หลังจากพิธีปักปิ่นของชิงเหมยผ่านไปเพียงหนึ่งวัน ซุนฉีก็ขอตัวกลับหมู่บ้านซานฉีไปก่อน เพราะนางปิดร้านขนมมาหลายวันแล้ว จึงเกรงว่าลูกค้าขาประจำที่ร้านจะหายไปเสียหมด คราแรกชิงเหมยคิดว่านางจะเดินทางกลับไปพร้อมท่านยายของนาง แต่ทว่าก็มีเหตุให้นางต้องเปลี่ยนใจในภายหลัง นั่นก็เพราะเรื่องที่พี่ชางขอร้องให้นางอยู่ต่อ เพื่อช่วยเขาสืบหาความจริงบางอย่างที่คนของเขาไม่อาจสืบหาได้ ชิงเหมยยินดีที่จะตอบแทนเขา เพราะนางเองก็ได้รับความช่วยเหลือจากเขาเสมอมา
ทั่วทั้งเมืองถิงฮวาในยามนี้ ชิงเหมยได้กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในฐานะหลานสาวอีกคนของตระกูลซิ่ว แม้ในภายหลังนางเลือกที่จะออกจากจวนไปใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านซานฉีกับนางซุนฉีผู้เป็นยายของนางเช่นเดิม แต่ทว่าสิ่งที่นางได้รับจากฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลซิ่วนั้น ครั้นผู้ใดได้ยินก็ไม่นึกดูแคลนนางอีกต่อไป เพราะนอกจากทรัพย์สินที่เป็นเงินทอง เครื่องประดับและผ้าไหมแล้ว นางยังได้รับเรือนหนึ่งหลังในหมู่บ้านซานฉี และไร่นาในหมู่บ้านซานตงที่ติดกับหมู่บ้านซานฉีอีกยี่สิบหมู่
“ท่านย่า…หลานรับเอาไว้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
ชิงเหมยรีบปฏิเสธผู้เป็นย่าทันที เพราะนางคิดว่าสิ่งที่นางได้รับมานั้นมากเกินไป ครั้นเข้าสู่วัยปักปิ่นก็กลายเป็นเศรษฐินีน้อยโดยไม่ทันตั้งตัว
“นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรจะได้รับมาตั้งแต่ต้น เจ้าเป็นหลานสาวสายตรงของย่า ย่ามอบให้เจ้าเพียงเท่านี้ยังถือว่าน้อยไปเสียด้วยซ้ำ อ้อ… เซียงฃุน…หยวนเวย ต่อไปนี้ข้าขอให้พวกเจ้าทั้งสองคอยติดตามดูแลรับใช้คุณหนูให้ดี เป็นดังตัวแทนของข้าที่มิอาจเฝ้ามองนางอย่างใกล้ชิดได้” ผิงหลันไม่ปล่อยให้หลานสาวได้ปฏิเสธ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นางสามารถทดแทนให้กับหลานสาวได้ ก่อนที่จะหันไปบอกสองสาวรับใช้ในเรือนของตน
“พวกบ่าวยินดีที่จะติดตามไปดูแลคุณหนูเจ้าค่ะฮูหยินผู้เฒ่า”
สองสาวรับใช้กล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยน้ำเสียงยินดี ต่างจากชิงเหมยที่แสดงสีหน้าออกมาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะถ้าหากนางมีสาวรับใช้คอยติดตาม งานที่นางแอบกระทำลับหลังท่านยาย ก็คงจะไม่สะดวกนัก เท่ากับว่าจะมีคนรู้ความลับของนางเพิ่มขึ้นอีกสองคน คงจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกนางสองคนจะไม่รู้ในสิ่งที่นางจะกระทำในภายภาคหน้า นางจึงคิดพยายามหาข้ออ้างเพื่อจะปฏิเสธฮูหยินผู้เฒ่า
“แต่ว่า…หลานอยู่กับท่านยายสองคนมานาน หากมีคนไปอยู่ด้วย หลานเกรงว่าจะทำตัวไม่ถูก”
“แต่เจ้าเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ แค่ย่าปล่อยให้เจ้าออกจากจวนไปอยู่ที่อื่น ผู้คนภายนอกก็มองย่าไม่ดีแล้ว เจ้าจะไม่เห็นแก่หน้าย่าสักหน่อยเลยหรือ…เหมยเอ๋อร์”
คำพูดของผู้เป็นย่าทำให้ชิงเหมยใจอ่อน นางหันหน้าไปมองสองสาวรับใช้ที่ตลอดระยะเวลาที่นางมาพำนักอยู่ที่นี่ก็เป็นนางทั้งสองที่คอยดูแลนางมาตลอด จะว่าไปพี่เซียงซุนและหยวนเวยก็เป็นคนดีไม่น้อย บางทีมีพวกนางอยู่อาจจะมีประโยชน์กับตนก็เป็นได้
“ถ้าเช่นนั้นหลานรับพวกนางไว้ก็ได้เจ้าค่ะ”
ทั้งเซียงซุนและหยวนเวยต่างยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจต่างพากันคำนับขอบคุณเจ้านายใหม่ ที่ไม่ว่าหลังจากนี้คุณหนูจะไปอยู่ที่ใด แต่งเข้าตระกูลไหนก็จะมีพวกนางสองคนคอยติดตามไปดูแล
พรุ่งนี้ฮูหยินผู้เฒ่าตั้งใจว่าจะสอนให้ชิงเหมยได้เรียนรู้เกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของสตรีเรือนหลัง เพราะอย่างน้อยหากนางต้องออกเรือนไป จะได้ไม่กลายเป็นที่ขบขันของตระกูลสามี และจะได้ไม่ถูกว่าที่แม่สามีดูแคลน ว่าเป็นสตรีที่ไม่มีความเพียบพร้อม
แม้นางจะเคยได้ยินมาว่าหลานสาวนั้นเป็นศิษย์เอกของสำนักศึกษาหลุนซี มีความฉลาดเกินวัย แต่เพราะเป็นสตรีครั้นออกเรือนไป สิ่งเหล่านั้นก็หาใช่เรื่องที่สำคัญไม่ สตรีในยุคนี้ต้องยึดหลักสามเชื่อฟัง สี่จรรยาเป็นหลัก หากมีรูปร่างหน้าตางดงามผิวพรรณสะอาดสะอ้าน แต่กลับขาดกิริยามารยาทที่เพียบพร้อม ก็อาจจะถูกตระกูลของสามีดูถูกดูแคลนเอาได้ เท่าที่นางสังเกตดูหลานสาวมาหลายวันแล้วนั้น เหมือนชิงเหมยจะขาดอยู่หลายข้อ นางจึงอยากจะช่วยฝึกฝนหลานสาว ก่อนที่นางจะวางใจปล่อยให้ชิงเหมยกลับไปยังหมู่บ้านซานฉี
“วันนี้ย่าจะปล่อยให้เจ้าได้เล่นสนุกไปก่อน แต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปย่าขอให้เจ้า เข้ามาเรียนรู้เรื่องกิริยามารยาทและการบ้านการเรือนกับย่า เข้าใจหรือไม่”
แม้จะดูเหมือนเป็นการบังคับหลานสาวมากเกินไป แต่นางก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดได้มาดูแคลนชิงเหมยเด็ดขาด ด้านผู้เป็นหลานสาวเองก็รับรู้ในความหวังดีของผู้เป็นย่า เพราะท่านยายมีฐานะยากจนจึงเอาเวลาส่วนใหญ่ไปหาเงินมากกว่า ที่จะมาคอยสั่งสอนนางในเรื่องเหล่านี้ แม้นางเองจะคิดว่ามันไม่จำเป็น เพราะในภายภาคหน้านางก็ไม่คิดจะออกเรือนไปกับผู้ใด แต่นางก็ยินดีที่จะเรียนรู้ตามความต้องการของท่านย่า เพื่อให้ผู้ใหญ่หมดห่วงยามที่นางต้องกลับไปยังหมู่บ้านซานฉีที่นางจากมา
“เจ้าค่ะ…ท่านย่า”
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปเถิด ให้เซียงซุนกับหยวนเวยพาเดินดูรอบๆ จวน หรือหากว่าหลานอยากจะออกไปเดินเล่นที่ตลาดย่าก็อนุญาต” ครั้นได้ยินท่านย่ากล่าวเช่นนั้น ชิงเหมยจึงยิ้มกว้างออกมา
“ขอบคุณท่านย่าเจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นหลานขอตัวก่อน”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าให้ ชิงเหมยจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วคำนับลา จากนั้นนางจึงเยื้องย่างออกจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าไป นางตั้งใจที่จะเดินดูรอบๆ จวนอยู่แล้ว นั่นก็เป็นเพราะเรื่องที่นางได้รับปากกับพี่ชางเอาไว้ ว่าจะช่วยเขาสืบหาความลับของผู้เป็นลุง
“ด้านนั้นเป็นเรือนของผู้ใดกันหรือ” จู่ๆ ชิงเหมยก็เอ่ยถามสาวรับใช้ที่เดินตามนางมา หลังจากที่เดินมาได้สักพัก
“เรือนของอนุเจียงเจ้าค่ะ ฝั่งตรงข้ามกันเป็นเรือนของอนุเหยา” เซียงซุนเป็นผู้ตอบคำถาม
ชิงเหมยพยักหน้าก่อนที่จะเดินนำสองสาวรับใช้ไปยังสวนดอกไม้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนใหญ่ที่เดิมเป็นเรือนของฮูหยินใหญ่มากนัก เรือนหลังนี้ช่างงดงามสมฐานะของนายหญิงใหญ่ แต่ทว่ายามนี้กลับเงียบเชียบ เป็นเพราะซิ่วฮูหยินถูกลงโทษให้ไปอยู่ที่อารามซีโถวนานถึงสามปี ส่วนญาติผู้พี่ทั้งสองก็ออกไปทำงานของพวกตน ยามนี้ที่จวนจึงเงียบเหงา แม้จะมีบ่าวและสาวรับใช้ทำงานอยู่ภายในบริเวณต่างๆ แต่ก็หามีผู้ใดกล้ามาพูดคุยกับนางไม่