“แล้วเหล่าอนุของท่านลุงไม่ออกมาจากเรือนหรือ เหตุใดเรือนของพวกนางถึงได้ดูเงียบยิ่งนัก”
ชิงเหมยเอ่ยถามสาวรับใช้ทั้งสองออกมาด้วยความสงสัย หลังจากเดินสำรวจจวนไปเรื่อยๆ นางยังไม่เคยได้พบหน้าอนุภรรยาทั้งสองของท่านลุงเลย มีแต่วันที่จวนจัดพิธีปักปิ่นให้นางวันเดียวเท่านั้น ที่ตนได้พบเจอพวกนาง เท่าที่สังเกตดูแล้วพวกนางทั้งสองก็ดูเจียมเนื้อเจียมตัวดีเสียด้วยซ้ำ เหตุใดท่านป้าสะใภ้ของนางถึงได้ชิงชังพวกนางจนคิดกักบริเวณไม่ให้พวกนางได้พบหน้าผู้ใด คิดแล้วชิงเหมยก็ไม่เข้าใจ
เซียงซุนยิ้มออกมาครั้นได้เห็นคุณหนูแสดงสีหน้าที่บ่งบอกถึงความประหลาดใจ นางจึงตอบออกมาเพื่อให้คุณหนูได้คลายความประหลาดใจ
“เพราะความเคยชินน่ะเจ้าค่ะ แต่ก่อนยามที่นายหญิงใหญ่อยู่ที่นี่ ได้สั่งห้ามไม่ให้พวกนางโผล่หน้าออกมาจากเรือนแม้แต่ครึ่งก้าว ยกเว้นก็แค่ยามที่คุณชายสามกับคุณชายสี่กลับมาจากสำนักศึกษาเพื่อพักผ่อนอยู่ที่จวน พวกนางถึงจะได้รับอนุญาตให้ออกจากบริเวณเรือนนอนของพวกนางได้”
ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก ถึงสตรีทั้งสองจะเป็นอนุภรรยาแต่ก็ยังถือว่าเป็นนายหญิงของจวนตระกูลซิ่วเช่นกัน เหตุใดท่านป้าสะใภ้ถึงได้จำกัดอิสรภาพของพวกนาง ทำราวกับว่าพวกนางเป็นนักโทษอย่างไรอย่างนั้น แล้วที่ผ่านมาท่านย่าไม่เคยตำหนิท่านป้าสะใภ้เลย หรือว่าท่านย่าไม่เคยรับรู้เรื่องการจัดการเรือนหลังของสะใภ้ และดูเหมือนว่าเซียงซุนจะรับรู้ถึงความสงสัยของคุณหนู นางจึงบอกออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเช่นเดิม
“ฮูหยินผู้เฒ่าตำหนินายหญิงใหญ่เรื่องนี้เช่นกันเจ้าค่ะ แต่ก็พูดอันใดมากไม่ได้เพราะตระกูลของนายหญิงใหญ่คอยเกื้อหนุนตำแหน่งหน้าที่การงานของนายท่านอยู่ อีกอย่างครั้นมอบอำนาจดูแลจัดการเรือนหลังให้กับนายหญิงใหญ่แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่ง นางจึงทำได้แค่เพียงตำหนิผ่านๆ เท่านั้น แต่ถึงกระนั้นนายหญิงใหญ่ก็ยังขุ่นเคืองฮูหยินผู้เฒ่าจนถึงขนาดคิดร้ายต่อท่านจนได้”
ชิงเหมยรู้ดีว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ท่านป้าสะใภ้วางยาท่านย่า มิใช่แค่เพียงเหตุผลนี้ แต่เหตุผลที่แท้จริงเป็นเพราะนางเกลียดชังท่านย่่าและอยากจะกำจัดเสี้ยนหนามให้กับท่านลุง หากท่านย่ายังมีชีวิตอยู่ ท่านลุงก็จะไม่ได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลซิ่วอย่างแท้จริง
“แล้วท่านลุงไม่สนใจพวกนางเลยหรือ”
“หลังจากที่อนุทั้งสองของนายท่านคลอดคุณชายทั้งสองออกมา นายท่านก็ไม่เคยมอบความโปรดปรานให้พวกนางอีกเลยเจ้าค่ะ”
หน้าที่ของสตรีในสายตาของบุรุษที่คิดจะเป็นใหญ่คงมีเพียงเท่านั้น ครั้นได้สิ่งที่ต้องการแม้จะต้องทอดทิ้งสิ่งที่โปรดปรานก็ยอม ชิงเหมยได้แต่หวังว่าในภายภาคหน้า หากนางต้องออกเรือนไปกับผู้ใดสักคน นางก็อยากที่จะเป็นภรรยาของเขาแต่เพียงผู้เดียว เรื่องการแก่งแย่งความโปรดปรานในเรือนหลังนั้นเป็นสิ่งที่นางไม่ปรารถนา
ชิงเหมยยังคงเดินสำรวจจวนตระกูลซิ่วไปเรื่อยๆ บ่าวและสาวรับใช้หลายคนต่างได้ชื่นชมในความงามของคุณหนูที่พวกตนเพิ่งจะได้รับรู้ ว่านางก็คือบุตรีเพียงคนเดียวของนายท่านรอง ที่ได้ล่วงลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน พวกบ่าวและสาวรับใช้ที่เคยรับใช้นายท่านรองต่างก็รู้สึกยินดี ที่ได้พบกับทายาทเพียงคนเดียวของเขา หากผู้ใดมากล่าวว่าคุณหนูหาใช่บุตรีของนายท่านรองไม่ พวกเขากล้าเถียงแทนนางสุดใจ เพราะคุณหนูนั้นมีใบหน้าท่าทางถอดแบบมาจากนายท่านรองไม่ผิดเพี้ยน
หลังจากที่เดินสำรวจจวนแห่งนี้จนทั่วแล้ว ชิงเหมยก็นึกขึ้นมาได้ว่าท่านย่าอนุญาตให้นางออกไปเที่ยวตลาดได้ มีหรือนางจะปล่อยโอกาสนี้ให้ผ่านไป เพราะตั้งแต่วันพรุ่งนี้นางจำต้องเรียนรู้มารยาทและงานบ้านงานเรือนกับท่านย่าแล้ว คงจะหาโอกาสออกไปเที่ยวชมความเจริญของเมืองถิงฮวาไม่ง่ายแล้ว
ครั้นชิงเหมยบอกสาวรับใช้ทั้งสองว่านางอยากจะออกไปตลาด หยวนเวยรู้สึกตื่นเต้นดีใจจึงขออนุญาตนางล่วงหน้าไปที่ด้านหน้าจวนก่อนเพื่อให้บ่าวเตรียมรถม้า ชิงเหมยจึงเดินตามหลังหยวนเวยมาพร้อมกับเซียงซุน สตรีต่างวัยทั้งสองพากันยิ้มออกมา หากเทียบกันแล้วในวัยเดียวกัน ชิงเหมยดูสงบเรียบร้อยกว่าหยวนเวยนัก สมกับที่นางมีสายเลือดของตระกูลซิ่วไหลเวียนอยู่
รถม้าของจวนตระกูลซิ่วถูกบังคับขับเคลื่อนออกจากหน้าจวน มุ่งหน้าไปยังตลาดเหนือของเมืองถิงฮวา ชิงเหมยนั่งนิ่งต่างจากหยวนเวยที่ดูจะตื่นเต้นกับสองฝั่งข้างทาง เซียงซุนพยายามที่จะตักเตือนให้หยวนเวยรู้จักสำรวมกิริยา แม้คุณหนูจะไม่ได้ตำหนิแต่ก็เป็นเรื่องที่สาวรับใช้เช่นพวกนางไม่สมควรกระทำ หยวนเวยรู้ตัวว่ากำลังแสดงท่าทีไม่เหมาะสมจึงยอมนั่งนิ่งๆ
จนในที่สุดรถม้าของจวนตระกูลซิ่วก็ไปหยุดอยู่ที่จุดจอดรถม้า จากนั้นชิงเหมยและสาวรับใช้ทั้งสองจึงลงมาจากรถม้าแล้วเดินตามกันเข้าไปในตลาดเหนือที่ยามนี้มีผู้คนมาจับจ่ายใช้สอยอยู่ไม่น้อย ทุกย่างก้าวของบุปผาแรกแย้มย่อมมีเหล่าผู้ภมรมองตาม หนึ่งในนั้นยังมีคุณชายผู้หนึ่งที่เพิ่งจะเดินทางกลับมาจากเมืองหลวง ครั้นได้เห็นว่าตนได้พบผู้ใดเขาก็รีบทักทายนางด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นยินดี
“เหมยเอ๋อร์… นั่นเจ้าเองรึ”
เรื่องราวที่เขาได้ยินมาระหว่างการเดินทางกลับเมืองถิงฮวา ที่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลซิ่วได้พบกับหลานสาวที่พลัดพรากมานานหลายปีแล้ว คราแรกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อเสียด้วยซ้ำ ครั้นได้เห็นเด็กสาวที่เขาแอบมีใจให้มานานแต่งกายด้วยอาภรณ์งดงาม ข้างหลังยังมีสาวรับใช้คอยติดตามดูแลถึงสองคน สมกับเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ ในที่สุดวันนี้ชิงเหมยก็ได้รับการยอมรับจากตระกูลซิ่ว ยามนี้บุปผาดอกนี้นอกจากอยู่ในวัยบานสะพรั่งแล้ว อีกทั้งยังมีความงดงามจนเขานึกอยากจะครอบครองนาง เพื่อเก็บเอาไว้ชื่นชมแต่เพียงผู้เดียว
หากเป็นเช่นนี้เรื่องที่เขาอยากจะให้มารดาสู่ขอนางมาเป็นภรรยาเอกคงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะก่อนหน้านี้มารดาของเขาคัดค้านไม่ยอมรับนาง เพียงเพราะเห็นว่านางเป็นเพียงลูกหลานของหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา มิอาจเกื้อกูลตระกูลของเขาให้มีความเจริญรุ่งเรืองได้ ยามนี้เกรงว่ามารดาจะรีบส่งเทียบขอหมั้นหมายไปยังจวนตระกูลซิ่วเสียด้วยซ้ำ คุณชายหนุ่มส่งยิ้มพลางสำรวจดวงหน้างาม
“คุณชายรองเฉียว”
ชิงเหมยคำนับเขาเล็กน้อยตามมารยาท นางไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้บังเอิญมาพบเขาที่นี่ ผู้ที่นางอยากเจอกลับไม่ได้เจอ ผู้ที่นางไม่อยากพบเจอกลับโผล่หน้ามา
“เรียกพี่เสียห่างไกล…เรียกว่าท่านพี่จูจ้านเช่นเดิมเถิด” เฉียวจูจ้านได้ยินคำเรียกขานของนางก็นึกไม่พอใจ
ยามที่นางยังเด็กเขามักจะคอยช่วยเหลืออละปกป้องนางอยู่บ่อยครา จึงแอบคิดว่านางอาจจะมีใจมอบไมตรีให้แก่เขาเช่นเดียวกับที่เขามอบให้นางบ้าง แต่ทว่าหลังจากนางหายเจ็บป่วย นางกลับพยายามขีดเส้นกั้นระหว่างเขากับนางอย่างชัดเจน จนทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ
อีกทัั้งยังมีเรื่องที่นางเคยบอกกับเขาว่า นางได้พบกับชายในดวงใจแล้ว เรื่องนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกร้อนใจนัก หากไม่ติดที่ว่าต้องเดินทางไปสอบขุนนางที่เมืองหลวง ยามนั้นเขาคงอยากจะเค้นถามนางให้รู้เรื่อง ไม่รู้ว่ายามนี้นางเปลี่ยนใจไปจากชายผู้นั้นหรือยัง หากยังเขาก็มีวิธีที่จะทำให้ได้นางมาครอบครอง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
“ท่านมาเดินเที่ยวตลาดหรือเจ้าคะ” ชิงเหมยไม่เรียกขานนามเขา นางยังคงเรียกเขาอย่างสุภาพ
“อืม… พี่เพิ่งจะกลับมาจากเมืองหลวง ระหว่างทางเรื่องราวของเจ้าถูกเล่าขานเสียโด่งดังเชียว ครั้นพี่ได้ยินก็อดยินดีแทนเจ้าไม่ได้”
ชิงเหมยทำเพียงยิ้มน้อยๆ ออกมา นางไม่อยากจะรั้งอยู่ตรงนี้ให้นานนัก เพราะถึงเช่นไรแล้ว นางก็เป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน มายืนคุยกับบุรุษอยู่หน้าโรงเตี๊ยมย่อมดูไม่งาม เรื่องนี้ถึงไม่มีผู้ใดสอนนางก็ย่อมรู้ด้วยตนเอง ยามนี้นางไม่ใช่ชิงเหมยเด็กสาวชาวบ้านธรรมดา แต่นางมีฐานะเป็นถึงคุณหนูของตระกูลซิ่ว ที่ต้องแบกรับชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเอาไว้บนบ่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เอ่อ…ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัวไปซื้อของก่อนนะเจ้าคะ ท่านย่าให้เวลาข้าออกมาซื้อของแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น หากชักช้าเกรงว่าจะได้ของกลับไปไม่ครบตามคำสั่งของนางแล้วจะถูกตำหนิเอา” ชิงเหมยยกผู้เป็นย่าขึ้นมากล่าวอ้าง
สองสาวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกงุนงง แต่ก็ไม่มีผู้ใดโต้แย้งออกมา เพราะเท่าที่สังเกตดูแล้วเหมือนคุณหนูของพวกนางอยากจะหลีกเลี่ยงคุณชายผู้นี้ ครั้นคุณชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นจึงไม่รั้งให้หญิงสาวอยู่คุยกับตน เพราะเห็นว่าวันหน้ายังมีโอกาสอีกมาก และหนทางที่จะได้นางไปเป็นภรรยาก็อยู่อีกไม่ไกล ในเมื่อฐานะเท่าเทียมกันแล้วยังมีสิ่งใดให้ต้องกังวล
“เช่นนั้นเจ้าก็รีบไปเถิด ไว้มีโอกาสเราค่อยพบกันใหม่”
ชิงเหมยคำนับลาเขาก่อนที่จะเดินนำหน้าสองสาวรับใช้เข้าไปในตลาดที่มีผู้คนพลุกพล่าน นัยน์ตาคมของเฉียวจูจ้านมองตามหญิงสาวที่ตนพึงใจไปจนนางลับสายตา ก่อนที่คุณชายหนุ่มจะก้าวเดินออกจากบริเวณนั้นเพื่อไปขึ้นรถม้ากลับจวน