เมื่อทั้งถูกไล่และถูกขู่ ฝูงชนที่ไม่กล้าขัดอำนาจของตระกูลเฉินจึงพากันทยอยออกไปทีละคน เหลือไว้เพียงแต่ คู่สามีภรรยาตระกูลเฉิน เฉินเหว่ยหราน และชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียวตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้อง
“ใครที่อยู่ด้านนอกบ้าง ยังไม่รีบมาลากตัวไอ้สารเลวนี่ออกไปพ้นหน้าฉันอีก” นายพลเฉินตะโกนเรียกทหารในปกครองที่อยู่นอกให้เข้ามาด้านใน เพื่อจัดการพาตัวคนที่ทำลายศักดิ์ศรีของบุตรสาวตัวเองจนป่นปี้ออกไปจากห้อง
ร่างสูงที่รู้ตัวว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น หันกลับมาหาทิชาที่อยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มช่วยดึงผ้าห่มที่ร่นลงให้สูงขึ้นจนปิดร่างกายเธอจนมิด หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนในสภาพเปลือยอก แต่ ช่วงล่างยังสวมกางเกงขายาวปกปิดร่างกาย เขารู้อยู่แล้วว่าตัวเองกำลังจะโดนอะไร จึงยินยอมให้ทหารที่กำลังจะเข้ามาพาตัวออกไปอย่างง่ายดายไม่มีการขัดขืนใดๆ
“เห็นหรือยังว่าลูกสาวตัวดีของคุณทำอะไรเอาไว้” นายพลเฉินกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้กับภรรยา ก่อนจะเดินตามคนผิดออกไป
“จิ้งเทา เรื่องนี้น้าต้องมีคำอธิบายให้เธอแน่ แต่ตอนนี้เยว่เยว่กำลังเสียขวัญหนัก ให้น้าคุยกับเด็กที่น่าสงสารคนนี้ก่อนเถอะนะ ทุกคนออกไปก่อนเถอะ” หญิงวัยกลางคนที่คอยปกป้องเฉินหว่านเยว่หันไปพูดกับชายหนุ่มอีกคนที่เหลืออยู่
“ครับ คุณน้า” ชายคนนั้นพยักหน้ารับคำนิ่งๆ ไม่อาจ คาดเดาความรู้สึกของเขาได้
“เดี๋ยวฉันพาพี่จิ้งเทาออกไปเองค่ะแม่” เฉินเหว่ยหรานรีบอาสาอย่างมีน้ำใจทันทีที่ได้ยินแม่ของเธอพูดอย่างนั้น
หลังจากทั้งห้องเหลือเพียงคนทั้งสอง หญิงวัยกลางคนที่แทนตัวเองว่าแม่ก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดกับทิชาที่ยังสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ก่อน
“บอกแม่ได้ไหม ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไหนลูกบอกอยากจะแต่งให้จิ้งเทาเขาไง ทำไมถึงได้มาอยู่ในห้องนี้กับพลทหารใต้บังคับบัญชาของพ่อได้ล่ะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามหลังจากนั่งลงบนเตียง
“ลูกจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ” ทิชาส่ายหน้าอย่างสับสน อย่าว่าแต่จะจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย แม้แต่คนตรงหน้าเธอเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ดูเหมือนว่าความทรงจำในหัวตอนนี้ จะไม่สามารถทำมาใช้กับเหตุการณ์รอบตัวในตอนนี้ได้เลยสักนิดเดียว
หญิงสาวคิดว่าหลังจากที่หมดสติไปจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น หากชีวิตเธอเป็นนิยายทะลุมิติที่เธอชอบอ่าน เธอคงจะคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกนิยายที่ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของคนอื่นไปแล้ว
ความคิดเล่น ๆ ที่ผุดขึ้นมา ทำเอาร่างบางหยุดชะงัก ทิชาไม่รอช้า รีบยกฝ่ามือซ้ายของตัวเองขึ้นมา เพื่อมองหารอแผลเป็นจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน แต่ก็พบว่าแผลเป็นของเธอหายไป อีกทั้งผิวกายที่เพิ่งทันสังเกตก็ดูขาวใสและอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
“ขอกระจกหน่อยได้ไหมคะ” สุดท้ายเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง เธอจึงร้องขอกระจกจากคนที่อยู่ใกล้ๆ
“ได้จ้ะ” แม้จะไม่เข้าใจว่าบุตรสาวจะขอกระจกไปทำไม แต่เธอก็ลุกขึ้นไปหยิบมาให้โดยไม่คิดถามต่อ
ทันทีที่ทิชาได้เห็นใบหน้าที่ปรากฏอยู่บนกระจก ทั้งดวงตาและปากของเธออ้าออกด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด ‘เด็กสาวที่มีใบหน้าน่ารักในกระจกนั่นมันไม่ใช่ฉันเสียหน่อย นี่เกิดอะไรขึ้น’ ทิชาคิดในใจ
“คุณน้า เอ่อ แม่คะ ฉันคือ เฉินหว่านเยว่จริง ๆ เหรอคะ” ทิชาถามย้ำอย่างไม่อยากเชื่อ
ถ้าหากว่าเธอคือเฉินหว่านเยว่จริง ๆ เธอก็พอจะรู้แล้วล่ะว่า ตอนนี้มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับเธอกันแน่!!
หากเดาไม่ผิด ในตอนนี้เธอคงทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ เฉินหว่านเยว่เสียแล้ว และที่เธอบอกว่ารู้สึกคุ้นกับชื่อ ๆ นี้ก็เพราะว่า เฉินหว่านเยว่ที่เธอรู้จัก เป็นนางร้ายในนิยายของเลขาเล่มที่เธอเคยหยิบมาอ่านเมื่อตอนที่กำลังเบื่อ ๆ น่ะสิ แต่ก็เหมือนจะอ่านได้ไม่เท่าไหร่ก็วางทิ้งไว้เพราะเบื่อกับความโง่ที่อวดฉลาดของนางร้ายจนอ่านต่อไม่ไหว
แต่ก็จำได้ว่าในนิยายเขียนไว้ว่าเฉินหว่านเยว่นางร้ายของเรื่องนี้ เป็นบุตรสาวของนายพลเฉิน นายทหารระดับสูงของกองทัพ เธอเป็นหญิงสาวที่มีนิสัยที่เอาแต่ใจและชอบเอาชนะ อยากได้อะไรก็ต้องได้ ตามเนื้อหาในนิยาย เฉินหว่านเยว่นั้นหลงรักเหวินจิ้งเทาพระเอกของนิยายเรื่องนี้อย่างหัวปักหัวปำ โดยไม่รู้เลยว่าการตกหลุมรักผู้ชายนี้จะนำพาหายนะมาให้ตัวเองจนต้องพบกับจุดจบ เมื่อพูดถึงนางร้ายและพระเอกไปแล้ว คงจะข้ามไม่พูดถึงนางเอกของเรื่องไม่ได้ และนางเอกของเรื่องนี้ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ที่ไหน เธอคนนี้คือ เฉินเหว่ยหราน พี่สาวของนางร้ายนั่นเอง
ทิชาในร่างของเฉินหว่านเยว่ลอบถอนหายใจอย่างเสียดาย ถึงเธอจะข้ามมิติมาในตอนต้นเรื่องก็จริง แต่มันก็ช้าเกินไปอยู่ดี เพราะตอนนี้เธอถูกเฉินเหว่ยหรานตลบหลัง กลายเป็นหญิงสาวหน้าไม่อายที่นอนกับผู้ชายในงานเลี้ยงวันเกิดของบิดาตัวเองไปเสียแล้ว
หญิงสาวค่อย ๆ สวมใส่เสื้อผ้าลงบนร่างกายช้า ๆ ด้วยท่าทีเหม่อลอยจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อย
“ลูกที่น่าสงสารของแม่ ต้องเป็นเจ้าสารเลวนั่นแน่ ๆ ที่วางแผนร้าย แม่จะรีบไปบอกพ่อให้จัดการเอาผิดเจ้าคนเลวนั่น ลูกของแม่จะต้องได้รับความเป็นธรรม” ซ่านซีเจินเห็นท่าทางที่เอาแต่ซึมเศร้าและเหม่อลอยของบุตรสาวก็สงสารจับใจจนหลุดร้องไห้ออกมา ผู้เป็นแม่ลูบหัวเฉินหว่านเยว่เบา ๆ พลางเอ่ยคำพูดปลอบใจไปด้วย
เฉินเหว่ยหรานที่เพิ่งเดินเข้ามาเห็นฉากที่มารดากำลังพยายามพูดจาปลอบใจน้องสาวทั้งน้ำตาพอดี ก็รีบพูดขึ้นว่าอย่างเสแสร้ง
“พี่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันทำให้เธอไม่พอใจ แต่เธออย่าเพิ่งพาลโกรธแม่เลยนะ ดูสิท่านร้องไห้ใหญ่แล้ว ถ้าเธออยากจะโมโหใส่ใครสักคน เธอมาลงที่พี่ได้เลย เรื่องนี้พี่ผิดเองที่ไม่ดูแลเธอให้ดีจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
ทิชาได้ยินในสิ่งที่คนที่เพิ่งเข้ามาพูดขึ้น ก็ได้แต่ขมวดคิ้วและคิดในใจว่า แม่นางเอกของเรื่องนี่ไม่ธรรมดาเลยสักนิด คำพูดฟังดูแล้วเหมือนเห็นใจกัน แต่รูปประโยคกลับค่อนข้างยั่วยุอารมณ์ หากเป็นเฉินหว่านเยว่ตัวจริงมาได้ยิน ก็คงมิวายอาละวาดใส่อีกฝ่ายตามที่เธอได้กล่าวออกมาจริง ๆ
แต่โชคร้ายหน่อยที่วิญญาณในร่างนี้ดันเป็นทิชา ด้วยคำพูดแค่นั้น ไม่สามารถยั่วยุให้เธอรู้สึกอะไรได้หรอก
“หรานหราน แม่ไม่ได้เป็นอะไร อย่าไปโทษน้องเลย น้องไม่ได้โมโหใส่แม่” ซ่านซีเจินหันไปพูดกับลูกสาวคนโตเพื่อออกตัวแทนลูกสาวอีกคน
“ที่แท้เป็นลูกที่เข้าใจน้องผิดไป เยว่เยว่ พี่ขอโทษนะ” เฉินเหว่ยหรานเอ่ยขอโทษน้องสาวด้วยน้ำเสียงแฝงความรู้สึกผิด ขัดกับสายตาที่มองมาอย่างจับผิด ทิชาเองก็มองอีกฝ่ายอย่างระแวดระวังเช่นเดียวกัน
“แม่คะ ลูกลืมไปเลยว่า น้าเหม่ยหลินอยากจะคุยกับแม่เรื่องที่เกิดขึ้น ตอนนี้รออยู่ที่ห้องข้างล่างค่ะ” เฉินเหว่ยหรานพูดขึ้นมาอีกครั้งถึงสาเหตุที่เธอเดินเข้ามาในห้องนี้ทั้งที่แม่บอกว่าขออยู่กับน้องสาวสองคน
“จริงเหรอ” ซ่านซีเจินถามออกไปอย่างลังเลใจ
“จริงค่ะ” เฉินเหว่ยหรานตอบกลับมาด้วยสีหน้าลำบากใจไม่น้อย
“แม่เข้าใจแล้วล่ะ เยว่เยว่ ลูกไม่ต้องเป็นห่วงนะ ยังไงแม่ก็ไม่ยอมให้พวกเขาถอนหมั้นลูกของแม่แน่นอน”
หญิงวัยกลางคนผู้เป็นมารดารีบพูดปลอบบุตรสาวคนเล็ก อย่างกลัวว่าเธอจะคิดมาก
เฉินเหว่ยหรานได้ยินมารดาบอกจะไม่มีทางให้น้องสาวถอนหมั้นกับเหวินจิ้งเทาก็ได้แค่ลอบกำหมัด เพื่อข่มความไม่พอใจที่เกิดขึ้น เธอเจ็บใจที่ถึงแม้เฉินหว่านเยว่จะทำเรื่องน่ารังเกียจและทำความเสื่อมเสียให้ตระกูลมากขนาดไหน แต่มารดาก็ยังจะเข้าข้างโดยไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น