บทที่๖
ชลทิศออกจากบ้านอัญมณีก็ตรงไปบ้านพี่สาว เมื่อคืนหลังจากดวงดาราโทรบอกว่ากลับถึงบ้านแล้วเขาก็ไม่ได้คุยอะไรต่อเพราะมัวแต่ห่วงอาการของอัญมณีที่ยังไม่ฟื้น เวลานี้หล่อนออกจากโรงพยาบาลแล้วโดยไม่มีอะไรน่าห่วงจึงรีบไปดูหลานสาว เพราะนอกจากดูว่าดวงดาราเจ็บตรงไหนบ้างแล้วยังต้องถามไถ่กันอีกมากมายว่าทำไมถึงไปขับรถดึกดื่นเช่นนั้น เขาเชื่อว่าหากดวงดาวยังอยู่คงไม่อนุญาตให้ลูกออกไปนอกบ้านกลางค่ำกลางคืนตามลำพัง
ชลทิศจอดรถไว้หน้าบ้านแล้วเปิดประตูเล็กเข้าไป คงเป็นความเคยชินของบ้านนอกคอกนาที่ไม่ค่อยมีรั้วรอบขอบชิด เพื่อสะดวกเวลาไปหาสู่กันตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปนิยมแบ่งกั้นอาณาเขตชัดเจน ต่างก็ทำรั้วบ้านลักษณะต่างๆ ตามความพอใจ เช่นเดียวกับบ้านหลังนี้ทำรั้วรอบบ้าน แต่ประตูรั้วเมื่อเปิดแล้วก็ปิดล็อกตอนค่ำก่อนเข้านอนทีเดียวตอนดวงดาวอยู่เป็นเช่นไรตอนนี้ก็เหมือนเดิม แม้เขาจะเตือนหลายครั้งหลายหนก็ไม่มีใครปฏิบัติตาม เวลานี้พุดจีบมาอยู่เป็นเพื่อนดวงดาราแล้ว แต่ประตูบ้านยังเข้าออกได้สบายเหมือนเดิม
เสียงแว่วจากครัวหลังบ้านทำให้จุดหมายของชลทิศเปลี่ยนไป จากจะตะโกนเรียกดวงดารากลับเดินลึกเข้าไปถึงครัวที่อยู่ส่วนหลังบ้าน
พุดจีบกำลังสาละวนกับการหาของและเสียงบ่นพึมพำทำให้รู้ว่าหามีด
“มีดอะไรน้าพุด เดี๋ยวช่วยหา” เมื่อเขาทักทายเช่นนั้นพุดจีบจึงหันมามอง
“อ้าว!มาเมื่อไหร่ชล”
“ก็ประตูรั้วไม่เคยล็อก ใครไปใครมาก็เข้าถึงตัวได้เลยนะน้า”
“อ้าว! เช้านี้น้ายังไม่ได้ออกไปไหนเลยนะ หรือว่าดาราออกไปข้างนอก น้ามัวแต่สาละวนอยู่แต่ในครัว จะทำกับข้าวแต่หามีดไม่เจอ”
“ดาราออกนอกบ้านไหวหรือครับ ไม่ขัดไม่ยอกหรือ” คำถามของเขาทำให้รู้ว่าพุดจีบไม่รู้เรื่องที่ดวงดาราขับรถชนอัญมณี
“ขัดยอกทำไม ดาราเป็นอะไร”
“อ้าว”ชลทิศทำเสียงแปลกใจ แต่ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ คนที่เอ่ยถึงก็เข้ามาทักทาย
“น้าชลมาแต่เช้าเลย” ดวงดาราเข้ามาในครัว พร้อมส่งมีดให้พุดจีบ
“หามีดนี่หรือเปล่าจ้ะยาย ดาราเอาไปตัดดอกไม้ตรงโน้น ว่าจะเอาไปปักหน้ารูปถ่ายแม่”
“ใช่ๆ เดี๋ยวชลอยู่กินข้าวเที่ยงด้วยกันนะ น้าทำกับข้าวก่อน” พุดจีบรับมีดจากดวงดาราแล้วลงมือทำกับข้าว ไม่สนใจใคร่รอคำตอบเรื่องที่ถามเหมือนจะลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
สองน้าหลานเดินออกไปนั่งคุยกันที่ห้องรับแขก ชลทิศสังเกตว่าดวงดาราเดินกะเผลกเล็กน้อยจึงรีบถามอาการ
“ขาเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ขัดยอกแต่ไม่มากค่ะ นวดยาแล้ว แต่ดารายังไม่บอกยายพุดนะคะ เมื่อคืนกลับมาแกหลับไปแล้ว”
“แล้วดึกดื่นขนาดนั้นเราออกไปไหนมา”
“ไปหาแม่มาค่ะ”
คำตอบของหลานสาวทำเอาชลทิศอึ้งและอึ้งหนักเมื่อดวงดาราเล่าให้ฟังว่า ฝันถึงดวงดาวบอกว่ายังทุกข์ทรมานไม่ได้ไปผุดไปเกิดเพราะตัวต้นเหตุยังลอยนวล เมื่อคืนดวงดาราไปไหว้เถ้ากระดูกของแม่ที่ฝังไว้ในวัดเพื่อบอกว่าจะทำทุกอย่างให้คนผิดชดใช้กรรมที่ก่อ
“พ่อเรานะหรือ” ชลทิศคิดว่าคนที่ฆ่าพี่สาว คงเป็นคนที่ถูกอาฆาตแค้น แต่ดวงดาราส่ายหน้าก่อนบอก
“นังคนนั้น เสียดายเมื่อคืนน่าจะชนมันแรงๆ ให้มันหัวฟาดพื้นตายไปเลย” แววตาเด็กสาวยามพูดไม่เหมือนล้อเล่นเลยสักนิด
“เมื่อคืนดาราตั้งใจชนหรือ”
“เปล่านะคะ ใครจะกล้าละ แค่อยากให้มันเจ็บมากๆ หรือตายไปยิ่งดี”
“อย่าคิดทำอะไรบ้าๆ เชียว ปล่อยให้กฎหมายจัดการ และอีกอย่างก็ยังตามตัวพ่อเราไม่เจอ ยังปักใจว่าเพราะความหึงหวงไม่ได้หรอก”
“ถ้าไม่ใช่ความหึงหวง ผัวจะฆ่าเมียได้ลงคอเชียวหรือ ดารามั่นใจว่าพ่อหึงมัน ถึงทำกับแม่แบบนั้น แต่อย่างน้อยถ้ามันจริงใจบริสุทธิ์ใจจริงทำไมไม่ไปตามนัด ปล่อยให้แม่ไปกับพ่อตามลำพังแล้วเกิดเรื่องขึ้น” ดวงดาราป้ายน้ำตาที่ไหล
ชลทิศดึงหลานสาวเข้ามากอด
“ไม่เอา ไม่คิดแค้นใคร เราเองจะไม่สงบ ปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ไหนพาน้าไปดูสิรถเสียหายต้องซ่อมไหม เดี๋ยวน้าออกค่าซ่อมให้”
เขาดึงความสนใจของหลานไปที่รถจักรยานยนต์ที่ดวงดาราหวงมาก ชนิดที่ไม่เคยให้ใครยืมขับเลยตั้งแต่ได้เป็นของขวัญวันเกิดจากไกรสร จะว่าไปแล้วทั้งไกรสรและดวงดาวก็เป็นพ่อแม่ที่รักและตามใจลูกมาก ดวงดาราซึ่งเป็นลูกคนเดียวอยากได้อะไรทั้งสองคนก็ไม่เคยขัด แต่มาพักหลังที่ดวงดาวเริ่มคบเพื่อน เริ่มออกเที่ยวกลางคืน สองแม่ลูกจึงมีปากเสียงกันบ่อยๆ
“ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ สีถลอกนิดเดียว ว่าแต่นังคนนั้นมันแจ้งตำรวจไหมคะ”
“ไม่หรอก คุณมานี่เขาจำไม่ได้ว่าใครชนใครและไม่รู้ว่าดาราเป็นคนชน แต่ดาราไม่ควรเรียกเขาแบบนั้น อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ใหญ่กว่า”
ดวงดาราเบ้ปากแล้วเดินกลับเข้าบ้าน ชลทิศรีบเดินตามเข้าไป พบว่าพุดจีบออกมาจากครัวแล้วนั่งอยู่ในห้องรับแขกเหมือนรอจะพูดคุยด้วย เมื่อเขากับดวงดาราเข้ามาก็กวักมือเรียกไปนั่ง
“น้ามีเรื่องจะคุย มาสองคนเลย”
“อะไรคะยาย” ดวงดารานั่งลงแล้วถามทันที
ชลทิศเดินมานั่งข้างๆ
“บ้านหลังนั้นขายไหม มีคนสนใจ”
“หลังไหน?” ถามขึ้นพร้อมกัน ก่อนมีสีหน้าสลดลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าพุดจีบคงหมายถึงหลังที่เกิดเหตุ
“ใครสนใจหรือครับ เขาไม่รู้หรือว่ามีคนตาย”
“รู้ แต่คงไม่กลัว ไม่อย่างนั้นจะถามซื้อทำไม น้าว่าขายไปก็ดีนะ เก็บไว้ก็มีแต่รกร้าง”
“ไม่ขายค่ะ ดาราจะเก็บไว้ แม่ดาราอยู่ที่นั่น เวลาดาราคิดถึงแม่จะได้ไปหา” ดวงดาราบอกเสียงดัง แล้วลุกขึ้นเดินหนีเข้าห้อง
“อ้าว แล้วจะมาโกรธยายทำไม คนถามซื้อยายก็มาบอกต่อเท่านั้น” พุดจีบพ้อตามหลัง
“อย่าถือแกเลยน้าพุด ดาราคงจะหวงของพ่อแม่”
“เก็บไว้มันรกนะ น้าว่าจะจ้างคนไปถางหญ้า ตัดต้นไม้รกๆ เสียบ้าง ชลว่าดีมั้ย”
“ก็ดีครับ”
“ไม่ดีค่ะ” เสียงดวงดาราแทรกขึ้น ก่อนเจ้าตัวเดินกลับมา
“เก็บไว้แบบนั้นก่อน เผื่อตำรวจเข้าไปหาหลักฐานเพิ่มเติมจะดีกว่านะคะ”
“อือ ก็ดีเหมือนกัน ไว้ปิดคดีแล้วเราค่อยว่ากันอีกที ดีมั้ย” ชลทิศไม่ได้เห็นพ้องนัก แต่ไม่อยากขัดใจหลานสาวก็เท่านั้น
“เอาอย่างนั้นหรือ แล้วพวกต้นไม้ต้นไร่ละ ถ้าไม่ไปรดน้ำมันก็แห้งตายหมด ถ้าไปมันก็รกไม่น่าเดินกลัวงูเงี้ยวเขี้ยวขอ” พุดจีบพูด
“ดาราแวะรดน้ำตอนหลังเลิกเรียนเองค่ะ ยายไม่ต้องห่วง ต้นไม้พวกนั้นไม่ต้องรดน้ำทุกวันก็ได้ พวกที่รกๆ เดี๋ยวฟันๆ ทิ้งก็ไม่รกแล้วค่ะ”
“งั้นตามใจ กินข้าวกันดีกว่า ไป” พุดจีบชวนแล้วลุกขึ้นเดินนำไปที่โต๊ะอาหาร ชลทิศรีบเดินตามไปช่วยจัดโต๊ะ
“ดาราไม่กินได้มั้ย กำลังลดความอ้วน”
“ลดความอ้วนเขาเลือกกินไม่ใช่เลิกกิน มาเลยไม่ต้องเลี่ยง มาดูสิยายพุดทำกับข้าวน่ากินทั้งนั้น ปลากับผักนี่กินไปเลยไม่อ้วนหรอก มา” ชลเรียกซ้ำพร้อมเดินไปดึงมือดวงดาราตัดปัญหากันการบ่ายเบี่ยง