ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ฉันจะเปลี่ยนโลกที่เคยเป็นสีหม่นเทาให้กลับมาสดใส สองขาเรียวบนรองเท้าส้นสูงหยุดยืนอยู่หน้ามหาวิทยาลัยนานาชาติที่มีค่าเทอมแพงลิบ บ้านฉันรวยเหรอ? เปล่า! เพียงแต่ฉันมีมันสมองที่ชาญฉลาดก็แค่นั้น
ดิ้นรนสอบชิงทุนการศึกษาที่มีจำนวนจำกัด เพื่อจะได้เปลี่ยนตัวเองจากเด็กสาวกำพร้าเติบโตมากับสถานรับเลี้ยง ไร้อนาคต และคำบูลลี่ที่คนอื่นเรียกฉัน ยัยเฉิ่มแว่นหนาเตอะ
“จะยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่อีกนานปะ จะไม่เข้าไปข้างในหรือไง”
ขณะที่กำลังนึกภูมิอกภูมิใจกับตัวเอง เสียงเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้น นับดาวเป็นเพื่อนที่มาจากสถานรับเลี้ยงด้วยกัน ร่วมหัวจมท้ายดิ้นรนจนสามารถสอบชิงทุนได้สำเร็จทั้งคู่
“ไปดิ ว่าแต่คณะแกไปทางไหน”
“คหกรรมไปทางนี้ แล้วคณะแกล่ะ”
“วิศวฯ ไปทางนั้น”
เราสองคนแยกย้ายกันเดินคนละทาง นับดาวเลือกเรียนคหกรรม เพราะเป็นคนชอบทำอาหาร ไฝ่ฝันที่จะได้เปิดร้านอาหารเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง
ส่วนฉัน เลือกเรียนคณะวิศวฯ เพราะฉันมีเป้าหมาย คนเราเกิดมาจากดินจากโคลน ไม่มีพ่อแม่คอยซัพพอร์ต ต้นทุนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน จะต้องใช้เวลากี่เดือนกี่ปีถึงจะร่ำรวยได้
ทางลัดก็คือ การหาผู้ชายรวย ๆ สักคนคอยซัพพอร์ต และนั่นแหละเป้าหมายของฉัน สมบัติของคณะวิศวฯ รูปหล่อ พ่อรวย แถมยังโสดทั้งสามคน ฉันค้นคว้าข้อมูลของพวกเขายิ่งกว่าทำรายงานวิชาวิทยาศาสตร์ส่งอาจารย์เสียอีก
น่านฟ้า ปีสี่ หล่อนิ่ง สุขุม ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร
เหนือน้ำ ปีสี่ แฝดของน่านฟ้า คนนี้ขี้เล่น เป็นกันเอง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย
และคนสุดท้าย ม่านหมอก ปีสาม ลูกพี่ลูกน้องของสองคนเมื่อกี้ รายนี้ดิบเถื่อน มีเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน คนนี้ฉันคงรับมือไม่ไหว ขอบายตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยละกัน
เอาล่ะ ตอนนี้เป้าหมายก็เหลือแค่สองคน ได้หนึ่งในสองคนนี้ ชีวิตของฉันก็จะสบายไปตลอดชาติ อ้อ ที่มากกว่านั้น อีพี่เจไดที่เคยปฏิเสธฉันเมื่อก่อนก็เรียนอยู่คณะนี้ด้วยเหมือนกัน คราวนี้แหละเขาจะต้องเสียดายที่วันนั้นไม่ยอมรับรักฉัน
สองขาเรียวที่ได้มาจากการบริหารออกกำลังกายเป็นประจำ ก้าวย่างด้วยท่าทางสง่างามที่สุดไปตามทางเดิน ตอนนี้ฉันไม่ใช่ยัยเฉิ่มแว่นหนาเตอะอีกแล้ว ทำงานเก็บเงินอยู่ตั้งหลายเดือนถึงได้พอค่าทำเลสิก ผิวพรรณใบหน้า ร่างกาย บำรุงดูแลอย่างดี จนตอนนี้หน้าเนียนใสไม่มีสิวแม้แต่เม็ดเดียว หุ่นเพรียวระหง กับความสูงร้อยหกสิบกว่า ๆ ถ้าไม่เรียกว่าเพอร์เฟค จะเรียกว่าอะไร
แล้วดูสายตาผู้ชายตลอดทางเดินที่มองฉันสิ ถือว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก
“นี่น้อง อยู่ปีหนึ่งหรือเปล่า”
เสียงห้าว ๆ นี่ขัดอารมณ์เสียจริง หันซ้ายมองขวาแล้วนิ้วก็ค่อยชี้เข้าหาตัวเอง เพื่อเป็นการถามว่าคุยกับฉันหรือเปล่า
“น้องนั่นแหละ ใช่เด็กปีหนึ่งหรือเปล่า”
ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ใส่เสื้อประจำคณะวิศวฯ พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ใช่ค่ะ ปีหนึ่งค่ะ” ฉันตอบออกไป แล้วก็มองไปรอบ ๆ ตอนนี้ยืนอยู่หน้าคณะแล้วนี่นา คิดอะไรเพลินไปหน่อยเลยลืมดู
“ปีหนึ่งใครเขาอนุญาตให้ใส่ชุดแบบนี้กัน เสื้อต้องหลวมกว่านี้ กระโปรงพลีทต้องคลุมเข่า ไม่ใช่ทรงเอสั้นเสมอตูด”
การที่จะใส่อะไรมาเรียนจำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากไอ้คนพวกนี้ด้วยเหรอ ก็เคยได้ยินมาบ้างไอ้ระบบโซตัส พี่ว้าก อะไรเทือกนี้ แต่มันไม่ปัญญาอ่อนไปหน่อยหรือไง ที่ให้พวกรุ่นพี่แก่กว่าไม่กี่ปีมากำหนดนั่นกำหนดนี่
“ขอโทษนะคะพี่ พอดีอ่านกฎมหา′ลัยแล้ว ก็ไม่เห็นมีข้อไหนบอกว่าเด็กปีหนึ่งต้องใส่อย่างที่พี่ว่า”
ดูเหมือนว่ารุ่นพี่หุ่นล่ำจะโมโห ดูตาเขาสิ ถลึงจนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้าอยู่แล้ว
“พี่ขอเตือนด้วยความหวังดีนะครับ อย่าทำตัวมีปัญหาถ้าอยากจะได้รับรุ่น”
“ถ้างั้นก็ขอบคุณนะคะ แต่พอดีหนูไม่อยากจะได้ค่ะ”
เป้าหมายของฉันไม่ใช่การต้องมารับรุ่นบ้าบออะไรนี่ นู่น การจับผู้ชายรวย ๆ ต่างหากเป็นสิ่งที่ฉันควรจะทำ แต่เหมือนยิ่งพูดคนตรงหน้าก็จะยิ่งโมโห ดูสิ เหมือนจะมีควันออกมาจากหูด้วยล่ะ
“นี่น้อง! ถือว่าพี่พูดดี ๆ แล้วนะ”
จู่ ๆ ผู้ชายคนนี้ก็ตวาดขึ้นมาเสียงดัง จนทำให้คนอยู่บริเวณนี้หันมามองทางฉันอย่างพร้อมเพรียง รวมถึงหนุ่มหล่อสามคนที่กำลังเดินมาทางนี้ด้วย ให้ตายเถอะ หล่อสมกับตำแหน่งสมบัติล้ำค่าของคณะวิศวฯ จริง ๆ
“มีอะไรเหรอโบ๊ท” ผู้ชายผมสีน้ำตาลที่มัดผมเอาไว้พอหลวม ๆ เอ่ยถามขึ้น ฉันรู้จักเขา เหนือน้ำ ปีสี่
“ก็ยัยเด็กปีหนึ่งนี่น่ะสิ ไม่ยอมทำตามกฎ แต่งตัวยังกับจะมาอ่อยผู้ชายมากกว่ามาเรียน”
อย่างน้อยไอ้ผู้ชายตัวโตนี่ก็ยังฉลาด ถูกต้องแล้วย่ะ ฉันต้องการจะมาอ่อยผู้ชายมากกว่ามาเรียนอยู่แล้ว
“น้องครับ ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการแต่งตัวตามกฎหรือเปล่าครับ ถ้ามีบอกพี่ได้นะ พี่พร้อมรับฟัง”
โอ้ย! ตายแล้ว ยิ่งพูดยิ่งมีเสน่ห์ เวลายิ้มเห็นเขี้ยวของเขาทำเอาฉันแทบจะเป็นลมล้มพับไปตรงนี้ พี่เหนือน้ำนี่ทำไมช่างหล่อและดูดีขนาดนี้นะ
“เปล่าค่ะพี่ หนูไม่มีปัญหาค่ะ พรุ่งนี้หนูจะใส่ชุดตามกฎทุกอย่างเลยนะคะ พอดีวันนี้ไม่รู้เรื่องกฎค่ะ”
“เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เธอไม่ได้พูดกับฉันแบบนี้นะ”
อีตาผู้ชายคนนี้ก็ยังวอแวไม่เลิก ก็แน่สิ นายไม่ใช่เป้าหมายของฉัน ทำไมจะต้องพูดดีด้วยกันล่ะ
“หึ”
“ขี้อ่อย”
เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ฉันว่าฉันได้ยินพ่อหนุ่มรูปหล่ออีกสองคนพูดอะไรออกมา พี่น่านฟ้า คนที่นิ่ง ๆ แค่นหัวเราะอยู่ในลำคอ แต่ลูกพี่ลูกน้องของเขาว่าฉันขี้อ่อยงั้นเหรอ
ก็ไม่เถียงนะ มันเรื่องจริง
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้น้อง เอ่อ ชื่ออะไรนะครับ”
“น้ำหอมค่ะ”
“พรุ่งนี้น้องน้ำหอมช่วยแต่งตัวตามกฎของเราด้วยนะครับ จะได้ไม่มีปัญหากับปีหนึ่งคนอื่น ๆ”
“ได้ค่ะ รับรองพรุ่งนี้ไม่มีผิดกฎแน่นอนค่ะ”
ให้ตายเถอะ พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง ทำไมพี่เหนือน้ำถึงได้น่ารักขนาดนี้ นี่ฉันชักจะเทใจมาทางพี่เหนือน้ำซะแล้วสิ แต่จะว่าไป พี่น่านฟ้าที่เอาแต่ยืนนิ่ง ๆ ก็ดูดีไม่เบาเลยนะ ไฝใต้ตานั่นทำเอาดวงตาของเขาน่าหลงใหลมาก ๆ เลย
“ไป ๆ ไปรวมกับเพื่อน ๆ ด้านนู้นได้แล้ว มัวแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้ เป็นบ้าเหรอ”
ไอ้ผู้ชายตัวโตคนนี้ลืมแปรงฟันตอนเช้ามาหรือไง คำพูดคำจาถึงได้เหม็นขนาดนี้ ฉันได้แต่เดินเชิด ๆ เข้ามาด้านใต้ของตึกคณะที่มีเด็กปีหนึ่งยืนเรียงแถวกันอยู่
“เอาล่ะ น้อง ๆ ครับ วันนี้พวกพี่จะมาประกาศวันที่จะทำการจับสายรหัสนะครับ วันจันทร์หน้า เตรียมตัวให้พร้อม แล้วมารวมตัวกันที่นี่เวลาสี่โมงเย็น เราจะทำการจับสายรหัส ทุกคนจะได้เจอพี่รหัสของตัวเอง ตั้งแต่ปีสองถึงปีสี่นะครับ”
รุ่นพี่ตัวล่ำบึกผมยาวมาดเซอร์พูดใส่โทรโข่งเสียงดังไปทั่วบริเวณ กว่าจะถึงวันจันทร์หน้า สงสัยต้องไปบนเจ้าแม่เสียหน่อย เผื่อท่านเมตตาประทานพรให้ ฉันจะได้อยู่สายรหัสเดียวกันกับพี่น่านฟ้าและพี่เหนือน้ำ
////////////////////////////////////////////
นางเอกเรื่องนี้ไม่ใช่คนเรียบร้อย มีเป้าหมายชัดเจน เปิดใจให้น้องหน่อยน้าา