บทที่ 13 อยากได้เป็นพี่สะใภ้

1860 Words
“ผมเห็นด้วยกับพี่รอง ผมชอบพี่สาวหว่านเยว่มากเหมือนกัน อยากให้พี่สาวมาเป็นพี่สะใภ้” เด็กน้อยหมิงเฟยหลงได้ยินพี่สาวพูดอย่างนั้น ก็รีบสนับสนุนทันที “น้อย ๆ หน่อยเถอะ เกิดมีใครได้ยินเข้าแม่หนูหว่านเยว่จะเสียชื่อเสียงเอานะ ต่อให้พวกเราจะชอบเธอมากขนาดไหน แต่อย่าลืมว่าคนที่ตัดสินใจได้คือพี่ชายของพวกเรา แล้วอีกอย่าง หากเธอเป็นลูกหลานคนมีเงินในเมืองหลวง ฐานะของบ้านเราไม่เหมาะสมกันหรอกนะ” หมิงเจียงเทาเอ่ยขึ้นมาห้ามความคิดเพ้อฝันของลูกทั้งสองคน ก่อนจะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเพราะกำลังคิดถึงลูกชายคนโต เนื่องจากที่หลายวันที่ผ่านมา เขาฝันไม่ค่อยดีเท่าไรเลย ทำให้อดคิดถึงลูกชายที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองไม่ได้ “อาอี เขียนจดหมายไปถามเจ้าใหญ่หน่อยนะว่าสิ้นปีนี้จะกลับบ้านหรือเปล่า” หมิงเจียงเทาหันไปพูดกับภรรยา เพราะเขารู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก แม้ว่าจะมีการเขียนจดหมายหากันทุกเดือน แต่หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างนั้นจนให้ขาดการติดต่อคงไม่ดีแน่ “ค่ะ เดี๋ยวฉันเขียนจดหมายถามลูกให้ก็แล้วกัน” เมิ่งเซี่ยอีตอบกลับก่อนจะเดินไปยังห้องตนเอง เพื่อจะเอาเสื้อผ้าไปผลัดเปลี่ยนที่ห้องอาบน้ำ จากนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันไปทันที “มาแค่วันเดียว ไม่คิดว่าหล่อนจะตีสนิทกับบ้านรองหมิงได้ง่ายขนาดนี้” ยุวปัญญาชนที่ชื่อลู่เฟินเอ่ยขึ้นอย่างไม่ชอบใจเมื่อเห็นเฉินหว่านเยว่เดินเข้ามาถึงบ้านพัก เธอมาที่นี่เป็นปีแล้วและเคยเห็นลูกชายคนโตของบ้านรองหมิง ชายหนุ่มนั้นรูปร่างกำยำ แม้จะมีใบหน้าที่เย็นชา ทว่าโดยรวมแล้วหล่อเหลามาก ไม่ว่าจะเป็นยุวปัญญาชนหรือลูกสาวชาวบ้านต่าง ก็อยากแต่งเข้าบ้านรองหมิงทั้งนั้น แต่กลับไม่มีใครได้สิทธิ์นั้น ไม่คิดว่าเฉินหว่านเยว่คนนี้จะได้รับสิทธิ์เข้าไปกินอาหารถึงในบ้านรองหมิงทั้งที่มาถึงที่นี่แค่สองวัน เฉินหว่านเยว่ไม่ได้คิดอะไรกับคำค่อนแคะเหล่านี้ จึงได้แต่เดินผ่านเหมือนไม่ได้ยินอะไร เพราะไม่อยากเสวนาด้วย เพียงแต่เธอเพิ่งรู้ว่าบ้านหมิงที่เธอมีความสนิทสนมด้วย จะเป็นบ้านรองที่แยกตัวออกมาบ้านหมิง จึงมีแววตาแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเข้ามาในห้องพักของตนเอง ในระหว่างรอที่จะออกไปอาบน้ำ หญิงสาวก็ได้พยายามนึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เลขาคนสนิทเล่าให้ฟังอย่างผิวเผิน อีกทั้งเธอเองก็ไม่ได้สนใจฟังมากนักเลย ไม่รู้ว่าเฉินหว่านเยว่โดนใครแกล้งและจัดฉากเรื่องนี้ขึ้นมา เท่าที่เธอจำได้ คือจุดจบที่น่าอนาถของนางร้ายอย่างเฉินหว่านเยว่ และนายทหารคนนั้นที่ปกป้องภรรยาจนตนเองต้องหมดลมหายใจไปด้วย เพราะต้องการหลีกหนีจากภัยอันตราย ดังนั้นเพื่อให้นายทหารคนนั้นจะได้มีชีวิตต่อไป เธอจึงตัดสินใจหนีมา แม้เขาอาจจะโดนลงโทษไปบ้าง แต่น่าจะไม่ต้องจบชีวิตตามเนื้อเรื่องเดิม และการที่เธอหนีมาแบบนี้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว หวังว่านายทหารคนนั้นจะปลอดภัย สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ ส่วนนางเอกและพระเอกของเรื่อง หวังว่าหลังจากนี้จะไม่ต้องพบหน้ากันอีกไปตลอดชีวิต “เฮ้อ...ถ้ารู้ว่าตายแล้วต้องมาอยู่ในนิยาย ฉันจะขอยืม ยัยนิดอ่านตั้งแต่ต้นจนจบสักสิบรอบ จะได้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า” หญิงสาวถอนหายใจออกมาแล้วพูดกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่ามันคงไม่แย่มากเกินไป เพราะเธอมีมิติห้างสรรพสินค้าอยู่ด้วย “ว่าแต่ในระบบห้างสรรพสินค้าสามารถเก็บเงินและเก็บของสำคัญได้หรือไม่นะ กลัวว่ายอดเงินเยอะ ๆ แล้วฝากบ่อย ๆ เรื่องจะถึงบ้านเฉินน่ะสิ แล้วเอกสารพวกนี้อีก ต้องหาที่เก็บให้ดี เฮ้อ...ตรวจดูระบบสักหน่อยดีกว่า” เมื่อไม่มีอะไรทำ เฉินหว่านเยว่จึงเปิดหน้าจอห้างสรรพสินค้าอีกครั้ง ก่อนจะดูฟังก์ชั่นต่าง ๆ เพราะกลัวว่าหากเก็บเอกสารที่ดินไว้ในห้อง แล้วเกิดวันดีคืนดีใครบ้าขึ้นมางัดห้องของเธอและพบเข้า เธอจะแย่เอาน่ะสิ ในขณะที่เลื่อนหน้าจอไปมา หญิงสาวก็เจอเข้ากับตู้เซฟที่สามารถเก็บข้าวของไว้ได้ ก่อนจะลองเอามือเตะเอกสารกรรมสิทธิ์ที่ดินโกดัง พร้อมกับนึกถึงตู้เซฟ จากนั้นเอกสารชุดนี้ก็หายไปทันที เมื่อเปิดระบบตู้เซฟ ก็เห็นว่าตอนนี้เอกสารนั้นอยู่ในนี้แล้ว “ดีเหมือนกัน ต่อไปเราก็เก็บเงินสดและข้าวของอื่น ๆ ได้แล้วสิ เอ๊ะนี่อะไร เดี๋ยวนะ” เฉินหว่านเยว่พูดกับตัวเองอย่างพอใจ ก่อนจะเห็นอะไรบางอย่าง คล้ายกับว่าเธอจะเจอฟังก์ชั่นในการปรุงอาหารสำเร็จ อาหารถ้วยร้อน อาหารพร้อมทาน เมื่อลองทำตามวิธี เธอก็สามารถผลิตอาหารถ้วยร้อนตามที่ต้องการแล้วสิ “ดีมากเลยล่ะ แบบนี้ก็รวยแล้ว” หากเป็นแบบนี้เธอก็จะมีอาหารมากมายไปเสนอขายให้กับคนสนิทของนายท่านฉางแล้วสิ แบบนี้ต่อไปก็รวยเละ หญิงสาวยังคงสนุกกับฟังก์ชั่นใหม่ที่เธอเพิ่งได้รับมา เมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่และคิดว่าคงไม่มีใครใช้ห้องน้ำแล้ว จึงได้เตรียมข้าวของแล้วเดินออกจากห้อง ก่อนจะใช้เวลาอาบน้ำไม่นานเนื่องจากตาง่วงนอนเต็มทีแล้ว วันต่อมา... เฉินหว่านเยว่ยังคงเลือกอาหารง่าย ๆ มากิน เนื่องจากปกติทุกเช้าเธอมักจะกินแค่กาแฟกับแซนด์วิชหรือขนมปังเท่านั้น การที่ไม่กินอาหารหนักท้องแบบนี้คงจะติดมาจากชาติก่อน แต่ตอนนี้เธอต้องกินอาหารที่ให้พลังงานเยอะหน่อย เพราะต้องลงไปทำงานใช้แรงงานในทุ่งนา เมื่อกินมื้อเช้าเสร็จแล้ว เธอก็แต่งตัวและเดินทางไปทำงานทันที วันนี้หญิงสาวยังคงทำงานกับเมิ่งเซี่ยอีเหมือนเดิม แม้ว่าอายุจะต่างกัน แต่กลับทำงานเข้าขากันมาก ทั้งสองทำงานไปด้วยพูดคุยไปด้วยจวบจนถึงเวลาพัก หญิงสาวตั้งใจจะกลับห้องเพื่อจะกินอาหารถ้วยร้อนที่มีในมิติ ทว่าในขณะที่กำลังจะเดินไป เสียงเรียกของเมิ่งเซี่ยอีก็ดังขึ้น “หว่านเยว่ มากินข้าวด้วยกันสิ ป้าทำมาเผื่อแล้ว” เนื่องจากอาหารที่เฉินหว่านเยว่นำมาให้เมื่อวานยังคงมี เมิ่งเซี่ยอีจึงได้ทำอาหารเช้าเผื่อหญิงสาว เมื่อเช้าคิดอีกฝ่ายจะมาหาที่บ้านเพื่อกินมื้อเช้าด้วยกัน แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มาจนถึงเวลาทำงานงานก็ไม่เห็น เที่ยงนี้จึงตั้งใจเอาอาหารที่ทำไว้มาให้แล้วกินด้วยกันที่นี่ซะเลย “แต่ว่า...” หญิงสาวยังคงมีความเกรงใจ เพราะสิ่งที่เอาไปฝากเมื่อวานคือความตั้งใจล้วน ๆ ไม่ได้หวังจะอาศัยกินอาหารบ้านรองหมิงไปตลอด “ไม่มีแต่ มาเถอะ ลุงหิวแล้ว” หมิงเจียงเทารู้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีความเกรงใจเขาเลยเอ่ยเรียกอีกคน เมื่อปฏิเสธไม่ได้เฉินหว่านเยว่จึงตัดสินใจนั่งร่วมวงกินอาหารกับบ้านรองหมิง “ต่อไปอาหารก็ไปกินที่บ้านนะ ไม่ต้องทำเองให้เสียเวลา ยังไงป้าต้องทำอาหารทุกวันอยู่แล้ว ของที่เอามาฝากก็เยอะแยะ” เมิ่งเซี่ยอีพูดขึ้นในตอนที่นั่งกินข้าวด้วยกัน “ใช่ครับพี่หว่านเยว่ แม่ของอาหลงทำอาหารอร่อยที่สุดเลย” หมิงเฟยหลงเอ่ยชื่นชมการทำอาหารของแม่ตนเอง และเรื่องนี้ก็ไม่มีใครโต้แย้งเลยสักคน ขนาดอาหารง่าย ๆ เมิ่งเซี่ยอียังทำให้อร่อยได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงอาหารจานเนื้อ “ขอบคุณนะคะ เพราะป้าเซี่ยอีทำอาหารอร่อยใช่ไหม ตัวเราถึงกลมแบบนี้ ใช่ไหมอาหลง” หญิงสาวเอื้อมมือไปบีบแก้มของหมิงเฟยหลงอย่างเป็นกันเอง ทำให้เด็กชายไม่ปฏิเสธและยังพยักหน้าเห็นด้วย นี่จึงทำให้ทุกคนได้แต่หัวเราะออกมาพร้อมกัน “ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้เรื่องจัดหาเสบียง ฉันจะเป็นคนซื้อหามาให้เองนะคะ ตอนนี้พอจะรู้จักแหล่งซื้อแล้ว” เฉินหว่านเยว่พูดเสนอขึ้นอีกครั้ง จะให้เธอมากินอย่างเดียวคงไม่ดีแน่ “ไม่ต้องหรอก แค่เพิ่มมาอีกคนเดียวเอง อย่าคิดมากเลย” เมิ่งเซี่ยอีตอบกลับ แต่แล้วจู่ ๆ กลับมีเสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นมา จนเฉินหว่านเยว่แทบจะเอามือปิดหูเพราะเสียงของเจ้าหล่อน “หล่อนมีเงินมากหรือยังไง ถึงได้เลี้ยงคนอื่นแบบนี้” ขณะที่พูดสายตาก็มองมาที่เฉินหว่านเยว่อย่างไม่ชอบใจ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่สะใภ้ด้วยล่ะ เท่าที่ฉันจำได้ บ้านรองหมิงแยกบ้านมานานหลายปีแล้วนะ การที่ฉันจะเลี้ยงอาหารใคร ฉันยังต้องขออนุญาตบ้านใหญ่อีกเหรอ” เมิ่งเซี่ยอีตอบกลับอย่างไม่สนใจ ในเมื่อเธอแยกบ้านออกมาแล้ว บ้านใหญ่ก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเกี่ยวอีก ไม่ว่าบ้านรองหมิงจะทำอะไร “คอยดูเถอะฉันจะไปบอกแม่ ให้มาจัดการหล่อน มีเงินแทนที่จะส่งเข้าบ้านใหญ่ กลับเอามาเลี้ยงคนอื่นแบบนี้ มันถูกต้องที่ไหน” พูดจบหล่อนก็รีบสะบัดหน้ากลับบ้านไปทันที เพื่อไปฟ้องแม่สามี หล่อนหวังว่าจะให้แม่สามีมาจัดการเรื่องนี้ เฉินหว่านเยว่มองเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ก็รู้สึกไม่ดี ที่เธออาจเป็นสาเหตุทำให้บ้านรองหมิงต้องมีเรื่องกับบ้านใหญ่ “อย่าคิดมากเลยหว่านเยว่ พี่สะใภ้เขาก็เป็นแบบนี้ล่ะ ปล่อยไปเถอะ เรามากินข้าวต่อเถอะ” หมิงเจียงเทาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาว ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าว เขาตั้งใจว่าก่อนจะถึงเวลาทำงาน จะไปดูกับดักสัตว์เสียหน่อย เผื่อว่าจะได้กระต่ายมาสักตัวสองตัวเพื่อนำมาให้ภรรยาทำอาหารเย็น จากนั้นทุกคนจึงนั่งกินอาหารกันต่อ ก่อนที่เฉินหว่านเยว่จะขอตัวกลับห้องพักเพื่อพักผ่อน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD