รถบีเอ็มดับบลิวสปอร์ตสีน้ำเงินคันงาม ที่ขับปาดซ้ายปาดขวาวิ่งทะยานไปบนท้องถนน ขับผ่านไปทางไหนก็มีแต่คนมองจนเหลียวหลัง เพราะเครื่องแต่งกายของหญิงสาวผู้ขับและผู้โดยสารที่นั่งข้างๆ ไม่ได้เข้ากับสภาพของรถเลยแม้แต่น้อย
แต่นั่นคงไม่น่าตกใจเท่ากับรถคันดังกล่าวเพิ่งฝ่าไฟแดงตรงสี่แยกมาสดๆ ร้อนๆ
“แกฝ่าไฟแดงอีกแล้วนะยายโรส”
กรองขวัญพูดเสียงละล่ำละลักพร้อมกับยกมือขึ้นทาบอกอวบๆ อย่างขวัญหนีดีฝ่อ กับฝีเท้าการขับรถของเพื่อนที่ฝ่าไฟแดงถึงสองครั้งติดๆ กัน
“ฝ่าไฟแดงที่ไหนกันนั่นมันไฟเหลืองต่างหาก” สารถีสาวเถียงเพื่อนยิ้มๆ “แกไม่รู้หรือไงว่าสัญญาณไฟเหลืองคือการให้เรารีบเร่งเหยียบไม่งั้นจะไม่ทันไฟแดง แล้วถ้าฉันเบรก รับรองว่ารถของแกต้องถูกคันหลังชนท้ายอย่างแน่นอน หรือแกว่าไม่จริง”
รสิกาพูดพลางชะลอความเร็วของรถลง เมื่อเห็นโรงแรมที่หมายอยู่เบื้องหน้า ไม่ได้รู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเองเลยสักนิด ก็มันเป็นช่วงจังหวะที่จะต้องตัดสินใจ ใช่ว่าอยากจะทำผิดกฎจราจรเมื่อไรกันเล่า
“ยังจะมาเถียงข้างๆ คูๆ อีก ดีนะที่เวลานี้รถยังไม่ติดเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าสี่แยกที่ผ่านมามีกล้องบันทึกไว้หรือเปล่า แกนะแกขับรถไม่เข้ากับชุดหรือหน้าตาเลย ไม่สงสัยเลยว่าทำไมพี่จูดี้เรียกแกว่า โรสตีนผี”
“เดี๋ยวฉันจะบอกพี่จูลี่ว่าแกเปลี่ยนชื่อนางเป็นจูดี้ ยายขวัญ”
เจ้าของฉายาโรสตีนผีพูดเสียงกลั้วหัวเราะ พี่จูลี่ที่ถูกพูดถึงเป็นหัวหน้าเออีที่บริษัท ซึ่งสนิทสนมกับเธอมากเพราะต้องประสานงานกันอยู่บ่อยครั้ง
“แกไม่ต้องทำเป็นเอาพี่จูลี่มาเปลี่ยนเรื่องเลยนะยายโรส ทำอะไรตรงกันข้ามกับหน้าตาเสียจริง”
เจ้าของรถบ่นเสียงดังพลางมองค้อนเพื่อนสนิทจนตาแทบกลับ เพราะตั้งแต่เธอส่งกุญแจให้ อีกฝ่ายก็ขับปรู๊ดปร๊าดปาดซ้ายป่ายขวาแซงรถคันอื่นมาตลอดทาง รวมทั้งฝ่าไฟแดงถึงสองครั้งติดๆ กัน จนอาการปวดหัวของเธอหายราวกับถูกปลิดทิ้ง ไม่น่าคิดผิดให้ขับเลยจริงๆ
“แกจะให้ฉันขับช้าๆ เป็นเต่าคลานให้เข้ากับชุดหรือยายขวัญ แค่นี้ยังตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นไม่พอหรือไง”
ที่รสิกาพูดก็ไม่ได้เกินความจริงไปนัก เพราะตั้งแต่ขับออกมาจากบ้านย่านบางลำพู ก็ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนมาโดยตลอด แค่ลำพังรถสปอร์ตคันงามก็สะดุดสายตาผู้คนอยู่แล้วยังบวกกับชุดที่สวมใส่อีก โชคดีที่นั่งอยู่บนรถ ถ้าเดินอยู่บนถนนคงถูกมองว่าบ้าเป็นแน่
“แต่แกขับอย่างกับอยู่ในสนามแข่ง”
คนถูกว่ายิ้มแป้นจนแก้มบุ๋ม “แกลืมไปหรือไงว่ารถแกน่ะมันเป็นรถสปอร์ตสมรรถนะเยี่ยม ไม่ใช่รถม้าจะได้ขับกินลมชมวิว”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทำให้รสิกาพูดถึงรถม้าขึ้นมา ทว่าคนฟังกลับทำท่าพยักพเยิดเห็นด้วย
“จริงสินะ ถ้าเปลี่ยนจากรถสปอร์ตเป็นรถม้าท่าจะดีเหมือนกันจะได้เข้ากับชุดที่ใส่ แกเคยเล่าให้ฉันฟังไม่ใช่หรือว่าพวกเจ้าขุนมูลนายสมัยก่อนจะต้องมีรถม้ากันแทบทุกบ้าน แต่ฉันสงสัยว่านั่งเข้าไปได้ยังไงไม่หัวสั่นหัวคลอนหรือเมื่อยกันแย่หรือ”
คำพูดของกรองขวัญทำให้รสิกาหวนนึกถึงเหตุการณ์ในหนังสือขึ้นมา คนปากไวเท่าความคิดจึงพูดโพล่งออกไป
“ทำไมจะนั่งไม่ได้ รถม้าทุกคันน่ะมีคนบังคับอยู่ด้านหน้าแล้วม้าเองก็วิ่งเหยาะๆ ไม่ได้วิ่งเร็วเหมือนอยู่ในสนามแข่ง ไม่อย่างนั้นจะวิ่งบนถนนได้ยังไง”
“แกพูดคล่องอย่างกับเคยนั่งรถม้าอย่างนั้นแหละ”
“อ้าว ฉันก็อ่านมาจากหนังสือนั่นแหละ แกอย่าขี้สงสัยนักเลยน่า” รสิกาบอกก่อนจะขับรถเข้าไปจอดหน้าโรงแรมดังซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน
“ดีนะที่เรามาถึงก่อนเวลาไม่งั้นคงหาที่จอดรถลำบาก”
“นั่นสิ” รสิกาเห็นด้วยแต่ขณะจะบิดกุญแจดับเครื่อง ดวงหน้างดงามก็มีอาการเหยเกพร้อมกับสะบัดเท้าขวาเร่าๆ จนผู้เป็นเพื่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“นั่น...แกเป็นอะไรไป”
“เท้าขวาฉันเป็นเหน็บ”
คนเป็นเหน็บชากะทันหันบอกเสียงสั่น พลางยกมือขึ้นบีบนวดเท้าขวาไปมา แล้วไม่วายนึกถึงฉากในหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง จนต้องสะบัดศีรษะเพื่อสลัดความคิดดังกล่าวออกไป แต่อาการดังกล่าวก็ตกอยู่ในสายตาของผู้เป็นเพื่อนที่มองอย่างสงสัย
“ตกลงนอกจากเป็นเหน็บที่เท้าแกยังปวดหัวด้วยเหรอยายโรส”
“ปละ...เปล่า” คนถูกถามส่ายหน้าก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ แล้วกลบเกลื่อนด้วยการเปลี่ยนเรื่อง
“งานแต่งของพี่ชายแกคาดว่าจะเป็นงานช้างเลยนะยายขวัญ ดูรถยนต์แต่ละคันสิหรูหราราคาแพงอย่างกับงานมหกรรมรถยนต์นานาชาติเลยนะ”
กรองขวัญมองตามสายตาของเพื่อนแล้วพูดยิ้มๆ
“มันก็แน่อยู่แล้ว แกอย่างลืมนะว่าพี่กันต์ทำธุรกิจเกี่ยวกับงานโฆษณาและกำลังมีชื่อติดตลาด แกเองก็น่าจะรู้ดีนี่นา พี่กันต์ก็ต้องกว้างขวางรู้จักผู้คนมากหน้าหลายตาอยู่แล้ว ส่วนตัวเจ้าสาวก็เป็นดารานางร้ายชื่อดัง ดังนั้นงานแต่งงานก็ต้องยิ่งใหญ่เป็นธรรมดา”
“นั่นสินะฉันก็ลืมไปว่าพี่สะใภ้แกเป็นคนในวงการบันเทิง แต่เอ๊ะ...รถคันนั้น”
กรองขวัญหันไปมองตามสายตาเพื่อนก่อนจะถามอย่างสงสัย
“มีอะไรหรือ”
รสิกามองรถจากัวร์สีดำคันหรูที่จอดถัดไปอีกสามคัน เพราะเหมือนกับรถคันที่ขับเฉี่ยวเธอไม่มีผิด แต่คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกน่า หวังว่าอย่าได้เจอ!
“ว่าไง แกเป็นอะไรไป” กรองขวัญถามอีกครั้งเมื่อเห็นอาการแปลกๆ ของผู้เป็นเพื่อน
“เปล่า ไม่มีอะไร” คนถูกถามตอบก่อนจะวกกลับมาพูดเรื่องเดิมอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นงานนี้คงเต็มไปด้วยพวกนักธุรกิจกับดาราดังแน่นอน รับรองว่าคราวนี้แกได้ส่องเหล่าหน่อเนื้อเชื้อขุนนางสมใจแน่ยายขวัญ”
“คนที่ฉันอยากส่องน่ะมีอยู่ในใจแล้วย่ะ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเขาจะยอมให้ฉันส่องหรือเปล่า นี่สิปัญหา” กรองขวัญพูดน้ำเสียงเพ้อๆ
“แหม...ใครจะกล้าปฏิเสธคนอย่างเธอนะ ยายขวัญ แกออกจะ สวย เริด เชิด หยิ่งขนาดนี้”
รสิกาพูดแล้วก็มองเพื่อนอย่างขำๆ กรองขวัญเป็นบุตรสาวของเจ้าพ่อในวงการธุรกิจโฆษณายักษ์ใหญ่ ที่มีบริษัทดังอยู่ในเครือมากมาย รวมทั้งเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทคลิกแอดเวอร์ไทซิงแอนด์มาร์เกตติง จำกัด ที่เธอทำงานอยู่ด้วย เธอและกรองขวัญเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ปีหนึ่ง เมื่อเรียนจบจึงสอบเข้าทำงานที่นี่โดยใช้ความสามารถตัวเองล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับเพื่อนแต่อย่างใด