ทะเบียนสมรสที่มีชื่อของทั้งสองปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษถูกยื่นไปให้กับสามีภรรยาป้ายแดงที่นั่งอยู่บนโซฟา ขุนเขาเพียงแค่เหลือบสายตามองแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะหยิบใบทะเบียนสมรส
"ขอบคุณนะคะ"มือเรียวเล็กยื่นไปรับใบทะเบียนสมรส แววตาเรียบนิ่งมองชื่อของตัวเองก่อนที่จะเก็บใส่ซองไว้อย่างเป็นระเบียบ
"เอาล่ะในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีหมดทุกอย่างแล้ว ถ้าอย่างนั้นเชิญทุกคนไปทานข้าวเช้ากันดีกว่า แม่บ้านคงจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว"
"เชิญทางนี้เลยค่ะ"ทุกคนเดินตามคุณหญิงของบ้านออกไป เหลือไว้แค่เพียงลูกชายกับผู้เป็นพ่อที่ยังคงยืนจ้องหน้าไม่ไปไหน
"พ่อทำแบบนี้ทำไม พ่อก็รู้ว่าผมไม่อยากแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น"
"แล้วแกอยากแต่งงานกับใคร แม่นางแบบนั้นน่ะเหรอ หึ อย่าฝันให้มันมากนัก"
"พ่อจงเกลียดจงชังอะไรรุ้งเธอนักหนา"
"แกยังไม่รู้จักสันดานของนางนั่นดีพอ ถ้าแกรู้จักผู็หญิงคนนั้นดีแกจะไม่ถามคำถามแบบนี้กับพ่อ ขุนเขา"บางทีคนเป็นพ่อก็นึกเกลียดตัวเองเหมือนกันที่ความฉลาดของเขามันไม่สามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกชายได้ มันถึงได้หลงใหลแม่นางแบบคนนั้นจนหน้ามืดตามัวจนไม่เห็นความเลวของแม่นางแบบคนนั้นเลย
แววตาฉายถึงความสงสัยว่าผู้เป็นพ่อของตนพูดถึงอะไร แต่ก็เก็บเอาไว้ในใจเพียงเท่านั้น ท่ามกลางบรรยากาศของบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่สรรหาเรื่องต่าง ๆ มาคุยกัน แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ท่าน ส่วนเด็กอย่างเธอก็ได้แต่นั่งกินอาหารอย่างเงียบ ๆ หูก็ฟังเรื่องที่ผู้ใหญ่เขาคุยกัน สมองของเธอนั้นกำลังขบคิดเรื่องของการออกแบบเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่
"อุ๊ย"สัมผัสที่เจ็บตรงบริเวณปลายนิ้วเท้าทำเอาคนที่ไม่ทันระวังถึงกับร้องออกมา เสียงร้องของปิ่นมุกทำให้เสียงพูดคุยเงียบลงอย่างถนัดตา ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างหันมามองที่เธอเป็นตาเดียว
"ลูกเป็นอะไรไปปิ่น ร้องซะเสียงดังเลยลูก"
"นั่นสิหนูปิ่น หนูเป็นอะไรลูกเจ็บหรือไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า"
"หนูไม่เป็นอะไรค่ะ แค่สงสัยมดมันจะกัดเอา"ว่าแล้วก็หันไปมองคนที่นั่งลอยหน้าลอยตา ไม่รู้สึกรู้สาอะไรในสิ่งที่ทำมันลงไป
"มดที่ไหนกันคุณหญิง ในบ้านเรามีมดด้วยหรือ"เจ้าสัวรังสิมันต์หันไปถามภรรยาที่กำลังมองไปที่ลูกสะใภ้ด้วยความเป็นห่วง
"ไม่มีนะคะ เมื่อเช้าแม่บ้านก็ทำความสะอาดหมดแล้วไม่น่าจะมีมดหรือแมลงหลงเหลืออยู่"คุณหญิงกิ่งกาญจน์ถึงกับลงทุนก้มลงมุดไปใต้โต๊ะเพื่อจะหามดที่ว่า แต่แล้วสายตาของเธอก็ปะทะเข้ากับมดตัวใหญ่ที่นั่งกระดิกนิ้วเท้าอย่างสบายใจ เซนต์ของคนเป็นแม่ก็พอจะเดาได้ว่าลูกสะใภ้ของเธอร้องเสียงหลงเพราะอะไร เดี๋ยวเถอะพ่อมดตัวใหญ่ เดี๋ยวได้รู้ฤทธิ์ของแม่มดตัวนี้ว่ามันจะร้ายกาจสักเพียงไหน
"ว่าไงคุณหญิงเจอไอ้มดตัวนั้นไหม"ทันทีที่คุณหญิงเจ้าของบ้านกลับมานั่งบนเก้าอี้ดังเดิม เจ้าสัวรังสิมันต์ก็เอ่ยปากถาม
"เจอค่ะ ตัวใหญ่ด้วยนะคะอีกเดี๋ยวดิฉันคิดว่าจะเอายาฆ่ามดมาฉีดปากมัน"ว่าแล้วส่งสายตาไปยังลูกมดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คิ้วทั้งสองข้างของเจ้าสัวรังสิมันต์ถึงกับขมวดเข้าหากัน
"แค่มดตัวเดียวมึงอย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เลย"
"นั่นสิคะคุณรังสิมันต์คุณหญิงกิ่งกาญจน์ แค่มดตัวเดียวเองไม่เห็นต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เลยค่ะ"สองสามีภรรยาที่พอจะเดาเรื่องทุกอย่างออกรีบเอ่ยปราม ถึงแม้ว่าภายในใจของทั้งสองจะรู้สึกไม่พอใจที่มีใครมาทำให้ลูกสาวของตัวเองเจ็บ แต่ถึงอย่างไรเขาทั้งสองก็ไม่อยากจะทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
"ไม่ได้หรอกครับ ในเมื่อครั้งนี้มันกล้ากัด ครั้งหน้ามันก็คงจะต้องกลับมากัดอีก ผมควรจะทำให้มดตัวนั้นหลาบจำว่าไม่ควรกัดใครสุ่มสี่สุ่มห้าอีก ใช่ไหมไอ้ขุน"คนที่นั่งอารมณ์ดีที่ได้แกล้งหญิงสาวถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองออกจากปากของผู้เป็นพ่อ เสียงเรียบนิ่งติดเย็นของท่านทำเอาขุนเขาถึงกับขนลุกซู่
"พ่อว่าอะไรนะครับ เมื่อกี้ผมไม่ได้ฟัง"
"พ่อแค่บอกว่า ตอนกลับจากที่ทำงานลูกแวะซื้อยาฆ่ามดมาด้วยนะ บ้านเรามดเยอะพ่อจะกำจัดพวกมัน"แววตาเจ้าเล่ห์แต่งด้วยรอยยิ้มของผู้เป็นพ่อนั้นทำเอาขุนเขาแทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้
"ผมขอตัวไปทำงานก่อนดีกว่านะครับ นี่ก็ใกล้จะสายแล้ว"
"วันนี้พายุคงจะเข้าแน่เลยคุณหญิง ลูกชายของเราจะเข้าบริษัท"
"นั่นสิคะ สงสัยฉันคงต้องไปเตรียมร่มแล้วมั้งคะคุณ ขากลับให้คนขับรถระวังด้วยนะคะเผื่อพายุจะเข้า"ร้อยวันพันปีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างขุนเขาไม่เคยคิดที่จะเข้าบริษัท แต่พอมาวันนี้คิดอยากจะเข้าขึ้นมาสงสัยจะกลัวภรรยายึดทุกสิ่งทุกอย่างไป
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับมาคืนครื้นเครงอีกครั้งเมื่อขุนเขาสามารถทำให้บนโต๊ะอาหารมีเสียงพูดคุยถึงเรื่องของเขาได้ เขาผิดตรงไหนที่วันนี้เกิดอยากจะเข้าบริษัทขึ้นมา หูฟังในสิ่งที่ครอบครัวของเขาและของเธอพูดคุยกันอย่างสนุกแต่แววตาของเขาจับจ้องไปยังร่างบางที่นั่งอยู่ตรงหน้า การกระทำของเขาในเมื่อครู่เธอไม่รู้สึกมันเลยหรืออย่างไรทำไมเธอถึงไม่พูดอะไรขึ้นมาบ้าง
"นี่แกจะเข้าบริษัทจริง ๆ ใช่ไหมไอ้ขุน"
"ครับพ่อ ผมว่าจะเข้าไปดูบริษัทสักหน่อยเผื่อว่าพ่อจะใจดียกตำแหน่งประธานบริษัทให้ผมไว ๆ "
"เรื่องนั้นแกยังไม่ต้องคิดในตอนนี้หรอก รอให้แกทำตัวให้เป็นผู้เป็นคนกว่านี้ก่อนฉันจึงจะยกบริษัทให้"คิดถึงแม้จะเป็นคำพูดเรียบง่ายแต่มันก็แฝงไปด้วยคมมีดที่บาดลึก ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดเหล่านั้นมันทำให้คนเขาถึงกับสะอึก สมองนึกย้อนกลับคิดมันก็จริงอย่างที่พ่อของเขาพูดถ้าเขาคืนยังทำตัวแบบนี้ต่อไปบริษัทของพ่อจะอยู่อย่างไร และความหวังทุกอย่างท่านก็คงจะไม่นำมาฝากไว้กับเขาลูกชายที่ทำตัวเสเพลไปวัน ๆ
"ถ้าแกจะเข้าบริษัท ห้องเสื้อของหนูปิ่นเป็นทางผ่านไปบริษัท แกไปส่งน้องด้วยสิ"
"ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณลุงเดี๋ยวหนูให้รถที่บ้านไปส่งก็ได้"ตอนนี้เธอไม่พร้อมที่จะอยู่กับเขาเพียงลำพังสองคน ไม่ใช่ว่าเธอกลัวแต่เธอขี้เกียจทะเลาะกับคนอย่างเขาดูก็รู้ว่าถ้าเธอมีโอกาสได้อยู่กับเขาสองคนก็คงไม่พ้นที่จะต้องทะเลาะกันแน่ ๆ
"พ่อลืมบอกหนูไปเดี๋ยวพ่อกับคุณลุงจะต้องไปทำธุระกันต่อ หนูไปกับพี่ขุนเขานั่นแหละดีแล้ว"
"แล้วคุณแม่ล่ะคะคุณพ่อ"
"เดี๋ยวแม่จะไปทำสปากับคุณกิ่งกาญจน์ แต่ก็คงจะเอารถที่นี่ไป ลูกไปกับพี่ขุนเขาดีกว่านะลูก และอีกอย่างแม่ก็ไม่ไว้ในให้หนูไปแท็กซี่ด้วย"ในเมื่อทุกคนดักทางเธอไว้แล้วคนอย่างเธอจะทำอะไรได้ หวังว่าการเดินทางร่วมกันในครั้งนี้เขาคงจะไม่ถีบเธอลงจากรถหรอกนะ
"แกคงไม่ติดใจอะไรใช่ไหมไอ้ขุน ถ้าหากว่าพ่อจะให้หนูปิ่นติดรถไปกับแกด้วย"
"ผมไม่ติดใจอะไรหรอกครับพ่อ"จะให้เขาตอบว่าติดใจเหรอ ช้อนส้อมที่อยู่ในมือของพ่อคงจะได้มาปักลงกลางหัวของเขาน่ะสิ เอาเถอะถึงอย่างไรมันก็คงจะไม่เสียหายอะไรและอีกอย่างเขาก็มีเรื่องอยากจะพูดกับเธออยู่เหมือนกันพอดี
"รบกวนด้วยนะคะ"
"อืม"