นเสียง ปลายสายก็ตัดไป โดยที่เด็กหนุ่มข้างบนบ้านไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
ตกเย็นมาเรียกลับไปแล้ว อันที่จริงกลับไปตั้งแต่ช่วงบ่ายเพราะออสตินสั่งให้กลับไป ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะให้มาเรียคอยดูท่าทีของกานต์ก่อน เผื่อว่าเด็กหนุ่มจะกลับลงมาเมื่อปรับตัวได้ แต่หลังจากที่อีกฝ่ายหนีขึ้นห้องไป กานต์ก็ไม่กลับลงมาเลย แม้แต่จะลงมาหาอะไรกินก็ไม่ทำ สิ่งนั้นทำให้ออสตินไม่ชอบใจสักเท่าไรนัก เพราะมันคือการหนี
ออสตินไม่ชอบการที่เด็กหนุ่มเปิดรับแต่เขาเพียงคนเดียว แล้วก็ไม่ชอบความไม่มั่นใจที่กานต์แสดงออกมาด้วย พอเขาถึงบ้าน ก็ไม่รอช้าที่จะร้องเรียกให้อีกฝ่ายลงมาข้างล่าง
กานต์ได้ยินเสียงทุ้มเรียกชื่อตนก็ลุกจากเตียงนอน ก้าวลงมาข้างล่างก็พบว่าคนเรียกกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา สูทที่สวมอย่างเรียบร้อยในตอนแรกถูกพาดอยู่บนพนักพิง บนตัวของออสตินมีเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่หลุดลุ่ยกับกางเกงสแล็กส์สีกรมท่าเท่านั้น
“มานั่งนี่สิ”
ออสตินพยักพเยิดไปยังโซฟาบุนวมตัวเดี่ยวที่อยู่ไม่ไกล กานต์ก้าวไปทรุดตัวนั่ง จากสถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ก็พอจะรับรู้ได้ว่าเขาคงไปทำอะไรผิดมา ออสตินถึงได้เรียกเขาให้มานั่งแบบนี้ ซึ่งนั่นก็จริงเสียด้วยเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้น
“วันนี้เกเรอะไรมา”
ออสตินไม่พูดภาษาไทยอย่างเคยแล้ว ประโยคนี้ว่าออกมาด้วยภาษาอังกฤษ กานต์ชะงักไปครู่ก่อนจะตั้งสติได้
“เกเรอะไรครับ”
“เธอน่าจะรู้ดีแก่ใจ”
สมองของกานต์ประมวลผลทันที แต่ยังไม่ทันจะคิดออก ออสตินก็ปรายตามองพลางว่าเสียงเข้ม
“มาเรียบอกกับฉันว่าวันนี้เธอเดินหนีหล่อน”
ตอนนี้เข้าใจได้แล้วว่าเกเรที่ออสตินว่านั้นหมายถึงอะไร
“ทำไมถึงไม่คุยกับหล่อน?”
เขาถามมาอีก กานต์ตอบกลับมาเป็นภาษาไทย
“ผมไม่คุ้นกับเธอครับ”
“ฉันไม่เข้าใจ” ออสตินสวนด้วยภาษาอังกฤษทันที “พูดภาษาฉันสิ พูดภาษาเธอแล้วฉันจะเข้าใจได้ยังไง ฉันไม่ใช่คนไทย”
เป็นการประชดประชันที่ทำให้กานต์เข้าใจได้อย่างชัดเจน
ออสตินกำลังบีบให้เขาต้องพูดภาษาที่สอง...
ในหัวเรียบเรียงคำและประโยคฉับพลัน
“ผมไม่คุ้นกับเธอครับ พอถูกเธอถามมากๆ ก็เลยอึดอัด”
“เลยเดินหนีเธอว่าอย่างนั้น?”
ปฏิเสธไม่ได้จึงตอบรับ “ครับ”
“มันเหมาะสมเหรอ”
ถึงตอนนี้ กานต์ก็พูดไม่ออก
ไม่...มันไม่เหมาะสมหรอก เป็นการกระทำที่เสียมารยาทเป็นอย่างมาก อีกอย่าง มันเป็นการปฏิเสธความหวังดีของออสตินด้วย ซึ่งนั่นทำให้ออสตินไม่พอใจจนอดไม่ได้ที่จะดุออกมา
“ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นคนเสียมารยาทขนาดนี้ น่าผิดหวังนะ เธอคิดว่าที่ฉันส่งให้เธอไปเรียนปรับพื้นฐานก่อนมาที่นี่เป็นเพราะอะไรกัน ก็เพื่อให้เธอได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมที่นี่ไม่ใช่เหรอ ฉันช่วยเธออย่างเต็มที่แล้ว ทำไมเธอถึงไม่รู้จักคิดที่จะพัฒนาตัวเอง”
“...”
“เรื่องอนาคตของตัวเองก็ไม่รู้จักวางแผน ไม่คิดที่จะพัฒนาตัวเอง ไม่ตอบรับความหวังดีของคนอื่น ฉันผิดหวังในตัวเธอจริงๆ”