บทที่๑๓
อัญมณีทำงานไปเหลือบมองนาฬิกาไปเหมือนกลัวคลาดนัดสำคัญจนถูกตั้มแซว แต่หล่อนรู้ว่าเขาเองก็อยากให้ถึงเวลาเลิกงานเร็วๆ เพื่อไปพบชลทิศ ต่างมีข้อสงสัยในคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ และยิ่งสงสัยมากขึ้นเมื่อพัวพันกับคนในครอบครัวของชลทิศคนแล้วคนเล่า ท่าทีชลทิศตอนนัดนั้นเหมือนมีเรื่องมากมายจะเล่าให้พวกหล่อนฟัง ยิ่งกระตุกต่อมอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นจนไม่อยากกลับมาทำงานต่อเสียด้วยซ้ำ
“ตั้งใจทำงานหน่อย อีกห้านาทีเท่านั้น” ตั้มบอกแล้วหัวเราะ ส่วนตัวเองกำลังเก็บของเตรียมเลิกงาน
“แหมอีกตั้งห้านาทีทำไมเก็บของแล้วคะ” หล่อนถามกลับแต่ทำไม่ต่างกันจนเรียกเสียงหัวเราะจากตั้มได้ แต่ไม่นานเขาก็หุบปากฉับพลันแล้วบุ้ยใบ้ไปทางประตู อัญมณีหันไปมองแล้วลอบเบะปาก แล้วเดินไปหาก่อนสวิชจะมาถึงที่โต๊ะทำงานของตน
อัญมณีอยากรู้นักว่าทำไมยามด้านหน้าจึงปล่อยให้บุคคลภายนอกเข้ามาได้ง่ายขนาดนี้
“พี่มารับ” สวิชบอก พร้อมหันไปยิ้มให้ตั้ม
“ยังไม่เลิกงานค่ะ” หล่อนบอก
เห็นสวิชเหลือบมองเวลาแล้วหันไปถามตั้ม
“ผมรับแฟนกลับก่อนสองสามนาทีได้ไหมตั้ม”
“ในส่วนของเพื่อนร่วมงานผมว่าได้นะ เล็กน้อยมากเชิญตามสบายครับ แต่ส่วนเจ้าตัวจะว่ายังไงนี่สิผมไม่รู้” ตั้มบอก แล้วหันไปเก็บของต่อเหมือนไม่สนใจ
“ไปจ้ะ” สวิชหันมาชวนอัญมณี
“นี่มีนัด” หล่อนบอกตรงๆ แต่สวิชทำหน้าแปลกใจแล้วถามทันที
“นัดกับใคร ก็น้าอังกาบให้พี่มารับมานี่ไปกินข้าวพร้อมกัน”
“แม่ให้มารับ ทำไมไม่เห็นโทรบอกนี่เลย” หล่อนไม่อยากเชื่อ
“หาว่าพี่โกหกหรือยังไง โทรไปถามสิ” เขาพูดเสียงแข็งพร้อมส่งโทรศัพท์มือถือให้
อัญมณีไม่อยากมีเรื่อง ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนร่วมงานจึงรีบประนีประนอม
“นั่งรอก่อนนะคะ เก็บของยังไม่เสร็จ”
“จ้ะ” สวิชรับคำใบหน้าแย้มยิ้มขึ้นมาทันที แล้วเดินไปคุยกับตั้ม
“ถ้าไม่ใช่การนัดกินข้าวในครอบครัว ผมก็อยากชวนคุณไปด้วย”
“ไม่เป็นไร ผมมีคนรอกินข้าวด้วยอยู่แล้วเหมือนกัน”
“แฟนหรือเปล่าครับ มีข่าวดีเมื่อไหร่อย่าลืมบอกนะ”สวิชเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ถ้ามีบอกแน่นอนครับ ใส่ซองให้ผมหนาๆ หน่อยนะครับคุณอัญมณี” ตั้มยิ้มแต่อีกฝ่ายหน้าบึ้งทันที ก่อนจะเดินกลับไปหาอัญมณี
“เสร็จหรือยัง ไปเถอะ” เขาไม่ได้ถามเปล่า กลับหยิบกระเป๋าสะพายใบใหญ่ของหล่อนมาถือไว้ แล้วเดินออกไปนอกห้องทันที จึงไม่เห็นอัญมณีหันไปชี้นิ้วคาดโทษตั้ม แล้ววิ่งตามเขาไป
“มานี่บอกตั้มเรื่องพี่หรือ” เขาถามขึ้นทันทีที่เข้ามาอยู่ในรถด้วยกัน
หล่อนหันไปมองเขาอย่างแปลกใจเพราะคิดว่าเรื่องนี้ไม่สมควรเป็นความลับอีก่อไป ก็เขาบอกเองว่าสำนักพิมพ์จะให้เปิดตัวเร็วๆ นี้
“ค่ะ”
“แล้วบอกใครไปอีก ทำไมไม่ถามพี่ก่อนละว่าพร้อมจะเปิดตัวหรือยัง สำนักพิมพ์ยังต้องถามความเห็นพี่เลยว่าพร้อมไหม”
“อ้าว ใครจะไปรู้ ก็พี่วิชบอกเองว่าจะเปิดตัว นี่ก็เลยไม่คิดว่ามันเป็นความลับอีกต่อไปสิคะ” หล่อนไม่แก้ตัวแต่หล่อนคิดอย่างนั้นจริง ก่อนถามเปลี่ยนเรื่อง
“พี่วิชบอกผู้ใหญ่หรือยังเรื่องยกเลิกการแต่งงาน”
“ใครยกเลิก พี่บอกแล้วไง ว่ายังไงก็แต่ง”
“แต่นี่ไม่แต่ง นี่ไม่รักพี่วิช” หล่อนเคยบอกเขาแล้ว
“ไม่รักพี่แล้วเพราะมีหมอชลใช่ไหม”
“พี่วิช!”
“พี่พูดถูกไหม มานี่กับหมอชลมีอะไรลึกซึ้งมากกว่าคนเคยร่วมงานกันใช่ไหม”
“เปล่าค่ะ”
“งั้นจะปฏิเสธการแต่งงานกับพี่ทำไม เราหมั้นหมายกันมานานแล้ว รู้จักกันดีเกินพอ อย่าพูดเรื่องไม่แต่งานกับพี่อีก พี่ไม่อยากฟัง ผู้ใหญ่ก็คงไม่อยากฟังหรอก”
“แต่พี่วิชมีคุณดวงสมร”
“เหลวไหล ไม่ต้องเอาใครมาอ้าง ยังไงเราก็ต้องแต่งงานกับพี่”
เขาตัดบทแล้วไม่หันมามองหล่อนอีก ไม่ว่าจะพูดจะยกแม่น้ำทั้งห้ามาบอกถึงความแตกต่าง ความไม่ลงตัวและไม่รัก ไม่แต่งงาน จนรถเลี้ยวเข้าจอดหน้าสวนอาหารใหญ่แห่งหนึ่ง หล่อนจึงพูดขึ้นหลังตัดสินใจถี่ถ้วนแล้ว
“นี่จะเป็นคนบอกผู้ใหญ่เองว่ายังไม่พร้อมแต่งงาน” หล่อนเปิดประตูจะลงจากรถ แต่ถูกกระชากแขนไว้
“อย่าเด็ดขาด แล้วจะหาว่าพี่ไม่เตือน”
เขาปล่อยแขนหล่อน แล้วลงจากรถปิดประตูเสียงดังอย่างที่หล่อนไม่เคยเจอ ท่าทางก็ดุดันกลบภาพสวิชพี่ชายที่อ่อนโยนไปหมด เขาเดินเข้าไปในร้านโดยไม่หันมามอง ไม่รอเดินไปพร้อมกัน เหมือนเขามั่นใจว่าหล่อนจะตามเข้าไป ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นตลอดมา หล่อนไม่เคยขัดเขาได้ และดูเหมือนผู้ใหญ่ก็ชอบให้เป็นแบบนั้น
แม่บอกเสมอว่าผู้ชายคือช้างเท้าหน้าคือผู้นำครอบครัว ผู้หญิงต้องเดินตามและเชื่อฟัง และสวิชก็เหมาะที่จะเป็นผู้นำหล่อน ทั้งๆ ที่แม่ไม่ค่อยยอมพ่อเท่าไหร่ในบางเรื่องและถือเป็นเรื่องส่วนใหญ่ และวันนี้หล่อนก็ไม่ยอมเช่นกัน หล่อนต้องพูดเพื่ออนาคตของตนเอง
ยังดีที่สวิชรอเลื่อนเก้าอี้ให้ แล้วนั่งลงข้างๆ พาดแขนมาบนพนักเก้าอี้ที่หล่อนนั่งไม่เกรงใจพ่อหล่อนที่มองไม่พอใจชั่วครู่ ส่วนแม่นะหรือยิ้มชื่นชมหน้าบาน หล่อนปล่อยให้ทุกคนกินอาหารเสร็จ และระหว่างรอของหวานก็พูดขึ้น
“คือนี่มีเรื่องจะบอก”
หล่อนเห็นสวิชหันมาทำตาดุใส่ แต่ห้ามหล่อนไม่ได้แน่เพราะตริตรองดีแล้ว
“นี่จะไม่แต่งงานกับพี่วิชค่ะ”
“อะไรกัน งานเตรียมแล้ว การ์ดแจกแล้ว จะไม่แต่งได้ยังไง” แม่หล่อนโวยวายทันที แถมยังโบกมือไม่ยอมฟังเหตุผลเมื่อหล่อนจะพูดต่อ
“แม่ไม่ยอม ยังไงก็ต้องแต่ง อะไรกันบอกญาติ เชิญแขกไว้หมดแล้วจะมายกเลิกเอากลางคันแบบนี้ไม่ได้”
“พ่อคะ” หล่อนหันไปหาตัวช่วยที่เหมือนหมดโอกาสช่วย เพราะแค่หล่อนอ้าปากแม่ก็หันไปทำตาดุใส่พ่อ แล้วหันมาพูดตัดบท
“โตแล้วนะมานี่ อย่าทำอะไรเป็นเด็ก นึกจะไม่แต่งก็ยกเลิกเสียดื้อๆ มันได้ที่ไหน คิดถึงคนอื่นบ้างจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทั้งญาติเราญาติพี่วิช ต่างรับรู้ เตรียมตัวกันแล้ว จู่ๆ หล่อนจะมาบอกยกเลิกมันสมควรมั้ย เสียหายมั้ย ถ้าเป็นสมัยก่อนมาขอยกเลิกแบบนี้ รู้ไหมต้องชดใช้ให้อีกฝ่ายกี่เท่า”
“ถ้าต้องชดใช้ค่าเสียหายนี่ก็ยอมค่ะ”
“แล้วค่าเสียความรู้สึกละ มานี่จะชดใช้ให้พี่ยังไง เท่าไหร่ถึงจะเท่าเทียม” สวิชถามเสียงเรียบ ไม่เจืออารมณ์ใดๆ นั่นทำให้หล่อนดูเป็นตัวร้ายขึ้นมาทันที
ผู้ใหญ่สี่คนในโต๊ะต่างหันมาจ้องหล่อนเป็นตาเดียวเพื่อรอฟังคำตอบ มีแต่พ่อเท่านั้นที่มีความเห็นอกเห็นใจแฝงในดวงตาหล่อนอยากย้อนถามถึงความสัมพันธ์ของเขากับดวงสมร ความสัมพันธ์ที่นำความเดือดร้อนและอันตรายมาสู่หล่อน ทำไมเขาไม่คิดบ้างว่าหล่อนเองเสียความรู้สึกกับเรื่องนี้มากแค่ไหน และถ้าผู้ใหญ่รู้จะคิดเช่นไร จะมีใครเห็นใจหล่อนบ้างไหม
“เลิกพูดเถอะ ทุกอย่างเหมือนเดิม อย่าทำให้พ่อแม่ลำบากใจได้ไหม อัญมณี”อังกาบตัดบทและปราม ก่อนหันไปเชิญชวนทุกคนกินของหวานที่พนักงานยกมาพอดี
“นี่ขอตัวไปห้องน้ำ” หล่อนไม่อาจทนนั่งต่อได้ รู้สึกน้อยใจจนคิดว่าหากนั่งอยู่ต่อน้ำตาคงไหลให้ได้อับอายเป็นแน่ ซ้ำแม่ยังพูดดักไล่หลังมาให้งันอีกครั้ง
“อย่าคิดหนีกลับก่อนละ มานี่”
หล่อนได้แต่เหลือบตามอง แล้วเดินออกไปจากโต๊ะ
อีกสิบนทีต่อมาจึงส่งข้อความบอกสวิชว่า
‘นี่มีงานด่วน จะกลับบ้านเอง ไม่ต้องรอนะคะ’