บทที่๕
ร่างที่ดิ้นรนไขว้คว้าอิสรภาพและหลีกหนีความตายหยุดดิ้นโดยพลัน เสียงร้องขอความช่วยเหลือตกตื่นเงียบลงทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะ ความรู้สึกแรกที่ได้รับหลังตั้งสติได้คือไม่มีแรงกดที่ลำคอ ไม่อึดอัดหายใจไม่ออกอีกแล้ว หล่อนลืมตาขึ้นมองคนตรงหน้า เขากำลังหัวเราะเยาะหล่อนพร้อมบอกว่าแค่ล้อเล่น
อัญมณีผลักชลทิศออกห่างแล้วตบหน้าเขาเต็มแรง
“ไอ้บ้า เล่นบ้าๆ” พร้อมน้ำตาแห่งความตระหนกตื่นกลัวทะลักล้น หล่อนไม่คิดว่าจะมีใครกล้าล้อเล่นรุนแรงเช่นนี้
“อ้าว แค่อยากให้มีประสบการณ์เฉียดตายไปเขียนนิยายเรื่องใหม่ๆ”
“ไอ้หมอบ้า บอกว่าฉันไม่ใช่ๆ” หล่อนโกรธและท้อที่จะปฏิเสธกับคนที่ไม่ยอมรับฟัง หล่อนเปิดประตูรถลงมาแล้ววิ่ง ไปไหนก็ได้ให้ไกลจากหมอโรคจิต และยอมรับว่ากลัวไม่ปลอดภัยหากยังนั่งรถไปกับเขา
“เฮ้ย! นี่คุณ ผมไปส่ง ขึ้นรถก่อน”
ชลทิศวิ่งตาม พลางลูบแก้มที่ถูกตบเพราะความห่ามของตนเอง ชลทิศยังวิ่งไล่และดูเหมือนคนตัวเล็กกว่าวิ่งเร็วทีเดียว แต่เขาเป็นผู้ชายยังไงก็มีแรงและกำลังมากกว่าจึงตามทันได้ในไม่ช้า เขารีบคว้าแขนอัญมณีเอาไว้แล้วกระชากกลับมากอดไว้ทั้งตัว
“คุณๆ ผมไปส่ง ผมขอโทษ”
“ไม่ไป ปล่อย” อัญมณีดิ้นรนในอ้อมกอดที่รัดแน่นขึ้นเพื่อให้หล่อนหยุด
“ไม่ปล่อย” เขากอดไว้แน่นขึ้น ทว่าเรี่ยวแรงหล่อนมีมากกว่าที่เขาคิด และพิษของหล่อนก็มีพอตัว
อัญมณีกระทุ้งเข่าเข้าระหว่างขาแล้วกระทืบเท้าเต็มแรง พันธนาการจากชลทิศหลุดพ้นตัวหล่อนในทันทีพร้อมร่างใหญ่ทรุดลงครางอย่างเจ็บปวด
“โอ๊ย ตัวแสบ อย่าเพิ่งไป เฮ้ย!ระวัง”
อัญมณีวิ่งหนีสุดฝีเท้าไม่สนเสียงเรียกของชลทิศ แม้แต่เสียงเตือนให้ระวังก็ไม่ฟัง จนรู้สึกถึงแสงไฟที่สาดเข้าหน้าแล้วแรงปะทะอย่างรวดเร็ว ก่อนทุกอย่างดับมืด ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงตะโกนด้วยความตกใจของคนข้างหลัง
“มานี่!”
รถจักรยานยนต์ที่ชนอัญมณีก็ล้มลงเช่นกัน คนขี่เป็นเด็กสาววัยรุ่นที่นอนโอดโอยเพราะรถทับขา
“น้าชล ช่วยดาราด้วย” เด็กสาวถอดหมวกนิรภัยออกเมื่อเห็นน้าชายวิ่งเข้ามาประคองร่างที่นอนแน่นิ่งบนพื้น ชลทิศหันไปมองตกใจมากขึ้นไปอีก
“ดาราเองหรือ ดึกดื่นป่านนี้จะไปไหน แล้วเจ็บมากไหมนี่ อยู่นิ่งๆ ก่อน” เขาตรวจตราร่างกายอัญมณีภายนอกไม่มีกระดูกแตกหัก แต่ศีรษะหล่อนกระแทกพื้นคงจะแรงพอดูถึงได้หมดสติไปเช่นนี้ เขาวางหล่อนลงกับพื้นแล้วไปช่วยยกรถให้ดวงดาราขยับตัว
“เจ็บตรงไหน ขาหักมั้ย” ถามพลางก็โทรศัพท์พลาง แต่ดวงดารารีบดึงมือเอาไว้
“น้าชลจะโทรไปไหน”
“ก็แจ้งตำรวจ เรียกรถพยาบาลสิ”
“น้าชล เรียกตำรวจดาราก็ติดคุกสิ ดาราไม่มีใบขับขี่นะ”
“เฮ้ย อะไรวะ ขี่รถไปเรียนทุกวันนี้ไม่มีใบขับขี่หรือ” เขาเริ่มมองเห็นเค้าความยุ่งยาก
“ก็อายุเพิ่งครบ แล้วมีเรื่องวุ่นเสียก่อนเลยยังไม่ได้ไปทำ น้าชลอย่าแจ้งความนะ” ดวงดาราอ้อนวอน พลางรีบยกจักรยานยนต์ของตนขึ้นอย่างคล่องแคล่วเพื่อให้น้าชายเห็นว่าตนเองไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่เคล็ดขัดยอกเล็กน้อย
ชลทิศทำหน้าปั้นยาก มองหลานสาวทีมองอัญมณีที่ยังนอนนิ่งที่พื้นที ก่อนตัดสินอุ้มอัญมณี
“ไปเปิดประตูรถให้น้าที” เขาบอกแล้วรีบเดินไปที่รถ ดวงดาราลองสตาร์ทรถเมื่อใช้การได้ปกติก็ขี่ตามชลทิศไป แล้วลงไปเปิดประตูรถด้านหลังให้
“ข้างหน้าสิ” ชลทิศตะโกนบอก เมื่อมาถึงก็วางอัญมณีลงนั่งแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยให้
“เราเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาถามหลานสาวอีกครั้ง
“ไม่เป็นอะไรค่ะ น้าชลรีบพามันไปเถอะ อย่าบอกตำรวจนะคะ อย่าบอกใครนะว่าดาราเป็นคนชน”
“เออๆ กลับบ้านดีๆ ถึงบ้านแล้วโทรบอกน้าด้วยนะ ขี่รถดีๆ ละ” เขากำชับอีกครั้งแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถ ขับออกไปทันที
ดวงดารามองจนแสงไฟท้ายรถลับไปจากสายตาจึงขี่รถกลับบ้าน
อัญมณีลืมตาขึ้นแล้วปิดลงอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงความถ่วงหนัก หนักทั้งเปลือกตาและท้ายทอย รวมถึงปวดหัวตุบๆ จนอยากหลับไปอีกครั้ง แต่เมื่อลืมตาขึ้นแล้วตะแคงตามเสียงหายใจที่ดังอยู่ใกล้ๆ จึงเห็นเสี้ยวหน้าชลทิศเขานอนหนุนแขนตัวเองอยู่ตรงนี้เอง
เกิดอะไรขึ้น อัญมณีถามตัวเอง ก่อนคิดตริตรอง แล้วผวาจะลุกขึ้น
“ฟื้นแล้วหรือคุณ เจ็บตรงไหนบ้าง” ชลทิศเงยหน้าขึ้นแล้วถามเมื่อคนบนเตียงส่งเสียงโอดโอยและทำท่าเหมือนอยากลุกขึ้นนั่ง จนเขาต้องประคองให้หล่อนนอนลงอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าหล่อนมองเขาอย่างตื่นกลัว
“ปวดหัวมั้ย หรือเจ็บปวดตรงไหน บอกผม” ชลทิศพูดช้าๆ น้ำเสียงอ่อนโยน
“เกิดอะไรขึ้น” อัญมณีถามตรงๆ หล่อนยังนึกอะไรไม่ออก ชลทิศหน้าเสีย ถามกลับทันที
“คุณจำอะไรไม่ได้เลยหรือ”
“จำได้สิ คุณจะฆ่าฉัน ฉันวิ่งหนีไปชนอะไรไม่รู้”
คำตอบของหล่อนทำให้อีกฝ่ายยิ้มออก โล่งใจไปเปราะหนึ่ง อย่างน้อยแรงกระแทกก็ไม่ได้ทำให้หล่อนความจำเสื่อม แต่ไม่ค่อยดีนักที่หล่อนยังเชื่อว่าเขาจะฆ่าหล่อนจริงๆ
“ผมแค่ล้อเล่นไม่ได้คิดจะทำจริงหรอกน่า แต่ก็ถือเป็นความผิดผมที่ทำให้คุณตกใจจนวิ่งไปชนรถคนอื่น คุณล้มหัวฟาดพื้นสลบ ผมเลยพามานอนโรงพยาบาล เอ๊กซเรย์แล้วไม่มีเลือดคั่งในสมอง” เขาสรุปสั้นๆ
หล่อนวิ่งชนรถนี่เองจึงรู้สึกเหมือนถูกกระแทกแล้วทุกอย่างก็ดับมืด
“แล้วคนที่ฉันชนละ” คำถามของหล่อนเรียกรอยยิ้มจากชลทิศ
“ฝ่ายโน้นไม่เป็นอะไร ผมเห็นว่าคุณเป็นฝ่ายผิดเลยไม่ได้ให้เขารับผิดชอบ คุณคงไม่ว่าผมเจ้ากี้เจ้าการนะ”
“อ่อ ขอบคุณค่ะ แล้วที่บ้านฉันรู้หรือยัง แล้วนี่กี่โมงกี่ยามแล้ว”
“ผมยังไม่ได้บอกใคร เห็นว่าคุณไม่เป็นอะไรมาก”
“ดีแล้ว พ่อแม่ฉันคงนอนหลับไปนานแล้ว ไม่รู้หรอกว่าฉันยังไม่ได้กลับเข้าบ้าน”
“อ้าว ก็ตอนผมไปรับคุณอยู่ที่บ้านนี่” เขาแปลกใจ
“เปล่า ฉันเพิ่งมาจากบ้านพี่วิช ยังไม่ทันได้เข้าบ้าน”หล่อนพูดไปตามจริง แต่นึกตำหนิตนเองว่ากับคนบางคนก็ไม่สมควรพูดความจริงทุกเรื่อง เพราะเวลานี้ชลทิศมองหล่อนแปลก ยิ้มแปลก และกำลังมีคำพูดที่แปลกและขัดหู
“อยู่บ้านคนข้างบ้านดึกๆ ดื่นๆ พ่อแม่ไม่ว่าหรือไง หรือเพราะรู้ว่าลูกสาวไม่ชอบผู้ชายเลยไม่ห่วง”
“คุณหมายความว่ายังไง” หล่อนพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่รู้สึกเหมือนหัวโตกว่าปกติ หนักเกินกว่าจะแบกขึ้นมาไหว จึงทิ้งตัวลงอีกครั้ง แต่สายตาแข็งคาดคั้นยังมองชลทิศนิ่ง
“ก็ตรงๆ คุณเป็นเลส”
อัญมณีอยากกุมขมับ ท่าทางหมอคนนี้จะเข้าใจอะไรยาก หรือว่าเข้าใจไปแล้วก็ปักใจเช่นนั้นไม่ยอมเปลี่ยนความคิด ไม่รับฟังความจริง คนบ้าแบบนี้มีก็มีในโลกด้วย
“ฉันยอมคุณจริงๆ จะคิดจะเข้าใจยังไงก็เชิญตามสบาย ขอยาแก้ปวดสักสองเม็ดได้มั้ย ปวดหัว”
“อ้าว คุยตั้งนานทำไมไม่บอก ปวดตรงไหนชี้ให้ผมดูหน่อย แล้วปวดยังไงลึกๆ มึนๆ หรือยังไง มองหน้าผมชัดมั้ย” เขากระตือรือร้นถามอาการ ทั้งยังก้มลงไปใกล้เมื่อถามว่าเห็นหน้าชัดไหมจนอัญมณีอยากทิ่มตาให้รู้แล้วรู้รอด
“ปวดตึบๆ มึนๆ มองหน้าคุณชัดมาก แต่ช่วยไปให้ไกลหน่อย ฉันไม่อยากเห็นกลัวฝันร้าย”
“ครับผม” ชลทิศหัวเราะแล้วถอยออกห่าง
เขาเรียกหาพยาบาลเพื่อขอยาแก้ปวดมาให้หล่อนกิน และขอร้องให้พยาบาลช่วยจนคนป่วยกินยาแล้วนอนลงอีกครั้ง เขาจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ยาวชิดผนัง นั่งมองจนคิดว่าอัญมณีหลับไปแล้วจึงเอนลงนอน มองหล่อนอีกพักใหญ่จึงหลับไปเช่นกัน