ในเช้าของทุก ๆ วัน มันเป็นหน้าที่ของหล่อนเสมอที่จะต้องเข้ามาตรวจเช็คความเรียบร้อยภายในร้าน ก่อนที่เจ้านายสาวและลูกค้าจะเข้ามาใช้บริการภายในร้านอาหารที่หล่อนนั้นรับหน้าที่เป็นผู้จัดการ...
ชีวิตยังคงหมุนเวียนไปทุก ๆ วัน เธอไม่เคยคิดถึงเรื่องอื่นใดเลยนอกจากเรื่องงาน ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีความรักทั้ง ๆ ที่มีคนมากมายเข้ามาในชีวิต แต่ตัวของเธอเองก็กลับปฏิเสธบุคคลเหล่านั้นไป
เพราะเธอเองคิดแค่ว่า...ชีวิตของเธอคงไม่ต้องการสิ่งใด นอกจากอยากจะให้ครอบครัวของตัวเองมีความสุขอยู่กินสบาย และได้ใช้ชีวิตส่วนหนึ่งตอบแทนผู้มีพระคุณที่ทำให้เธอเป็นกชมนมาจวบจนทุกวันนี้...
แล้ววันหนึ่งความคิดของกชมนก็เปลี่ยนไป...
จากที่เป็นคนบ้างาน วัน ๆ คิดถึงแต่เรื่องงาน แต่วันนี้หล่อนกลับมีใบหน้าที่แสนดูดีของใครอีกคนเข้ามาแทนที่สิ่งที่หล่อนเคยคิดว่ามันสำคัญ ใบหน้าของเขายามยกยิ้ม ใบหน้าของเขาที่อาจจะมีขมวดคิ้วบ้างเล็กน้อยตอนปรุงแต่งรสชาติอาหาร
กชมนเคยคิดว่ามันอาจจะเป็นแค่ความคิดบ้า ๆ ชั่วครั้งชั่วคราวแต่เพียงเท่านั้น แล้วพอถึงวันหนึ่งความคิดบ้า ๆ นั้นมันก็คงจะจางหายไป...
แต่มันไม่ใช่แบบนั้น...
ยิ่งเวลาที่ได้พบหน้า ได้ใกล้ชิด หล่อนกลับยิ่งตกหลุมรักเขามากขึ้นในทุก ๆ วัน หล่อนไม่สนว่าเขาจะเป็นชายหรือหญิง แต่สิ่งเดียวที่สนใจและแคร์มาตลอด นั่นคือความรู้สึกที่มันเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ วัน มากขึ้นจนคิดว่ามันจะไม่มีวันจางหายไป...ถ้าหากใจสองเรานั้นคิดเห็นตรงกัน
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณน้ำมนต์”
เสียงที่เปล่งออกมาจากปากของเขาในยามเช้านั้นมันช่างไพเราะน่าฟังอย่างน่าประหลาดใจ เหมือนเสียงของเขาคือกำลังใจในการทำงานของหล่อนในทุก ๆ วัน
และการทักทายกันในยามเช้าเป็นอีกสิ่งที่ตัวเองเสพติดและขาดมันไปไม่ได้เสียแล้ว...
“อรุณสวัสดิ์ค่ะเชฟเจ มาตรงเวลาเหมือนเดิมเลยนะคะ”
ตลอดช่วงระยะเวลากว่าสามสัปดาห์ที่เขามาทำงานที่นี่ หล่อนมักจะพบเขาในช่วงเวลาอย่างนี้เสมอ อาจจะมาเช้ามาเรทบ้าง แต่ไม่มีครั้งไหนที่เขาจะมาเกิน 15 นาที เขาชอบสวมเสื้อเชิ้ต ทุกเช้าเขาจะแวะซื้อกาแฟร้านเดิมเสมอ และที่สำคัญ...คุณเชฟคนเก่งคนนี้ไม่เคยทานมื้อเช้าเลยสักครั้งเดียว
“วันนี้ทานมื้อเช้าหรือยังคะ?”
“คุณน้ำมนต์ถามทุกวันไม่เบื่อหรือคะ?” ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “เจไม่ทานมื้อเช้าค่ะ”
มันคือรอยยิ้มที่กชมนโปรดปรานมันมาโดยตลอด...
“ไม่ดีเลยนะคะเชฟ” กชมนส่ายหัวเอ็นดูก่อนจะคว้าถุงปาท่องโก๋ร้านโปรดยื่นส่งให้คนตรงหน้า “วันนี้น้ำมนต์แวะซื้อปาท่องโก๋ร้านโปรดมาฝากค่ะ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ เอ่อ...ฉันคิดว่ามันเป็นร้านโปรดของคุณ คุณคงจะชอบทาน” เขาส่ายหัวปฎิเสธพัลวัน
มันยิ่งทำให้หล่อนประทับใจคนตรงหน้ามากขึ้น
“น้ำมนต์ตั้งใจซื้อมาฝากค่ะ ไม่ทานมื้อเช้าแบบนี้ สุขภาพจะแย่เอานะคะ” กชมนว่าก่อนจะถือวิสาสะจับมือคนตรงหน้าขึ้นมาและยัดถุงปาท่องโก๋ใส่มือเขาแทน
ตึกตัก ตึกตัก
“ขอบคุณมากเลยนะคะ ฉันว่าฉันขอไปเตรียมตัวก่อนดีกว่า...” เขาชี้ไปที่ห้องครัว ซึ่งหล่อนก็ผงกหัวรับด้วยความเข้าใจ
เขาเดินห่างจากออกไปแล้ว มีเพียงเสียงหัวใจที่ยังเต้นแรงเหมือนจะหลุดทะลุอกข้างซ้ายแต่เพียงเท่านั้น กชมนยกมือขึ้นมากอบกุมมันเอาไว้และเหม่อมองมือข้างที่ได้สัมผัสไออุ่นจากคนตรงหน้า
ไม่ว่ายังไงตัวเราก็จะพยายาม จะพยายามคว้าหัวใจของคุณเชฟมาครองให้ได้!
“เธอได้รายละเอียดเรื่องงานที่ญี่ปุ่นหรือยัง?” น้ำเสียงเย็นชาและใบหน้าไร้อารมณ์ของคนตรงหน้าเป็นสิ่งที่เปมิศานั้นโปรดปรานมันเสมอ..
แต่ถ้าเขาได้เห็นเธอยิ้มสักครั้งในชีวิตก็อาจจะเปลี่ยนสิ่งที่โปรดปรานก็ได้นะ...
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” เขาตอบเสียงอ้อมแอ้มและก้มหน้ามองมือของตัวเอง “เอ่อ...เรื่อง”
“ถ้าเธอไม่สะดวกใจจะนอนห้องเดียวกับฉัน ฉันก็...”
“สะดวกค่ะ ฉันสะดวกมาก!” เขารีบยกมือขึ้นมาปฏิเสธคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว “ฉันเองต่างหากที่คิดว่าคุณคงไม่สะดวกจะนอนห้องเดียวกับฉัน” เปมิศาว่าก่อนจะก้มหน้ามองมือตัวเองอีกครั้ง
“ฉันแยกแยะเรื่องงานได้” ญาณินตอบเสียงเรียบ ก่อนจะเผลอนึกขบขันกับท่าทีของอีกคนที่ก้มหน้าหงอยเหมือนหมากลัวเจ้านายจะโกรธอะไรทำนองนั้น “พรุ่งนี้ฉันอนุญาตให้คุณหยุดเพื่อเตรียมตัวเดินทางในวันถัดไป” อีกคนรีบผงกหัวขึ้นมามองก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาในทันใด
“จริงหรือคะ?”
แค่ให้หยุดทำไมต้องทำหน้าตื่นเต้นอะไรแบบนั้น แล้วจะยิ้มแบบนั้นอีกนานไหม เห็นแล้วมันรู้สึกแปลก ๆ ยังไงชอบกล ไอเจ้าบ้า!
“ฉะ ฉัน...” ญานินเริ่มไม่เข้าใจตัวเองว่าจะพูดตะกุกตะกักทำไม
ก่อนจะส่ายหัวสองสามทีเพื่อปรับอารมณ์ของตัวเองที่หลัง ๆ มานี่มันชักจะรู้สึกแปลก ๆ บ่อย ๆ แล้วไอหัวใจบ้านี่อีกทำไมต้องเต้นเสียงดังโครมครามแบบนั้น หรือจริง ๆ เธอจะเป็นโรคหัวใจกันแน่ ก่อนเดินทางน่าจะไปหาหมอตรวจดูสักหน่อยก็คงดี
แต่ไอการที่เธอส่ายหัวมันดันทำให้อีกคนเข้าใจผิดไปเสียได้...
“ล้อเล่นหรอกหรือ... ” เขาก้มหน้าหงอยตามเดิม “คุณยิ้มหรือคะ?” เขาเงยหน้าขึ้นมาตอนไหนไม่รู้และถามคำถามที่เธอฟังแล้วแปลกใจชอบกล
ญานินเอื้อมมือมาจับที่แก้มของตัวเองก่อนจะต้องรีบหุบยิ้มในทันทีเพราะมุมปากของเธอกำลังยกยิ้มให้กับอาการหมาหงอยของคนตรงหน้า
“คุณยิ้มก็น่ารักดีนะคะ ยิ้มบ่อย ๆ สิคะ” เปมิศายกยิ้มให้กับท่าทีของเจ้านายคนสวยที่เผลอยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
ถึงเขาจะไม่รู้ว่าคนตรงหน้ายิ้มอะไร แต่สิ่งที่เขาเคยคิดว่าอีกคนนั้นคงจะยิ้มสวยน่าดูนั้นมันก็เป็นจริงอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิดจริง ๆ
งั้นขอเปลี่ยนสิ่งที่โปรดปราน...เป็นรอยยิ้มของเจ้านายคนสวยเลยแล้วกันนะ
“ฉะ ฉันให้เธอหยุดพรุ่งนี้ ออกไปได้แล้ว” เจ้านายคนสวยขึ้นเสียงใส่เขาอย่างไม่พอใจเพื่อกลบเกลื่อน เขาจึงรีบหุบยิ้มลงและรีบย้ายร่างของตัวเองออกมาจากตรงนั้นในทันที
แต่ก่อนจะไปก็ยังไม่วายหันมายกยิ้มใส่ผู้เป็นนายอีกครั้งและเอ่ยประโยคที่ทำให้คนฟังถึงกับต้องรีบเงยหน้าหันไปมองเจ้าคนกวนประสาทที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะไม่สบายบ่อย ๆ เพราะใจที่เต้นแรงเกินไปกับรอยยิ้มกวนประสาทนั่น
“พรุ่งนี้ฉันขอใช้เวลาวันหยุดกับคุณได้ไหมคะ เอ่อหมายถึง...เราจะได้ทำความรู้จักกันก่อนไปนอนค้างด้วยกันหลายคืน คือเอ่อ...ถ้าคุณตกลง พรุ่งนี้ 11 โมง เจอกันที่หน้าสยามนะคะ”
ไม่รอให้คนในห้องได้เอ่ยปฏิเสธ เปมิศาก็รีบย้ายร่างตัวเองออกไปจากตรงนั้น ใบหน้าที่ร้อนผ่าว ๆ ของเขามันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความกลัว แต่มันเกิดขึ้นเพราะความเขินอายที่มีต่อคนในห้อง
จนตัวเองเผลอลืมคิดไปว่าถ้าหากคนในห้องไม่มา เรายังจะมองหน้ากันติดไหม ให้ตายเถอะลืมคิดไปเลย!
ส่วนญาณินที่ได้รับคำเชิญชวนแบบแปลก ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งหายไป เธอก็เผลอยกยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัวอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นไปจับหน้าอกข้างซ้ายที่มันกำลังร้องเสียงดังประท้วงอย่างคนเป็นโรคร้ายแรง แต่เมื่อได้สติเธอก็รีบหุบยิ้มลงและก้มหน้าสนใจงานตรงหน้าต่อ
“ฉันไม่มีเวลาไปทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นหรอกนะ!”