อัญมณีวางแก้วกาแฟใบเขื่องลงทันทีที่ได้ยินเสียงตั้มบอกว่าจะออกไปข้างนอก เพื่อติดตามข่าวไฟไหม้บ้านพี่สาวนายแพทย์ชลทิศ วันนี้ตำรวจจะลงพื้นที่หาหลักฐานเพิ่มเติม
“นี่ไปด้วย”
“รู้ว่าห้ามไม่ได้ แต่ขอร้องอย่าไปพะบู๊ใส่หมอชลนะ”
“นี่จะไปบู๊ใส่เขาทำไมเล่า เรื่องผ่านไปแล้วบอกแล้วไม่ถือโทษโกรธเคือง ไปกันเถอะค่ะ” หล่อนฉวยกระเป๋าแล้วลากมือตั้ม
“แน่ใจนะ” ตั้มยังถามใบหน้ายิ้ม จนหล่อนต้องค้อนใส่แล้วพูดปลงๆ
“เรื่องการตายของน้าพุดจีบก็ยังไม่กระจ่าง หลานสาวก็ยังหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยอีก หมอชลคงรู้สึกแย่นะคะ”
“อืม ก็แย่พอสมควร เจอวันก่อนดูโทรมลงถนัดตา เรียกว่าความหล่อหมองไปเยอะจนผมจะแซงหน้าแล้ว” ตั้มชอบพูดให้เป็นเรื่องตลกไปเสียหมด เพราะไม่อยากให้เครียดกับเรื่องหดหู่ที่พบเจอทุกวัน และมันก็ทำให้คู่สนทนายิ้มจริงๆ แต่จะความรู้สึกไหนเขาไม่รู้
บริเวณบ้านที่ถูกไฟไหม้เหลือแค่โครงสร้างที่เป็นเสาปูน โครงหลังคาและกระเบื้องบางส่วน มีเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีมาหาหลักฐานเพิ่มเติม ส่วนหนึ่งกำลังปรับพื้นที่รกร้างเอาต้นไม้เหี่ยวเฉาและหญ้าแห้งตายเพราะความร้อนจากเปลวไฟออก ทำให้ที่ซึ่งเคยรกจนมองไม่เห็นบ้านด้านในกลับโล่งเตียน มองไปเห็นสวนกล้วยหลังบ้านที่รกไม่แพ้กัน และมีคนกำลังตัดแต่งให้เป็นระเบียบมากขึ้น
ตั้มชี้ให้อัญมณีดูชายหนุ่มร่างผอมสูงที่ดูซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด เขากำลังใช้มีดพร้าตัดแต่งต้นกล้วยและหญ้ารกระหว่างกอกล้วย แยกจากคนอื่นที่มุ่งหาหลักฐานในบ้านหลังผ่านเปลวเพลิงมา
“หานางตานีหรือหมอ” ตั้มเข้าไปทัก
“ถ้าเจอก็ดีครับ” เขาตอบแล้วหันมา ก่อนชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นอัญมณียืนอยู่ข้างๆ ตั้ม และหล่อนกำลังยิ้มให้เขา แม้จะเป็นยิ้มทักทายไม่มีความหมายอื่นใด เขาก็ต้องยิ้มตอบ
“สบายดีแล้วนะครับ ขอโทษ”
“ไม่ต้องขอโทษค่ะ แล้วไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว ฉันลืมไปแล้วหมอก็ควรจะลืมๆ ไปนะคะ” อัญมณีรีบท้วงก่อนเขาพูดจบหวังว่าเขาจะยินดีและขอบคุณ ทว่าไม่เป็นเช่นนั้น
ผู้ชายคนนี้ยังคงความกวนโทโสหล่อนเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
“คงไม่ได้หรอก ผมไม่ใช่คนลืมอะไรง่ายๆ แบบคุณนี่ ผมยังจำได้ว่าคุณพูดไม่เข้าหูถึงถูกไล่ลงจากรถ มันไม่ใช่ความผิดของผมคนเดียวหรอก ที่ขอโทษก็แค่ตามมารยาทเท่านั้น”
“ไอ้หมอบ้า” อัญมณีชี้หน้า ความรู้สึกสงสารเห็นใจแทบจะปลิวหายไปหมดกับคำพูดและท่าทีของเขา
“เอ้า อย่าทะเลาะกัน มาทำงานครับทำงาน”
ตั้มรีบห้าม แล้วดึงให้อัญมณีนั่งลงใกล้กอกล้วยที่บังแดดได้พอสมควร ก่อนจะขอดูรูปที่หล่อนถ่ายไปเมื่อครู่ ชลทิศเดินมานั่งลงใกล้ๆ เพราะยังมีเรื่องที่อยากพูด
“วันนั้นหลังจากวนรถกลับไปหาคุณแล้วไม่เจอ ผมก็ไปที่บ้านดารา เห็นพวงกุญแจแล้วนึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าน้าพุดออกไปตลาดแกต้องเอากุญแจบ้านไปด้วย แต่นี่กุญแจพวงนั้นยังอยู่ในบ้าน ดาราเป็นคนให้ผมมาเพื่อสะดวกเวลาเข้าไปที่บ้าน”
คำพูดของเขาทำให้อัญมณีและตั้มรีบหันไปมอง และเป็นคนที่ทำเหมือนเคืองชลทิศเป็นฝ่ายรีบถามขึ้นก่อน
“หมอคิดว่าแกถูกฆ่าที่บ้านหรือคะ”
“บางทีพวงกุญแจอาจอยู่ในกระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในบ้าน” ตั้มพูดขึ้นแล้วต่างก็สบตากัน
ชลทิศพยักหน้าเนือยๆ แล้วพูด
“บางที ถ้าดาราอยู่ก็อยากถามเหมือนกันว่า เอาข้าวของที่ควรติดตัวน้าพุดมาจากไหน เป็นไปไม่ได้ว่าแกจะถอดสร้อยถอดแหวนและไม่เอากระเป๋าสตางค์ไปด้วย เพราะแกไม่ใช่คนขี้ลืม ยิ่งออกจากบ้านโดยไม่ล็อคบ้านยิ่งไม่ใช่ แต่ดาราไม่อยู่ให้ถาม” สีหน้าเขาสลดลง เช่นเดียวกับเสียงที่แผ่วลง
“ขอถามตรงๆ นะคะ หมอเริ่มคล้อยตามฉันใช่ไหม ว่าดาราน่าสงสัย”
อัญมณีถามทำให้ถูกสองหนุ่มมองตรงๆ จนหล่อนอยากตบปากแล้วพูดใหม่ ยิ่งมีแค่มองโดยไม่มีคำพูดใดๆ ของใครออกมายิ่งทำให้หล่อนอึดอัดจนขยับหนี เท้ามือไปข้างหลังเหมือนไม่รู้จะทำอะไร แต่มือที่ควรสัมผัสดินแห้งกลับสัมผัสเข้ากับสิ่งชื้นจนต้องชักมือกลับแล้วหันไปมอง
“เอ๊ะ!นี่อะไรคะ เหมือนนิ้วคน”
ต่างหันไปมอง ดินใกล้กอกล้วยมีร่องรอยเหมือนถูกขุดคุ้ยจากสัตว์เป็นร่องลึกลงไปเล็กน้อย ในหลุมนั้นเหมือนนิ้วมือโผล่พ้นขึ้นมา ตั้มดึงอัญมณีให้ถอยห่างเมื่อชลทิศขยับเข้าไปคุ้ยดินด้วยสองมือจนมือคนโผล่ขึ้นมาทั้งข้าง
“มือคนจริงๆ” อัญมณีพูดเสียงแผ่ว ผิดกับตั้มที่ตะโกนเรียกคนมาช่วย
“ตรงนี้มีศพฝังอยู่ครับ มาช่วยกันขุดหน่อย”
ไม่นานก็มีคนมาช่วยกันขุด ยิ่งขุดลึกกลิ่นเหม็นเน่ายิ่งคละคลุ้งจนอัญมณีต้องรีบวิ่งไปอาเจียน ตั้มรีบตามไปดูแล
“ศพใคร ทำไมถึงมีคนตายที่นี่เยอะจัง” หล่อนไม่ได้ต้องการคำตอบแค่อยากพูดอะไรออกมาให้หายอึดอัด มันรู้สึกหวาดกลัวทั้งขยะแขยงเมื่อนึกถึงว่าเมื่อครู่หล่อนเท้ามือลงไปบนนิ้วเน่าเหม็นนั่น
อัญมณีรีบแบมือขึ้นดูแล้วบอกตั้ม
“นี่อยากล้างมือ”
“ทางนี้ครับ” ชลทิศเข้ามาจะคว้ามือหล่อนแต่ชะงักเพราะมือตนเองก็เปรอะเปื้อนไม่น้อยไปกว่ากัน จึงเปลี่ยนเป็นชี้ไปที่โอ่งน้ำสีมอจากเขม่าควัน แล้วเดินนำไปพลางบอก
“น่าจะศพผู้ชาย”
“คิดว่าใครหรือคะ” หล่อนอดถามไม่ได้
ชลทิศตักน้ำในโอ่งมารดมือที่ยื่นออกไปรับแต่โดยดี พร้อมบอกเสียงเรียบอย่างเก็บอาการ
“พี่เขยผม”
“ห๊า!พี่เขยที่ฆ่าพี่สาวคุณนะหรือ” อัญมณีกลับเก็บอาการไม่อยู่หล่อนถามเสียงดังอย่างตกใจ ก่อนรีบหุบปาก แล้วกระซิบถามเขาอีกครั้ง
“พี่เขยหมอไม่ได้ติดคุกตามข่าวหรือคะ”
“ครับ หลังเกิดเรื่องพี่ไกรสรก็หายไป เราคิดว่าแกหนี อาจหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ที่ให้ข่าวว่าแกชดใช้กรรมอยู่ในคุกเพราะอยากให้เรื่องจบ ไม่อยากให้ชาวบ้านเอาไปสงสัยพูดใส่สีและคาดเดาไปต่างๆ นานา”
“อย่างนี้ไงถึงเหมาว่าพี่เขยคุณหึงอัญมณีพี่สาวคุณมีชู้เป็นผู้หญิง” หล่อนไม่ได้คิดจะซ้ำเติม แต่ไม่อาจห้ามความคิดชลทิศได้เพราะเขาตวัดสายตามาตำหนิหล่อน
“ก็มันมีมูล”
“มูลเรื่องอะไรไม่ทราบคะ”
“คุณคืออัญมณีหรือเปล่า” แล้วเขาก็กลับมาคำถามเดิม แต่ครานี้ตั้มเข้ามาไขความกระจ่าง
“มานี่เป็นแฟนคลับอัญมณีครับ ไม่ใช่อัญมณีครับ”
ชลทิศหันไปมอง สายตาเขาเต็มไปด้วยคำถาม
“ไว้ค่อยเล่าครับ ไปดูศพดีกว่าเอาขึ้นมาแล้ว” ตั้มบอกแล้วหันมามองอัญมณี
“มานี่ไม่ต้องไปก็ได้ กลิ่นแรงพอสมควร”
“ไม่เป็นไรค่ะ เอาผ้าปิดจมูกมาแล้ว” หล่อนบอกแล้วหยิบผ้าปิดจมูกขึ้นมาใช้ ถือกล้องเพื่อเตรียมพร้อมแล้วเดินตามไป
ศพอยู่ในสภาพเน่าเปื่อย เนื้อและผิวหนังบางส่วนแหว่งวิ่น บางส่วนมีหนอนไต่และกัดกิน ตำแหน่งดวงตาลึกโบ๋ลูกตาหายไปคาดว่าถูกหนอนและแมลงกัดกินไปแล้ว เนื้อตรงแก้มข้างซ้ายแหว่งจนเป็นรูเห็นเข้าไปในปากส่วนอีกข้างแห้งกรัง เสื้อมีปกสีมอเปื้อนดินเปื้อนน้ำหนองทำให้มองสีเดิมยาก แต่คาดว่าเป็นสีอ่อนไร้ลวดลาย ตรงคอศพมีสร้อยทองเส้นใหญ่พร้อมพระเครื่องเลี่ยมทอง ข้อมือซ้ายที่เนื้อหายไปจนเห็นกระดูกมีนาฬิกายี่ห้อดัง ยังมีแหวนทองอีกสองวงสวมติดนิ้ว
จากเครื่องประดับมีค่าที่ติดตัวศพอยู่ตัดเรื่องการฆ่าชิงทรัพย์ไปได้ แต่จะมีสาเหตุใดและใครทำนั่นคือสิ่งที่ตำรวจต้องสืบหาต่อไป
“ไม่คิดว่าครอบครัวนี้จะโชคร้าย พ่อ แม่ ลูก เสียชีวิตเวลาไล่เลี่ยกัน” อัญมณีพูดเมื่อเดินไปที่รถเพื่อกลับไปยังสถานีโทรทัศน์ แต่ตั้มกลับส่ายหน้าช้าๆ
“ยังมั่นใจไม่ได้ว่าศพไฟไหม้คือดารานะ”
“อ้าว จนป่านนี้ยังไม่มั่นใจหรือคะ กี่วันแล้วนี่เด็กคนนั้นก็ยังไม่กลับบ้านนี่นา”
“ต่างก็หวังว่าไม่ใช่ ไม่มีใครอยากให้ใครตายหรอก แต่ก็นั่นแหละอดห่วงไม่ได้อีก คือลำบากใจนะ ถ้าใช่ศพนั่นก็ได้รู้ว่าตายแล้วจริง ถ้าไม่ใช่ก็ต้องตามหากันต่อ แล้วยังต้องตรวจสอบดูว่าใครที่เป็นศพ แล้วทำไมมาตายในบ้านนี้อีกอีก”
“ก็จริงค่ะ ทั้งอยากให้ใช่และไม่ใช่ ถ้านี่เป็นญาติคงแทบบ้ากับการรอคอยอย่างนี้”
“ผมบ้าอยู่แล้วไง เลยไม่มีผลมากนัก” ชลทิศพูดแทรกขึ้นมา ก่อนจะเดินมาหยุดใกล้รถที่ติดตราสัญลักษณ์สถานีโทรทัศน์ที่ตั้มนำมาใช้งาน
อัญมณีหันไปค้อนเขาเบาๆ แล้วเปิดประตูจะเข้าไปนั่ง แต่ชลทิศผลักประตูไว้ไม่ยอมให้เปิด
“ใครคือนักเขียนคนนั้น” แล้วเขาก็ถามคำถามเดิม
ตั้มถึงกับต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้ ส่วนอัญมณีถอนใจเฮ้อใหญ่แล้วถามกลับ
“อัญมณีจะเป็นใครมาจากไหน มันสำคัญมากหรือคะ นั่นศพพี่เขยคุณก็ยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้ฆ่าพี่สาวคุณเพราะหึงหวงนะคะ ทั้งสองคนถูกฆ่าแล้วอำพรางศพ ช่วงเวลาที่เกิดเหตุอัญมณีอยู่ที่กรุงเทพฯข้อมูลแค่นี้พอใจไหมคะ”
“ผมไม่ได้แต่งเรื่องเก่ง มีจินตนาการแบบอัญมณีหรอกนะ และผมก็ไม่ปักใจเชื่อว่าพี่ไกรสรไม่ได้เป็นคนฆ่าพี่ดาวกับแค่การที่แกกลายเป็นศพเสียเอง ไว้ตรวจสอบอย่างละเอียดก็รู้เอง แต่ผมอยากรู้ให้หายข้องใจ ใครคืออัญมณี”
“ไว้รอเดือนหน้าสิคะ สำนักพิมพ์เค้าจะเปิดตัวอัญมณี ให้รู้พร้อมกันในงานหนังสือ แต่บอกได้แค่อัญมณีเป็นผู้ชาย”
“ผู้ชายหรือ อย่างนั้นก็ไม่ใช่จริงๆ” ชลทิศพูด พยักหน้าช้าๆ เหมือนผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะเดินจากไป
อัญมณีหันไปมองตั้มที่หันมองหล่อนเช่นกัน สองคนทำหน้าสงสัยไม่แตกต่างกัน ก่อนหล่อนจะตามชลทิศไป ดึงแขนเขาไว้แล้วถาม
“ทำไมจู่ๆ หมอก็มั่นใจว่าอัญมณีไม่เกี่ยว”
ชลทิศหยุดเดินแล้วหันกลับมาสบตาหล่อนแล้วบอกช้าๆ
“ไว้คุยกันตอนเลิกงานนะผมไปรอที่ร้านเพื่อนตั้ม ฝากชวนตั้มด้วย”
เขาเปลี่ยนมาบีบมือหล่อน พยักหน้าแทนรอยยิ้มแล้วผละไป ทำเอาอัญมณีงันไปชั่วครู่กับแววตาที่เขามองเมื่อครู่ แปลกไปกว่าทุกครั้ง เดาความหมายยากแต่กลับทำให้สะเทิ้นอายได้เหมือนกันหากเขาจะจ้องนานกว่านี้
“เคลิบเคลิ้มอะไรเบอร์นั้น หมอชลออกรถไปโน่นแล้ว มานี่ยังยิ้มตาหวานอยู่อีก”
เสียงกระเซ้าทำให้หล่อนรีบหันไป ชะงักเล็กน้อยเมื่อต้มอยู่ใกล้กว่าที่คิด
“หมอชลบอกค่อยคุยตอนเย็นที่ร้านเพื่อนคุณแหละ ให้ชวนคุณด้วย”
“โอเครับทราบ งั้นรีบกลับไปเขียนข่าวเถอะ”