ภายในห้องรับแขกของบ้าน ภรรยาสาวที่ถูกสามีไล่ออกจากห้องกำลังเก็บเสื้อผ้าขึ้นแขวนบนตู้ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเบา ๆ ก่อนบานประตูห้องถูกเปิดเข้ามา ชันชัยถือกระเป๋าเครื่องสำอางใบเล็กสีชมพูมาคืนให้เจ้าของถึงในห้อง
“นี่ครับ” เขายื่นคืนให้คนที่ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า
“ขอบคุณมากค่ะคุณชัน” เพียงจันทร์ยื่นมือออกไปรับกระเป๋าเครื่องสำอางของตัวเอง ก่อนจะนำไปวางไว้ยังโต๊ะเครื่องแป้ง เธอไม่อยากหันกลับไปมองหน้าของเขา ไม่อยากเห็นสายตาแห่งความสงสารจากชันชัยในตอนนี้
“ออกไปเถอะค่ะคุณชัน อยู่ในนี้นาน ๆ มันไม่เหมาะ” คนที่มีศักดิ์เป็นน้องสะใภ้เอ่ยขึ้น ชันชัยหลับตาลงเพียงเสี้ยววินาทีด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกก่อนจะลืมขึ้นใหม่อีกครั้ง เขาส่งรอยยิ้มบาง ๆ ให้เพียงจันทร์ด้วยความเห็นใจ
“ครับคุณนิ้ง" ชันชัยเข้าใจความรู้สึกของน้องสะใภ้คนนี้ได้เป็นอย่างดี เจ้าของร่างสูงจึงหมุนตัวแล้วเดินออกจากห้องไป ตามความต้องการของหญิงสาว เพียงจันทร์มองดูเขาปิดประตูห้องออกไปอย่างเงียบ ๆ แววตาคู่หม่นนั้นเหมือนจะซ่อนเร้นความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ คิดแล้วก็ให้นึกขุ่นเคืองใจยิ่งนัก ชาลจะหยามหน้าเธอไปถึงไหนกัน แต่งงานยังไม่ทันข้ามคืนก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ห้าปีเต็มที่เธอต้องทนอยู่กับความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย อยู่ก็แสนจะอึดอัดใจจะไปมารดาก็ท้วงห้าม ทั้งหมดทั้งปวงนี่มันเป็นเพราะความผิดของใครกัน ยิ่งคิดเพียงจันทร์ก็ยิ่งน้อยเนื้อต่ำใจ
'จะยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนี้หรือนิ้ง ถ้าลูกขอหย่าเราอาจจะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าคุณชาลขอหย่าเรายังจะมีสิทธิ์ในมรดกอยู่นะ' ทำไมบิดาของเธอถึงไม่เก่งเรื่องการทำงาน ทำไมเธอต้องเป็นคนบากหน้าไปขอเงินกับชันชัย ทำไม ทำไมต้องเป็นเธอมันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย ภายนอกแม้จะแลดูเหมือนคนเข้มแข็งแต่พอได้อยู่คนเดียวเพียงลำพัง เรื่องราวเหล่านี้ก็ทำให้เพียงจันทร์ต้องหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความเสียใจ เธอยังจำวันแรกที่มารดาบังคับให้ขอเงินจากนายชูเพื่อมาจุนเจือครอบครัว หญิงสาวใช้เวลานั่งคิดนอนคิดอยู่หนึ่งวันเต็ม ๆ ก่อนจะตัดสินใจไปหาเขาแทน
'มีอะไรครับคุณนิ้ง' ชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าก้มตากับกองเอกสารบนโต๊ะ หยุดมือที่กำลังเซ็นเอกสารแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้แก่น้องสะใภ้คนงาม เพียงจันทร์แทบเข่าทรุดต่อรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจของเขา
'นิ้งมีเรื่องอยากจะรบกวนคุณชันค่ะ'
'ได้สิครับ' เขายิ้มกว้างออกมาจนเธอรู้สึกละอายแก่ใจตัวเอง
'เอ่อ ถ้าสิ่งที่นิ้งเอ่ยออกไปคุณชันลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะคะ' คนกลั้นใจเอ่ยประสานมือเข้าหากันแล้วบิดไปมาเพื่อเรียกความกล้า มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอ่ยมันออกไปโดยที่จะไม่รู้สึกรู้สาอะไร
'มันเรื่องอะไรกันครับทำไมผมต้องลำบากใจด้วย'
'เรื่องมันค่อนข้างละเอียดอ่อนค่ะคุณชัน ถ้าหากว่าไม่ได้ก็ไม่ได้เป็นไรนะคะ' เพียงจันทร์ต้องออกตัวไว้ก่อนอะไรมันก็ไม่แน่นอนเสมอไป โดยเฉพาะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ แบบนี้
'พูดมาเถอะครับ' เห็นแววตาเกรงอกเกรงใจของเพียงจันทร์ ชันชัยก็แทบไม่อยากจะรอยืดเวลาอีกต่อไป เขากลัวว่าหญิงสาวจะมีเรื่องเดือดร้อนจริง ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ออกปากแบบนี้ออกมาแน่
'นิ้งอยากจะขอยืมเงินของคุณชันห้าล้านค่ะ' ยืมอย่างนั้นหรือ เพียงจันทร์อยากจะหัวเราะเยาะในคำพูดของตัวเองนัก หากยืมต้องมีการคืน แต่นี่เธอไม่มีแม้แต่แดงเดียว
'ที่ฟาร์มเดือดร้อนหรือครับ' ชันชัยไม่ใช่คนโง่และเขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีความจำเป็นต้องใช้เงินมากมายขนาดนี้ คำตอบที่ได้รับคืออาการก้มหน้าก้มตาลงอย่างยอมรับ เขาไม่ซักไซ้ไล่เลียงต่อนอกเสียจากจะเซ็นเช็คจำนวนห้าล้านบาทแล้วยื่นให้แก่หญิงสาว
'คุณชัน' คนที่ยื่นมือออกไปรับไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมา เขาทำเหมือนเป็นเรื่องง่ายขณะที่เธอต้องนั่งทำใจถึงหนึ่งวันเต็ม ๆ กว่าจะกล้ามาพูดเรื่องนี้กับเขาได้
'ในฐานะพี่สามีผมควรช่วยเหลือน้องสะใภ้จริงไหมครับ' เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
แต่ว่านั่นไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่เพียงจันทร์ต้องแบกหน้าไปขอเงินจากเขา มีครั้งที่สอง สาม สี่...ตามมา และที่สำคัญเรื่องนี้ไม่เคยระแคะระคายเข้าหูของนายชูเลยแม้แต่น้อย ชันชัยไม่ต้องการให้หญิงสาวรู้สึกลำบากใจตอนเผชิญหน้ากับปู่ของเขา
'นิ้งไม่อยากรับเงินนี้จากคุณฝ่ายเดียว นิ้งขอช่วยทำงานเป็นการตอบแทนได้ไหมคะ' ข้อต่อรองของหญิงสาวถูกเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงใจ ชันชัยอมยิ้มกับท่าทีลำบากใจของน้องสะใภ้ ก่อนจะตอบหญิงสาวด้วยคำพูดแสนง่าย
'ตกลงครับ งั้นคุณนิ้งมาเป็นผู้ช่วยผมนะครับ'
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเป็นสะใภ้ของฟาร์มชาลี เมื่อสี่ปีที่แล้วเพียงจันทร์ก้าวเข้ามามีบทบาทในธุรกิจของฟาร์มค่อนข้างมาก หญิงสาวอุทิศตัวช่วยเหลืองานทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงงอน ชีวิตแบบนี้ก็คงจะราบรื่นอยู่ไม่น้อยหากว่าจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ แต่ทำไมเขาต้องกลับมา แววตาหม่นลงทันทีที่ต้องคิดไปถึงสามีที่อยู่ถัดไปอีกสองห้อง หญิงสาวทิ้งตัวลงบนที่นอนหนานุ่ม พยายามหลับตาลงอย่างลำบากยากเย็น
คนที่เดินออกมาจากห้องนอนของน้องสะใภ้ ก้าวเท้าตรงไปเคาะประตูห้องของน้องชาย ส่งผลให้คนที่นอนเล่นอยู่บนเตียงเด้งตัวลุกขึ้นไปเปิดให้อย่างรวดเร็ว ชาลเห็นใบหน้าของพี่ชายก็นึกแปลกใจ เมื่อชันชัยนั้นบูดบึ้งเกินจะเข้าใจ
"เข้ามาสิครับพี่ชัน" เขาผายมือแล้วหลีกทางให้
"รู้สึกว่าห้าปีในอเมริกาจะไม่ได้เปลี่ยนอะไรแกเลยนะชาล"
"ทำไมต้องเปลี่ยนด้วยครับ ห้าปีในอเมริกามันก็แค่ประสบการณ์ชีวิตรูปแบบหนึ่ง ทำไมผมต้องเปลี่ยนไปตามมันด้วย" เขายักไหล่อย่างไม่แยแสมองดูคนที่ยืนกอดอกจ้องมาอย่างไม่ลดละ
"พี่อยากให้แกทำดีกับคุณนิ้งเขาหน่อย"
"ทำดี !" เหมือนเป็นคำน่ากลัวสำหรับชาล
"ใช่ ทำเหมือนที่สามีทำกับภรรยาอย่างครอบครัวอื่นเขา"
"พี่พูดเหมือนไม่รู้อะไรเลยนะครับ ผมบอกตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้วว่าผมถูกวางยาปลุกเซ็กส์ พอไปเจอเหล้าดีกรีแรงเลยผีเข้าในตอนนั้น" ชาลยังจำได้ว่าเขาพยายามบอกปู่กับพี่ชายแล้ว แต่มารดาของเพียงจันทร์นั้นไม่ยอมอยู่ท่าเดียว ท้ายที่สุดก็ต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับเพียงจันทร์จนได้
"ผีเข้าจนต้องไปไล่ปล้ำคุณนิ้งเขานี่นะ แกจะต้องรับผิดชอบด้วยการดูแลเขาในฐานะภรรยา"
"โลกยุคไหนแล้วครับพี่ชาล เสียสาวครั้งแรกมันไม่ถึงกับตายหรอกครับสาว ๆ ยุคนี้เขาไม่ถือกันแล้ว แต่คนในฟาร์มมณีษรนั่นอยากจะนับญาติกับเราก็เพื่อผลประโยชน์ แล้วทำไมเราต้องเล่นตามเกมของพวกเขาด้วย"
"แกมองเรื่องนี้เป็นเกมนี่นะชาล เรื่องทั้งหมดมันเกิดที่ตัวแกและคนเสียหายก็คือคุณนิ้ง สิ่งที่แกควรทำก็คือรับผิดชอบเมียตัวเอง เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ทำไมแกทำไม่ได้"
"ผมไม่ใช่ไอ้โง่ที่จะให้ใครมาจูงจมูกได้นะพี่ชัน เมียผมผมเลือกเองพี่ออกไปจากห้องผมได้แล้วครับ" คนที่ไม่คิดเอาทั้งชีวิตไปผูกไว้กับความผิดพลาดตัดบทไล่พี่ชายตัวเอง
"เออ สักวันแกจะเสียใจ" คนเป็นพี่ชายนึกเคืองทิ้งท้ายคำพูดเอาไว้ให้ชาลคิดเอง ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูค่อนข้างดัง เจ้าของห้องถึงกับส่ายหน้าไปมาอย่างหัวเสีย เขาไม่โกรธพี่ชายตัวเองที่ทำแบบนี้ เพียงแต่ว่าชาลไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งปู่ทั้งพี่ชายไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของเขาบ้าง มันผิดมากเหรอที่อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง ชาลคิดว่าเขาได้ชดใช้ให้เพียงจันทร์มามากเพียงพอแล้ว ถึงเวลาที่เขาควรจะได้รับคำว่าอิสรภาพเสียที
"เพราะปู่คนเดียวถ้าไม่ใช้ให้ไปงานวันเกิดยัยนั่นก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้" คนพาลนึกไปถึงต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดเมื่อห้าปีก่อน ก่อนจะสยบต่อเหตุผลบางอย่างที่นึกได้ ตัวเองเองต่างหากที่ไม่ระมัดระวังจนถูกวางยา ชาลไม่ได้ตามหาตัวคนผิดเพราะว่ามันเปล่าประโยชน์ ผู้หญิงคนไหนต่างก็อยากเป็นสะใภ้ตระกูลใหญ่อย่างชาลีกันทั้งนั้น ไม่เว้นกระทั่งเพียงจันทร์ หากไม่อยากเป็นจริงคงไม่ทนนั่งเหี่ยวเฉาอยู่ที่นี่ได้ถึงห้าปีแน่ เขาเหยียดริมฝีปากอย่างนึกสมเพชในตัวภรรยาแสนสวยของตัวเอง