เธอร้องไห้เบา ๆ กับความทุกข์ระทมที่ได้รับ ก่อนจะหลับไปพร้อมกับคราบน้ำตา
สิงห์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กสาว เขาทอดสายตามองเธอนิ่ง ก่อนที่มือหนาจะเลื่อนมาปาดน้ำตาให้เธอเบา ๆ
“พ่อจ๋าแม่จ๋า ทำไมไม่รักหนูบ้าง ขายหนูทำไม” เธอละเมอดึงมืออบอุ่นไปซบที่หน้าสะอื้นเบา ๆ สิงห์นั่งลงบนขอบเตียง ทอดสายตามองคนบนเตียงนิ่งอย่างตัดสินใจ
สารภีตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดข้อเท้าและอ่อนเพลียไม่น้อย เธอพบว่าตัวเองนอนหลับอยู่บนเตียงคนเดียวไม่มีแม้แต่เงาของสิงห์
ร่างเล็กเดินกะเผลกไปเข้าห้องน้ำ เธอมองตัวเองในกระจกเห็นดวงตาแดงก่ำบวมช้ำแล้วรีบจัดการทำธุระในห้องน้ำให้เสร็จสิ้น
เธอต้องไปทำงานใช้หนี้ เด็กสาวบอกตัวเองเช่นนั้น แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นโน้ตเล็ก ๆ อยู่ที่โต๊ะอาหารซึ่งแปะเอาไว้ที่ฝาชี
“อาหารเช้าอยู่ใต้ฝาชี กินเสร็จแล้วกินยานอนพักซะ ห้ามไปไหนเด็ดขาด กลับมาแล้วไม่เจอ มีเรื่องแน่”
มันเป็นคำขู่ที่เธอต้องเม้มปากกับความเผด็จการของสิงห์ แต่ก็เปิดฝาชีออกดู ข้างในมีข้าวต้มหมูสับที่เย็นชืดไปเรียบร้อยแล้ว น้ำเต้าหู้หนึ่งแก้วและยาที่ใส่แก้วเอาไว้วางอยู่ใกล้ ๆ กัน
แม้อาหารเช้าจะเย็นชืดแต่สารภีก็นั่งลงมองมันนิ่ง ๆ ก่อนจะร้องไห้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนเตรียมอาหารเช้าเอาไว้ให้เธอ ปกติตื่นขึ้นมาเธอต้องทำงานหัวหมุนกว่าจะมีอะไรตกถึงท้อง
สารภีตักข้าวต้มหมูสับเย็นชืดนั้นเข้าปากก่อนจะร้องไห้หนักขึ้นกว่าเก่า เธอกินไปร้องไป
นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่ากินข้าวกับน้ำตา…
เธอรู้สึกว่าอาหารตรงหน้าอร่อย ก้อนความตื้นตันแล่นขึ้นมาจุกอยู่ตรงคอหอยจนเธอขมปร่าไปหมดทั้งช่องปาก
เด็กสาวนั่งกินข้าวทั้งน้ำตา เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าแม้จะเป็นอาหารง่าย ๆ แต่ก็อร่อยมากที่สุดในชีวิต
เธอกินมันจนหมดก่อนจะเก็บจานชามไปล้าง ไม่ลืมกินยาที่สิงห์วางเอาไว้ให้ แต่เธอไม่ได้คิดจะอยู่รอเขาหรอก เพราะมันหมดเวลางานแล้ว เธอต้องกลับไปทำงานใช้หนี้ต่อ หนี้ที่ใช้ยังไงก็ใช้ไม่หมด คงต้องใช้ไปอีกตลอดชีวิตเพราะคนสร้างหนี้ไม่เคยคิดที่จะหยุด
“จะไปไหน!” เสียงแข็งที่เอ่ยถามทำให้เด็กสาวสะดุ้งสุดตัว เธอเห็นสิงห์ยืนหน้าบึ้งอยู่ที่ประตูบ้าน
“จะกลับไปทำงานค่ะ” เธอตอบเขาเสียงเบา ก้มหน้าไม่อยากมองคนใจร้าย รีบเดินกะเผลก ๆ ไปที่ประตู
“ขยันจริงนะ” เขาแดกดัน เดินเข้าหาก่อนจะอุ้มเธอขึ้น สารภีร้องเบา ๆ ก่อนที่ร่างจะถูกพาไปที่เตียงนอนกว้าง
“พ่อกับแม่เป็นหนี้เสี่ยใหญ่อยู่ค่ะ กล้วยต้องไปทำงานใช้หนี้”
เธอบอกเขาตามตรง เขาจะได้เลิกเอาแต่ใจกักเธอเอาไว้สักที เพราะเธอก็ไม่เห็นเหตุผลว่าเขาจะกักเธอเอาไว้ทำไมอีก
“ถ้ากล้าเดินออกจากห้องนี้ไปฉันจับเธอตีก้นแน่”
“ลุงสิงห์เอาแต่ใจ เคยเห็นใจคนอื่นบ้างไหม” เธอแหวใส่ มองเขาแล้วน้ำตานองหน้า
“เด็กซื่อบื้อ”
“ซื่อบื้อก็เรื่องของกล้วย”
“คิดว่าจะทำอะไร จะเดินกลับไปให้มันพาไปขายตัวหรือไง” คนถามน้ำเสียงดุดันขึ้งโกรธ
“เรื่องของกล้วย”
“นี่เธอ!!!” คนปากดีโดนกดไปบนเตียงนอนกว้าง ใบหน้าของเขาบึ้งตึงบ่งบอกว่ากำลังโมโห
“ชอบเหรอไงถึงอยากขายตัว”
“มันไม่เกี่ยวกับลุงสิงห์”
“เหอะ! แบบนี้เรียกหน้าโง่”
“กล้วยหน้าโง่ก็อย่ามายุ่งกับเด็กโง่ ๆ แบบกล้วยเลย” เธอปล่อยโฮออกมา เคยถามเขาแล้วว่าจะรับเธอเป็นเมียได้ไหม เขาปฏิเสธอย่างเลือดเย็น ชีวิตเธอถึงได้เป็นแบบนี้อย่างไรล่ะ อยากเรียนต่อก็ไม่ได้เรียน แค่อยากเรียนเย็บผ้าเปิดร้านทำมาหากินเล็ก ๆ น้อย ๆ ยังไม่มีปัญญา
ก็จริงนั่นแหละ คนอย่างเธอจะไปทำอะไรได้นอกจากขายตัว!
สารภีคิดอย่างระทดท้อใจ เธอดิ้นเขาก็กดแนบเอาไว้กับเตียงนอนกว้างไม่ยอมปล่อย
“ถ้าชอบขายตัวก็ขายให้ฉันแล้วกัน”
“กล้วยจะขายให้ทุกคนยกเว้นลุงสิงห์”
“ก็ลองดูกันไป แม่เด็กปากดี” เขาซุกใบหน้าเข้าหา มือใหญ่กระชากเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่จนขาดวิ่น สารภียอมรับว่ากลัว ก่อนหน้านี้เธอยินยอมพร้อมใจไปกับเขาเอง แต่ตอนนี้เธอไม่ได้ยินยอม
“ปล่อยกล้วยนะ ได้โปรด” เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นเบือนหน้าหนีไม่อยากมองหน้าหรือสบตาเขา สิงห์ชะงักมองเด็กสาวที่เอาแต่สะอื้นไห้อยู่ใต้ร่าง
“ร้องไห้ทำไม มีใครตายหรือไง”
“คนใจร้าย” ดูพูดแต่ละอย่าง เธอดันอกกว้างของเขาออกห่าง แต่มันไม่ขยับเขยื้อนเลย
“ฉันใช้หนี้เธอให้เสี่ยใหญ่แล้ว ซื้อเธอมาจากพ่อแม่แล้วด้วย อยู่นี่แหละ” ประโยคของเขาทำให้เธอนิ่งอึ้ง ใจหนึ่งก็ดีใจอีกใจก็วูบโหวงไปหมด เขาแค่ซื้อเธอมา
ซื้อมาทำไมนะ? นางบำเรอหรือเอามาเป็นคนรับใช้!!!
“ลุงสิงห์จะให้กล้วยนอนกับเพื่อน ๆ ของลุงเหรอคะ ลุงสิงห์จะทำแบบนั้นจริง ๆ เหรอ” คนถามคิดไปไกลสะอื้นฮัก ๆ เธอหวาดกลัวเหลือเกิน
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
“ก็ลุงสิงห์พาเพื่อนจะมารุมกล้วย”
“ฉันดูเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ” น้ำเสียงของเขาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เธอกะพริบตาปริบ ๆ เขาไม่ได้เลวร้ายแต่ก็ไม่ได้ใจดี เธอบอกตัวเองแบบนั้น
ริมฝีปากที่เคยช่างเจรจาสั่นระริกจนสิงห์อดใจไม่ไหวต้องก้มลงไปทาบทับจุมพิตดุนดันแผ่วเบา ก่อนจะกลายเป็นหนักหน่วงขึ้น
เด็กสาวครางสะท้าน หอบหายใจกระเส่าเมื่อเขาผละริมฝีปากออกห่าง
“เจ็บข้อเท้าอยู่อีกไหม” เขาเอ่ยถาม น้ำเสียงแหบพร่าจนเธอสัมผัสได้
“เจ็บค่ะ”
“เจ็บยังไงก็ไม่ใช่ข้ออ้างนะ” เขาบอกอย่างรู้ทัน เธอลูบไล้แผงอกของเขาด้วยมืออันสั่นเทา
“ลุงสิงห์ อื้อ...” เขาบดริมฝีปากลงมาหาปิดเสียงเจรจานั้นเสีย สารภีหลับตาลงยินยอมเพราะคิดว่าเขาคือเจ้าหนี้รายใหม่ที่เธอต้องตอบแทนอีกไม่รู้จักจบจักสิ้น
ปากน้อยที่จูบตอบกลับมาทำให้สิงห์ครางเบา ๆ อย่างพึงพอใจ เขาเคล้นคลึงทรวงอกอวบอิ่มของเด็กสาวก่อนจะจับป้อนเข้าปาก ดูดเม้มจนยอดถันแข็งเป็นไต
ร่างกายของสารภีตื่นตัว เธอปวดข้อเท้าแต่ทนได้หากเขาจะเรียกร้องเอาสิ่งที่ลงทุนไปกลับมา
“ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อย ทำอย่างกับจะโดนข่มขืน” เขาพูดแล้วช้อนอกอวบเข้าปากอีกครั้งเม้มดูดหนักเบาสร้างความเสียวซ่านให้เธอ ลมหายใจหอบหนักรุนแรงพอ ๆ กับร่างกายที่เสียดสีเข้าหากันอย่างเสียวซ่าน
มือหนาไล้สีข้างของเธอเบา ๆ ก่อนจะก้มลงจุ๊บสะดือบุ๋ม สัมผัสที่เขามีให้ดูอ่อนโยนแต่ก็ร้อนแรงไปในเวลาเดียวกัน
เธอแขม่วหน้าท้องยามเมื่อเขาตวัดลิ้นลามเลียหนัก ๆ ที่หน้าท้องของเธอ ความเปียกชุ่มสากร้อนทำเอาเด็กสาวหลุดเสียงครางออกมาด้วยความวาบหวาม ลมหายใจร้อนแรงของเขาเป่ารดลงไปยังเบื้องล่าง ขาของเธอถูกแยกออกจากกัน เขาซุกซบเข้าหาลามเลียกลีบฉ่ำอ่อนหวานอย่างแสนคิดถึง
“อื้อ... ลุงสิงห์” เธออ้าปากร้องครางด้วยความเสียดเสียวเมื่อเขาแหวกกลีบบุปผาแดงฉ่ำออกจากกันก่อนจะตวัดลิ้นลามเลียตรงติ่งสวาทของเธอเบา ๆ
เด็กสาวร้องออกมาไม่เป็นภาษาหยัดสะโพกตอบรับปากร้อนของเขาด้วยความรัญจวนใจ มือแกร่งหยิบหมอนข้างไปวางรองที่ข้อเท้าให้เธอ ก่อนจะจับขาข้างหนึ่งของเธอขึ้นพาดบ่า
“ลุงสิงห์” เธอสะท้านยามลิ้นของเขาลามเลียหนักขึ้น กลีบอวบชุ่มฉ่ำจากการสอดแทรกลิ้นเข้าไปสำรวจแอ่งดอกไม้หอมกรุ่นภายใน พร้อมด้วยนิ้วที่สอดแทรกเข้าไปขยับเบา ๆ
นิ้วกลางยาวเหยียดชำแรกลึกเข้าไปเพื่อรุกล้ำในกายสาว
สารภีร้องครางอืออายามเขาแนบชิด หนุ่มใหญ่ขยับนิ้วจนเปียกชุ่มก่อนจะเพิ่มเป็นสองนิ้ว หยาดน้ำรักไหลหยาดเยิ้มจากร่องสวาทให้เขาดูดเลีย
สิงห์ปลดกางเกงของตัวเองออก แก่นกายของเขาแข็งคึก เธอยื่นมือมาลูบไล้เบา ๆ ช้อนสายตาขึ้นมองสบตาเขา