ใช้สายตาแทนคำพูด

1568 Words
ฉันผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนล้าและสะดุ้งตื่นตอน 6โมงเช้าวันถัดมา สิ่งแรกที่นึกถึงคืองาน ! ฉันรีบลุกไปอาบน้ำสระผมสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ เดินไปที่ห้องครัวหยิบโยเกิร์ตในตู้เย็นมากินแก้อาการท้องร้อง ก่อนจะยกโต๊ะสแตนเลสแบบพับออกมากาง เริ่มลงมือปักหมุด และตัดผ้าตามแบบแพทเทิร์นทีละชิ้น ขณะที่จดจ่ออยู่กับงาน พลันมีเสียงเคาะประตูห้องดังรัว ๆ ติดต่อกัน... จังหวะเคาะใจร้อนแบบนี้จะต้องเป็นเอ็มม่าแน่นอน ฉันเดินไปเปิดประตูและหันกลับมาทำงานต่อ ทิ้งให้แขกยืนคว้างอยู่เบื้องหลัง “เธออยากดื่มอะไรก็บริการตัวเองได้ตามสบายเลยนะ วันนี้ฉันยุ่งมาก” “ทำไมคุณถึงปิดโทรศัพท์ ? ” น้ำเสียงทุ้มกังวาล ทำเอาฉันถึงกับสะดุ้งโหยง “มาร์ค ! ” ฉันอุทานเสียงดัง เกือบจะทำกรรไกรตัดผ้าตกกระแทกพื้นเสียคม ไม่คิดว่าคนที่บุกมาหาตั้งแต่แปดโมงเช้าโดยที่ไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าจะเป็นเขาไปเสียได้ “คุณยังไม่ตอบคำถามผมเลยนะ” มาร์คกล่าวท้วง เขาถอดเสื้อแจ๊คเก็ตหนังสีน้ำตาลแขวนไว้ที่ราว เดินไปหยิบแก้วและเปิดตู้เย็นเอาขวดน้ำผลไม้ออกมาเทดื่ม เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วโดยที่ไม่คลาดสายตาไปจากฉัน รู้สึกราวกับถูกเขาสะกดให้ทำตามคำสั่ง... ฉันวางของมีคมลงบนโต๊ะสแตนเลส เดินมารื้อกระเป๋าถือบนโต๊ะเล็กหน้าโซฟาและพบว่า “แบตเตอร์รี่หมดน่ะค่ะ” “ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่” เสียงเขาแหบผิดปกติ นัยน์ตาสีฟ้าร้อนแรงคู่นั้นจ้องมองฉันเหมือนต้องการจะเผาไหม้ ร่างกายของฉันเกิดอาการเกร็งเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองอยู่ในชุดเสื้อกล้ามเข้ารูปกับกางเกงขาสั้น แต่...ไม่ได้สวมชุดชั้นใน ! “ฉันจะเอาโทรศัพท์ไปชาร์จ” พวงแก้มฉันร้อนซู่ซ่า ฉันรีบยกมือปิดหน้าอกคัพบีและวิ่งเข้าไปในห้องนอนด้วยความเร็วสุดชีวิต โดยมีเสียงหัวเราะอย่างครึ้มอกครึ้มใจของมาร์คดังขึ้นตามหลัง สิบนาทีถัดมา เขาก็แย่งกรรไกรไปถือเสียแล้ว ผ้าที่ถูกตัดและวางแยกไว้เป็นสัดส่วน อธิบายถึงสาเหตุการมาของเขาได้ชัดเจน ฉันกลืนคำพูดที่จะกล่าวทัดทาน เปลี่ยนใจมายืนสังเกตวิธีการใช้กรรไกรตัดผ้าอันน่าทึ่งของมืออาชีพ มาร์คเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวลและแม่นยำ ทำเอาฉันมองเพลิน กระทั่งเขาตัดผ้าเสร็จไปอีกหนึ่งชิ้น “คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันเอางานตัวอย่างมาทำที่บ้าน” “ผมมีแหล่งข้อมูล” มาร์คชำเลืองมองแล้วยิ้มกว้างให้ฉัน “ฟานนี่หรือคะ” “คุณหึง ? ” “ไม่ใช่สักหน่อย” ฉันหันหน้าไปทางอื่น “ถ้าหากคุณกล้ายอมรับความจริง คุณจะได้รู้ความจริง” ฉันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ได้... ฉันหึง” เผลอกะพริบตาแค่ครั้งเดียวก็โดนเขาอุ้มมาที่โซฟา “คุณผอมลงอีกแล้ว น้ำหนักคุณถึง45กิโลกรัมหรือเปล่า ? ” เขาถามเมื่อจับฉันนั่งซ้อนบนตักได้สำเร็จ “อย่าเปลี่ยนเรื่องค่ะ” เสียงฉันเบาเหมือนกระซิบ เราใกล้ชิดกันมากเกินไป...ใกล้จนฉันนึกหวั่น แล้วในที่สุดฉันก็เปิดเผยนิสัยคิดเล็กคิดน้อยออกมาแบบหมดเปลือก “ฉันอยากรู้ความจริงทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวฉัน รวมถึง... เรื่องที่ร้านสตาร์บัคส์ด้วย” “ตอนเห็นคุณขับรถผ่านไป ผมนึกว่าตาฝาด” มาร์คกลั้นขำ และมองฉันด้วยสายตากระเซ้าเย้าแหย่ “ถ้าไม่พูด ฉันจะโกรธแล้วนะคะ” “โอเค” เขาสูดลมหายใจเข้าลึก “ผมชวนฟานนี่ไปดื่มกาแฟเพื่อกล่าวตักเตือนเรื่องที่เธอแอบเปลี่ยนแบบผ้าในแฟ้มงานของคุณ และให้โอกาสเธอโทรไปสารภาพผิดกับเควินด้วยตัวเอง” ฉันนิ่งงันไปชั่วอึดใจใหญ่ พอมีสติก็ยิงคำถามใส่เขาเป็นชุด “คุณรู้ได้ยังไงว่าฟานนี่แอบเปลี่ยนแบบผ้า ? คุณมีหลักฐานเอาผิดกับเธอหรือเปล่าคะ... แล้วเธอยอมรับผิดไหม ? ” “มีคนเห็นฟานนี่แอบเข้าไปในห้องเก็บผ้าตัวอย่างและมากระซิบบอกอลิเซีย ฟานนี่คงลืมไปว่าห้องทำงานของฝ่ายแพทเทิร์นและดีไซเนอร์ทุกห้องมีกล้องวงจรปิด ผมกับอลิเซียไปพบหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยเพื่อขอตรวจดูวิดีโอย้อนหลัง” มาร์คหยุดสังเกตปฏิกิริยาของฉัน “อลิเซียโมโหฟานนี่จนแทบจะสติแตก ผมเลยต้องรับหน้าที่สอบปากคำฟานนี่ และเปิดหลักฐานที่บันทึกไว้ให้เธอดู สุดท้ายเธอก็ไม่มีข้อแก้ตัว” “ฟานนี่เป็นคนแกล้งฉันจริง ๆ ด้วย” ฉันทั้งโกรธและสมเพชเธอ “คุณหายสงสัยหรือยัง” “แล้วอลิเซียรู้ไหมคะว่าคุณมาช่วยฉันทำงานตัวอย่าง” “อลิเซียรู้และอยากมาช่วยอีกแรง แต่ผมไม่อยากให้เธอมาเป็นก้าง” เขาพูดแบบไม่กระดาก แขนที่วางพาดพนักโซฟา ลดลงมาโอบรอบเอวฉันไว้หลวม ๆ ขณะที่จ้องมองริมฝีปากของฉันเหมือนต้องการจะกัดกิน “ทำงานให้เสร็จก่อนค่ะ” ฉันรีบพูดดักคอ พยายามปั้นสีหน้าให้ดูจริงจัง “โอ...” มาร์คเอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยความรู้สึกเสียดาย เขาบ่นพึมพำออกมาเป็นเชิงขบขัน “ผมอยากย้อนเวลากลับไปบีบคอฟานนี่จริง ๆ ” ท่าทางผิดหวังของมาร์คบอกเป็นนัยว่า สิ่งที่พลาดไปมีความสำคัญกับเขามาก ฉันกะพริบตามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง คิดได้ว่าเขาสมควรจะได้รับการขอบคุณที่คุ้มค่า จากนั้นก็โน้มตัวไปจูบเขาอย่างแผ่วเบา และรับรู้ได้ถึงอาการลมหายใจสะดุดของเขา “อดใจรอรางวัลใหญ่หน่อยนะคะ” มาร์คกลืนน้ำลาย และเงียบไป “คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม” อะไรบางอย่างที่ประหลาดแวบขึ้นบนใบหน้าของเขา อารมณ์ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลอมรวมเอาความเร่าร้อนกับความอ่อนแอเข้าด้วยกัน ฉันใช้สายตาสื่อถึงเขาแทนคำพูด... ในที่สุดงานตัวอย่างก็เสร็จสมบูรณ์ ฉันรู้สึกประหม่าราวกับเจ้าสาวที่เตรียมตัวเข้าหอในคืนแรก หัวใจเต้นระส่ำผูกติดอยู่กับผู้ชายนอกห้อง มาร์คคงรู้ว่าฉันอาบน้ำเสร็จแล้ว เสียงโทรทัศน์ในห้องรับแขกถูกปิด เขาเดินมาหยุดที่หน้าประตู ฉันหมุนลูกบิด ออกไปยืนเผชิญหน้ากับเขาในสภาพที่มีเพียงชุดคลุมอาบน้ำยาวเหนือเข่าบดบังความเปลือยเปล่าเอาไว้ บรรยากาศรอบตัวเราเงียบเชียบ ดูเหมือนว่าเขาก็ประหม่าไม่แพ้กัน “มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันเอ่ยถามเพื่อให้เขาพูดอะไรสักอย่าง “แม่กับปะป๊าของคุณมาหา” เขาตอบเสียงเบา ฉันยืนอึ้ง... หัวใจหล่นวูบไปกองอยู่ใต้ฝ่าเท้า มาร์คเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จไม่นาน ผมเผ้าของเขายังหมาด ทั้งเนื้อทั้งตัวสวมแค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่ซื้อมาเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าของฉันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทุกคนที่มาเจอเราทั้งคู่อยู่ในสภาพนี้คงคิดไปในทางเดียวกันหมด เขายกมือลูบต้นคอ ยิ้มเขินๆ “ผมนึกว่ามีคนมาเคาะห้องผิด” “ตอนนี้พวกท่านอยู่ไหนคะ” ฉันกระซิบถามเขา “ในห้องรับแขกครับ” สิบนาทีถัดมา ฉันแต่งตัวเรียบร้อยเดินมานั่งที่เก้าอี้สตูลตรงข้ามกับมาร์ค อีกฝั่งคือแม่กับปะป๊า พวกท่านนั่งตัวตรงหลังไม่ติดพนักโซฟาเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ตึงเครียด ก่อนหน้านี้ ฉันไม่รู้ว่าทุกคนพูดคุยอะไรกันบ้าง “คุณเคยแต่งงานและมีลูกมาก่อนหรือเปล่า” ฉันเกือบจะสำลักลมหายใจ ตอนที่ได้ยินคำถามไม่อ้อมค้อมของปะป๊า “ไม่ทั้งสองอย่างครับ” มาร์คตอบยิ้มๆ “ทำไมอายถึงไม่ยอมบอกว่ามีแฟน” แม่หันมาเล่นงานฉัน “อายไม่อยากให้แม่กับปะป๊าเป็นห่วง” “ต่อให้ลูกแต่งงานมีครอบครัว เราก็เป็นห่วงเหมือนเดิมนั่นแหละ” “ที่แอบมาหาอายโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เพราะสงสัยเรื่องนี้ใช่ไหมคะ” ฉันสังเกตสีหน้าของพวกท่านทีละคน แม่กับปะป๊าหันมองสบตากันราวกับนัดหมาย ท่าทางเหมือนจะเกี่ยงให้อีกฝ่ายเป็นตัวแทนตอบคำถาม “พอได้รู้ความจริงแล้ว สบายใจขึ้นหรือเปล่าคะ” “เห็นลูกมีความสุข เราก็สบายใจ” ปะป๊ายอมรับข้อกล่าวหาในที่สุด “ช่วงวันหยุด ถ้าอยากไปพักผ่อนที่บ้านด้วยกันทั้งคู่ เราก็ยินดี” แม่พูดเสียงอ่อนลง “วันหลังผมกับอายจะไปเยี่ยมพวกคุณแน่นอนครับ” มาร์คตอบรับได้อย่างน่าฟัง ท่าทางเขาดูผ่อนคลายมากกว่าพวกเราสามคนรวมกันเสียอีก หลังจากที่แม่กับปะป๊าซักประวัติของมาร์คจนพอใจ เราทั้งหมดก็พูดคุยกันคล่องคอขึ้น บรรยากาศภายในห้องไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ปะป๊าก็เอ่ยปากชวนแม่กลับบ้าน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD