“ฮืออออออ พี่สาว... ข้ากลัว...”
เด็กหญิงและเด็กชายที่ถูกจับมาในฐานะทาสเชลยสงคราม ต่างเข้ามากอดหญิงสาวร่างผอมบางปานจะหักที่นั่งอยู่ในอีกมุมหนึ่งของกองฟาง
“ข้าก็กลัวเหมือนกัน” เสียงหวานของหญิงสาวผู้โอบกอดเด็กน้อยเอ่ยปลอบ ทว่าใบหน้าหวานเปื้อนดินนั้นกลับระบายไปด้วยรอยยิ้มอ่อนแรง
“พี่สาว ท่านกลัว แต่ทำไมถึงได้ยิ้มล่ะ” เด็กชายถามอย่างไม่เข้าใจนัก
“เพราะข้ากลัวว่าเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ข้าอาจจะไม่มีกำลังมากพอจนยิ้มให้พวกเจ้าได้น่ะสิ”
“ฮือออออ ท่านอย่าพูดอะไรน่ากลัวเช่นนั้น พวกข้าเหลือแค่ท่านเท่านั้นนะ”
เฉินอวี้หรานขยับยิ้มอย่างอ่อนแรง
สามวันแล้ว นับตั้งแต่เธอทะลุเข้ามาอยู่ในตอนจบของนิยายเรื่อง ยอดดวงใจขององค์รัชทายาท นิยายรักย้อนยุคที่เธอเคยอ่านในร้านหนังสือก่อนจะต้องออกมาเจอโลกความจริงที่แสนโหดร้าย
ใช่... โลกความจริงมันโหดร้าย ตั้งแต่ถูกแฟนที่คบมาสิบปีทิ้งไปพร้อมกับทิ้งหนี้ก้อนโตเอาไว้ให้ ถูกบริษัทโกงค่าลิขสิทธิ์หนังสือ และถูกไล่ออกจากคอนโดจนไม่มีที่ซุกหัวนอน อะไรมันจะเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้
เพราะเส้นทางนั้นมืดมิดจนเกินไป อีกทั้งร่างกายและจิตใจยังอ่อนล้าเกินกว่าจะก้าวเดินต่อ เธอจึงตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองบนสะพานแม่น้ำสายหลัก เผื่อว่าดวงวิญญาณของเธอจะเดินทางไปยังภพภูมิที่ดีกว่านี้
แต่ใครจะไปคิดกันเล่าว่านอกจากสวรรค์จะไม่นำพาแล้ว ยังลงโทษด้วยการส่งเธอมาเผชิญหน้ากับความโหดร้ายชนิดที่อยากตายอีกรอบด้วยซ้ำ
วิญญาณของเธอเข้ามาอยู่ในร่างขององค์หญิงปลายแถวเฉินอวี้หราน
องค์หญิงอายุสิบแปดปี ซึ่งเป็นตัวประกอบที่ดันมีชื่อเหมือนกับเธอ
อีกทั้งยังเขียนด้วยตัวอักษรตัวเดียวกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ทว่าเท่าที่จำได้ เรื่องราวในนิยายนั้นจบลงที่แม่ทัพสาวไป๋รั่วกับองค์รัชทายาทเซียวเหยาครองรักกันหลังจากนำกองทัพไปพิชิตอาณาจักรเฉิน ซึ่งตอนนี้เรื่องราวในนิยายก็
มาถึงบทจบแล้วเป็นที่เรียบร้อย
และเฉินอวี้หราน องค์หญิงตัวประกอบที่สวมรอยเป็นคนเร่ร่อนถูกต้อนเป็นทาสเชลยศึก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีชะตาชีวิตเช่นไรต่อไป เพราะเป็นตัวประกอบที่มีบทเพียงแค่หนึ่งบรรทัด คือ... “หนีออกจากวัง” เท่านั้นเอง
ซึ่งมันทำให้เธอถึงกับมืดแปดด้านที่ต้องมาอยู่ในร่างนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของเฉินอวี้หรานก็ช่างบอบบางอ่อนแอจนน่าหงุดหงิดเสียเหลือเกิน
ถึงแม้ว่าจะพอประทังชีวิตอยู่ได้ด้วยก้อนแป้งที่มีคนโยนให้กินเหมือนสัตว์ แต่ดูเหมือนว่าชีวิตในชาตินี้คงจะมีเวลาเหลืออยู่ได้อีกไม่นานเท่าไหร่ ยอมแพ้อีกสักรอบคงจะไม่เป็นไร
“พี่สาว ท่านไม่สบายหรือ” เด็กชายตัวน้อยเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง พร้อมกับยกมือเปื้อนคราบสกปรกขึ้นมาแตะใบหน้าของเธอ ก่อนที่ดวงตากลมของเด็กน้อยจะโตขึ้น “หน้าท่านร้อนมากเลย!”
ริมฝีปากบางยกยิ้ม จากนั้นจึงค่อย ๆ ลูบผมเด็กน้อยอย่างเอ็นดู
“ข้าไม่เป็นไร มาเถอะ ถึงเวลาเข้านอนแล้ว ข้าจะเล่านิทานให้ฟัง”
เริ่มเล่าเพียงไม่กี่นาที ด้วยน้ำเสียงแสนหวานเป็นพิเศษของเฉินอวี้หราน ทำให้เด็กน้อยรอบกายล้มตัวนอนลงด้วยสีหน้าผ่อนคลาย สามคืนแล้วที่ต้องเดินทาง โชคดีที่กองทัพหลวงมักจะหยุดพักแรมในตอนกลางคืน เพื่อที่องค์รัชทายาทกับแม่ทัพสาวจะได้พลอดรักกันอย่างสุขใจ ก่อนจะไปเข้าพิธีมงคลสมรสที่เมืองหลวง เป็นอันปิดฉากตอนจบของนิยายรักอย่างสวยงาม
ในขณะที่พวกเขากำลังมีอนาคตที่สดใสรออยู่ แต่เฉินอวี้หรานคนนี้คงต้องตายก่อนจะเดินทางถึงเมืองหลวงเป็นแน่
แต่ก่อนตายก็ขอให้ได้พักผ่อนบ้างเถอะ เดินมาทั้งวันได้กินแค่ก้อนแป้งก้อนเดียว...
แขนเล็กบางเหยียดออกพร้อมกับหาวออกมาอย่างสุดกลั้น ดวงตาอัญมณีสีอำพัน ซึ่งเป็นสีพิเศษของราชวงศ์เฉินก้มมองเด็กน้อยทั้งหลายอย่างเอ็นดู
นับตั้งแต่เดินทางมา ก็มีเพียงแค่การเล่านิทานเท่านั้นที่สามารถทำให้เด็ก ๆ หายหวาดกลัวได้ อย่างน้อยที่สุด มันก็ทำให้พวกเขาได้นอนหลับฝันหวานอย่างผ่อนคลายก่อนจะต้องลืมตาตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับโลกความจริงอันแสนโหดร้ายนี้ และเธอก็ควรจะนอนบ้างเช่นกัน
ทว่าก่อนที่เธอจะได้เอนหลังพิงลงกับกองฟาง อยู่ ๆ ก็มีทหารมากมายเข้ามาล้อมกลุ่มของเธอเอาไว้ พร้อมกับชี้นิ้วมาที่เธอ และกระซิบกระซาบกันราวกับได้รับคำสั่งบางอย่างมา
“จับมัน” ทหารที่สวมชุดดูดีกว่าใครออกคำสั่ง จากนั้นทหารอีกสองนายจึงเข้ามาหิ้วปีกเธอให้ลุกขึ้น และมัดมือของเธอเอาไว้
การกระทำรุนแรงของพวกเขาทำให้เด็กน้อยทั้งหลายตื่นขึ้นทันที
“อย่านะ!” เฉินอวี้หรานหวีดร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อถูกกระชากให้เดินไป
“พี่สาว!”
“ไอ้เด็กพวกนี้! เดี๋ยวก็ฆ่าทิ้งเสียให้หมด” ทหารคนหนึ่งตะคอกเสียงเหี้ยมพร้อมกับชักดาบออกจากฝัก
“ไม่นะ อย่าทำพวกเขา ข้ายอมแล้ว” เธอรีบห้ามอย่างยอมจำนน
“พี่สาว ฮืออออ”
เฉินอวี้หรานหันกลับมามองเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนแรง ถึงกระนั้นก็ยังส่งยิ้มให้ แสร้งว่าไร้กังวล
“พวกเจ้านอนเสียเถอะ เดี๋ยวข้ากลับมา”
เด็กน้อยผู้รู้ความได้แต่พยักหน้าทำตามคำสั่งของหญิงสาว เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถต่อต้านได้หากยังต้องการมีชีวิตอยู่ต่อ เพียงแต่ว่าชีวิตของพี่สาวผู้นั้นจะเป็นเช่นใดต่อไปเล่า
ทาสหญิงส่วนใหญ่ในกองทัพต่างถูกกระทำไม่ต่างจากเดรัจฉาน พวกมันทั้งบังคับ ข่มขู่ หากไม่ยอมทำตามก็จะเข่นฆ่าตามอำเภอใจ ทว่าเฉินอวี้หรานกลับสามารถหลบหลีกมาได้ถึงสามวันก็เพราะกลิ่นกายโสมมเหม็นเน่า อีกทั้งยังมีคราบสกปรกเปรอะเปื้อนไปทั้งร่างกาย ทำให้ชายฉกรรจ์เหล่านั้นไม่อยากเข้าใกล้
ทว่าเวลานี้ดวงชะตาของเธอกลับใกล้จะขาดลงเสียแล้ว
เธอไม่กลัวหากต้องตายเป็นครั้งที่สอง แต่เธอกลัวการถูกทรมานเป็นที่สุด โดยเฉพาะในเมื่อมีสถานะเป็นเชื้อพระวงศ์ที่เหลือรอดอยู่
“นังนี่ตัวเหม็นเป็นบ้า ทำไมท่านแม่ทัพถึงต้องการตัวมัน”
ท่านแม่ทัพ? หานเซ่อคนนั้นน่ะหรือ
“เรื่องของแม่ทัพ เจ้าอย่าพูดมาก”
เฉินอวี้หรานฟังบทสนทนาที่พูดถึงแม่ทัพหานเซ่อเงียบ ๆ
ตามบทแล้วเขาเป็นชายหนุ่มผู้เก่งกาจ แต่เพราะปมบางอย่าง ทำให้กลายเป็นผู้มักมากในกาม แม้ในยามกลางวันจะเป็นถึงแม่ทัพผู้น่าเกรงขาม แต่ในยามกลางคืนกลับห้อมล้อมไปด้วยหญิงงามที่มาคอยปรนนิบัติ
นับว่านิยายสร้างตัวละครตัวนี้มาเพื่อเชิดชูความเป็นสุภาพบุรุษขององค์รัชทายาทที่เป็น “พระเอก” โดยแท้
ว่าแต่... ทำไมหานเซ่อถึงต้องการตัวเธอด้วยเล่า
หรือว่าเขารู้แล้วว่าเธอคือใคร!
กระโจมของท่านแม่ทัพนั้นอยู่ไกลออกไปเพราะต้องการความเป็นส่วนตัว ทว่าเสียงที่ได้ยินนั้น กลับมีแต่เสียงครวญครางของหญิงสาว...
อา... แต่เธอสกปรกขนาดนี้ เขาคงไม่เอาเธอไปย่ำยีหรอกกระมัง ก็คงรู้แล้วว่าเธอคือผู้ใดถึงได้เรียกมาฆ่าสินะ
สายเลือดสุดท้ายที่เหลือรอด มันไม่มีอยู่จริงในสงคราม
“ท่านแม่ทัพหานเซ่อขอรับ ข้านำนางมาให้ท่านแล้ว” ทหารคนหนึ่งพูดเสียงดัง
ทว่าเสียงตอบกลับมานั้นกลับเป็นเสียงกรีดร้องของหญิงสาว ทำเอาคนได้ยินอดหัวใจเต้นแรงไม่ได้
รวมถึงหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้ากระโจมด้วย
“ให้นางเข้ามา” เสียงทุ้มต่ำออกคำสั่ง
ทหารทั้งสองมองหน้ากันอย่างลังเล ก่อนจะลากเธอให้เดินมาข้างหน้า แล้วผลักเธอเข้าไปในกระโจม
ร่างเล็กบางล้มคว่ำลงกับพื้นด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยเต็มทน ก่อนจะค่อย ๆ ยันตัวขึ้นอย่างไม่ค่อยถนัดนัก เพราะว่ามือทั้งสองถูกมัดอยู่
หญิงสาวสะดุ้งเมื่อเห็นเงาดำทะมึนทาบทับร่างของตน
ใบหน้าเปื้อนคราบสกปรกก้มลงจนเกือบติดพื้นด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่ดวงตากลมโตสีอำพันจะเบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคคำถามของคนตรงหน้า
“เจ้าน่ะหรือ นักเล่านิทาน”