“ข้อแลกเปลี่ยนของผมง่ายนิดเดียว นั่นก็คือ เมื่อคุณขายสินค้าให้ผมแล้ว คุณต้องไม่ขายสินค้าซ้ำให้กับใครอีก ถ้าคุณยอมรับข้อแลกเปลี่ยนนี้ได้ ผมยินดีทำการค้ากับคุณระยะยาว”
พอได้ยินแบบนี้หญิงสาวแทบไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลย แต่เธอก็มีเงื่อนไขเหมือนกัน จึงพูดความต้องการของตนออกมาบ้าง
“ยินดีค่ะ แต่คุณต้องรับลูกค้ารายแรกของฉันไปด้วย เพราะคุณลุงคนนั้นบอกว่าจะมาซื้ออีก และที่สำคัญ คุณต้องการสินค้ามากมายขนาดนี้ รวม ๆ แล้วน่าจะเป็นหมื่นชิ้น เช่นนั้นสำหรับการขนส่งมันย่อมยุ่งยากไปด้วย ฉันจึงต้องการเช่าโกดังที่ดูจะลับตาคนเล็กน้อย คุณก็น่าจะรู้ว่าสินค้าพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่หาง่ายและไม่แน่ว่าประเทศนี้จะมีขาย ดังนั้นฉันต้องการเช่าโกดังที่จะปลอดภัยที่สุด และไม่สะดุดตากับทางการ รวมถึงวันที่รับสินค้า คุณจะต้องให้คนของคุณมารับเอง หากคุณทำในสิ่งที่ฉันขอได้ การค้าระหว่างเราจะสมบูรณ์ และคุณจะมีสินค้าให้จำหน่ายในระยะยาว”
อี้ฉางเฟิงครุ่นคิดเล็กน้อย เรื่องโกดังสำหรับเขาไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ในเมื่อเขามีที่ดินอยู่มากมายและโกดังอีกหลายแห่งในเมืองนี้ สิ่งที่เขากังวลคือเรื่องที่ถ้าหากสินค้าติดตลาดแล้วหญิงสาวตรงหน้าจะมีขายให้เขาสม่ำเสมอหรือไม่
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แล้วถ้าผมต้องการทำการค้าสิบปีล่ะ”
ชายหนุ่มถามออกไปตามตรง
“ย่อมได้ แต่ราคาสินค้าฉันไม่สามารถยืนราคาเดิมได้ตลอดเมื่อถึงเวลานั้น เพราะถ้าหากวัตถุดิบแพงขึ้น นั่นหมายความว่าต้นทุนที่ฉันรับมาก็ย่อมแพงขึ้นเช่นกัน” เฉินหว่านเยว่พูดขึ้นมาอีกครั้ง โดยยกเรื่องราคาขึ้นมาประกอบเพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย
“ตกลง ถ้าอย่างนั้นคุณสะดวกที่จะไปดูโกดังวันนี้หรือไม่ ถ้าจะซื้อผมยินดีขายให้ในราคาที่เหมาะสม” คล้ายกับนึกได้บางอย่าง จึงเปลี่ยนคำพูด “ผมหมายถึงเพราะเป็นโกดังของนายท่าน เรื่องนี้ผมจะคุยกับนายท่านให้คุณเอง”
“ได้ค่ะ แต่คุณไม่คิดที่จะถามราคาเหรอคะ ว่าฉันจะขายให้คุณราคาเท่าไร” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เพราะชายคนนี้ตกลงซื้อสินค้าจำนวนมาก แต่ไม่ถามราคาก่อน มันน่าแปลกจริง ๆ
“ในเมื่อมันเป็นสินค้าที่ไม่เคยมีขายมาก่อน ต่อให้คุณแจ้งราคามาเท่าไร ผมเชื่อว่าผมสามารถทำกำไรให้กับนายท่านได้ไม่ยาก” ชายหนุ่มยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อย อาหารแบบนี้ต่อให้เธอขายมาในราคาห้าหยวนเขาก็พร้อมจะรับซื้อ เพราะมันจำเป็นต่อความต้องการจริง ๆ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพูดแบบนี้ เฉินหว่านเยว่จึงบอกราคาที่จะขายให้ในจำนวนมาก ๆ ซึ่งไม่ว่าจะขายราคาเท่าไรเธอไม่มีทางขาดทุน ต่อให้ขายถ้วยละหนึ่งหยวนก็ตาม
แต่เมื่อดูจากปริมาณแต่ละครั้งที่ชายหนุ่มสั่งซื้อ เงินที่จะได้รับไม่ต่ำกว่าหมื่นหยวน แต่ราคาที่ตกลงกันได้ก็จะมีตั้งแต่ หนึ่งหยวน นั่นคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ส่วนอาหารถ้วยร้อนจะมีตั้งแต่หนึ่งหยวนห้าเหมาไปจนถึงสามหยวน ขึ้นอยู่กับอาหารแต่ละชนิด
หลังจากตกลงราคากันได้แล้ว และอี้ฉางเฟิงได้มัดจำเป็นเงินสามพันหยวน เขาก็พาเฉินหว่านเยว่ไปยังโกดังที่จะขายให้เธอทันที และชายหนุ่มเสนอขายให้เธอในราคาพันห้าร้อยหยวน ซึ่งหญิงสาวก็ตอบรับอย่างไม่ลังเล เนื่องจากมีโกดังด้านในถึงสามหลังด้วยกันบนที่ดินแปลงนี้
แม้เธอจะรู้สึกแปลกใจกับการซื้อขายโกดังที่รวดเร็วปานจรวดแบบนี้ก็ตาม
‘พูดปุ๊บสามารถซื้อขายได้ปั๊บ มันมีที่ไหน คงที่นี่ที่เดียว แล้วเขาไม่กลับไปถามนายท่านฉางอะไรนั่นก่อนเหรอ’
หญิงสาวคิดสงสัยในใจ แต่ไม่นานเธอก็ปัดความคิดนั้นออกไป เพราะไม่ใช่เรื่องของเธอ
พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อย และเธอได้เอากุญแจมาแล้ว ทั้งหมดจึงออกมาจากที่นั่น ก่อนเฉินหว่านเยว่จะขอให้เขามาส่งเธอที่หน้าธนาคารของรัฐ เพราะหญิงสาวไม่มั่นใจที่จะเก็บเงินไว้ที่ห้องพัก เนื่องจากมีประสบการณ์เรื่องเงินหายมาก่อน จึงได้ทำการเปิดบัญชีและเอาเงินทั้งหมดฝากไว้ ก่อนจะรีบกลับบ้านพัก
ในใจนั้นคาดว่าคงต้องซื้อจักรยานมาใช้เสียแล้ว หากต้องเข้าเมืองมาส่งของหรือมาขายของนั้นคงลำบาก หากต้องเดินทางด้วยเกวียนทุกครั้ง แต่จะเอาออกมาจากห้างสรรพสินค้าออนไลน์ ก็จะเป็นที่ผิดสังเกตมากเกินไป
เมื่อคิดได้อย่างนั้นก็ยิ้มกริ่ม ก่อนจะหลบเข้ามุมเพื่อเลือกซื้อเนื้อสัตว์และอาหาร รวมถึงขนม เพิ่มเติมจากห้างสรรพสินค้าออนไลน์ เพื่อเอาไปฝากให้กับบ้านหมิง และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือน้ำหวานและน้ำตาลบริสุทธิ์ ที่เธอนำของออกมาตอนนี้ เพื่อให้ ทุกคนที่พบเห็นในระหว่างเดินทางกลับบ้านพัก เข้าใจว่าของเหล่านี้ เธอซื้อมาจากตลาดมืดในเมืองนั้นเองเฉินหว่านเยว่ใช้เวลาเกือบทั้งวันหมดไปกับการค้า เมื่อมารอเกวียนกลับเข้าหมู่บ้านก็เจอเข้ากับหมิงเพ่ยอันที่เลิกเรียนและกำลังจะกลับบ้านพอดี
“พี่หว่านเยว่ อย่าบอกนะคะว่าพี่มาพร้อมฉันและนี่เพิ่งจะกลับ” หมิงเพ่ยอันร้องถามอย่างตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนรอเกวียน
“ใช่แล้ว พอดีพี่สำรวจเมืองนี้ อีกทั้งไปหาซื้อของเพลินไปหน่อยเลยกลับช้า อีกอย่างลางานทั้งวันแล้ว ขี้เกียจกลับไปนอน เล่นอยู่ที่ห้องน่ะ”
หญิงสาวตอบกลับ จะให้บอกยังไงว่าเธอทำการค้าครั้งใหญ่ และซื้อโกดัง หากบอกไปแบบนี้เด็กสาวที่ฉลาด ๆ อย่างอันอันคงต้องสงสัยว่าเธอนั้นเอาสินค้าจากไหนมาขาย เธอจึงพูดตัดบทด้วยการเปลี่ยนเรื่อง และเป็นจังหวะที่เกวียนมาจอดรับพอดี
“อย่าถามเยอะ วันนี้พี่ซื้อขนมและอาหารมาด้วย ว่าจะเอาไปฝากป้าเซี่ยอี แม่ของเราน่ะ นั่นไงเกวียนมาแล้วเรารีบกลับบ้านดีกว่า”
เมื่อเกวียนมาจอดสนิท ทั้งสองคนรวมถึงชาวบ้านต่างก็รีบทยอยขึ้นเกวียน ก่อนที่เกวียนเล่มนี้จะมุ่งหน้ากลับหมู่บ้าน
กลับมาที่คุกทหาร เวลานี้คำสั่งให้ปล่อยตัวหมิงหวงซานได้ออกมาเรียบร้อยแล้ว บรรดาสหายที่สนิทต่างก็มายืนรอรับด้วยความกระวนกระวายใจและเป็นห่วง หลังจากได้ข่าวว่าชายหนุ่มนั้นถูกซ้อมอย่างหนัก แต่ทุกคนไม่เชื่อว่าสหายจะทำเรื่องงามหน้าเช่นนั้น เนื่องจากรู้นิสัยของสหายดีว่ามีนิสัยอย่างไร
พอเห็นว่าหมิงหวงซานถูกสหายพาตัวออกมาแล้ว คนที่เหลือต่างก็พากันเข้าไปช่วยพยุงและรีบพาไปยังห้องพยาบาลของค่ายทันที ทว่าชายหนุ่มที่ยังพอมีแรงเหลืออยู่ กลับเอ่ยปากบางอย่างขึ้นจนสหายทุกคนพากันส่ายหน้าอย่างจนใจ
“มีใครได้ข่าวคุณหนูรองเฉินบ้างหรือไม่ ไม่ว่าเหตุการณ์วันนั้นจะเกิดจากการกระทำของใคร แต่ฉันต้องรับผิดชอบเธอ...” เมื่อพูดจบประโยค สติของเขาก็ดับวูบไปทันที โดยยังไม่ทันได้คำตอบจากสหาย
“ขนาดท่านนายพลยังหาไม่เจอ แล้วนายจะหาคุณหนูรองเจอได้อย่างไร ถ้าฉันบอกนายว่าข่าวที่ฉันได้มานั้นเกิดจากการกระทำของคุณหนูรองเอง เพื่อจะใส่ร้ายคุณหนูใหญ่ นายจะเชื่อหรือไม่ล่ะ” สหายคนหนึ่งพูดกับคนที่สลบไปอย่างเหนื่อยใจ
นายทหารคนนี้ได้ยินข่าวลือนี้มา แม้จะไม่อยากจะเชื่อ แต่เพราะความร้ายกาจของคุณหนูรองที่มีต่อคุณหนูใหญ่ ต่อให้ไม่อยากเชื่อแค่ไหน ในใจก็มีเอนเอียงบ้างล่ะ
ไม่นานร่างของชายหนุ่มก็ถึงห้องพยาบาลและถูกทำแผลเรียบร้อย
กลับมาทางด้านของเฉินหว่านเยว่ หลังจากที่มาถึงบ้านหมิง หญิงสาวก็ยื่นของที่ซื้อมาให้กับเมิ่งเซี่ยอีเนื่องจากตอนนี้หมดเวลาทำงานเรียบร้อยแล้ว
“ป้าคะ นี่ค่ะ วันนี้ฉันเข้าไปในเมือง ฉันซื้อของมาฝากค่ะ”
“ให้ป้าทำไม เอากลับไปทำกินเถอะนะ” เมิ่งเซี่ยอีไม่กล้ารับ เพราะถุงนี้มีเนื้ออยู่ด้วย
“ป้าเซี่ยอีรับไปเถอะค่ะ แล้วยังไงวันนี้ฉันขอเสียมารยาทกินมื้อเย็นด้วยได้ไหมคะ ขอแบบหน้าด้าน ๆ เลยนะคะ เอากลับที่พักไปฉันก็ทำอาหารง่าย ๆ กินเท่านั้น ไม่อร่อยเท่าที่ป้าทำให้กิน เพราะไม่ถนัดในเรื่องทำอาหารสักเท่าไรนัก” หญิงสาวหาข้ออ้างเพราะต้องการให้บ้านหมิงรับของที่เธอซื้อมาฝาก
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ป้าจะถือว่าหว่านเยว่มาฝากของไว้ที่บ้านป้าก็แล้วกันนะ แล้วป้าจะทำกับข้าวให้กิน เข้าบ้านกันเถอะ”
เมิ่งเซี่ยอียอมรับข้าวของทั้งหมด ก่อนจะเดินเข้าครัวไปจัดการมื้อเย็น วันนี้บริเวณบ้านหมิงจึงมีกลิ่นเนื้อโชยมาแตะจมูก จนทำให้ชาวบ้านแถวนี้ต้องกลืนน้ำลายเพราะนานแล้วที่ไม่ได้กินเนื้อ
“กับข้าววันนี้อร่อยมากจริงๆ ค่ะ อย่างนั้นวันนี้ฉันขอตัวก่อนนะคะ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้” พอจบมื้อเย็น เฉินหว่านเยว่จึงขอตัวกลับมาที่บ้านพักของตนทันที “เดินทางดีๆ นะ แล้ววันหลังมากินข้าวด้วยกันอีก” เมิ่งเซี่ยอีบอกกับหญิงสาวอย่างมีน้ำใจ
คล้อยหลังของหญิงสาว เมิ่งเซี่ยอีจึงอดไม่ได้ที่จะพูดกับ ลูก ๆ และสามีของตนเอง “จะว่าไปก็น่าสงสารนะ ต้องพลัดถิ่นบ้านเกิดมาทำงานในทุ่งนา ดูแล้วผิวพรรณของหว่านเยว่ไม่ต่างจากคุณหนูจากตระกูลคนมีเงินเลย เห็นว่าโดนขโมยเงินบนรถไฟด้วยนี่ ช่างน่าสงสารเสียจริง”
“พี่สาวหว่านเยว่มีน้ำใจมากครับ แบ่งขนมให้อาหลงด้วย ทั้ง ๆ ที่คนอื่นมีแต่จะรังแกอาหลง หากพี่ใหญ่อยู่ ลูกชายลุงใหญ่คงไม่กล้ารังแกผมหรอก” เด็กน้อยหน้าเศร้าลงเมื่อนึกถึงพี่ชาย เพราะทุกครั้งที่เขาโดนรังแกพี่ใหญ่มักจะไปจัดการบ้านใหญ่ให้เสมอ แต่ตอนนี้พี่ใหญ่ไปทำงานเป็นทหารอยู่ที่ห่างไกล
“ว่าแต่พี่ใหญ่ปีนี้จะได้กลับบ้านหรือเปล่าคะแม่ ฉันชอบพี่สาวหว่านเยว่มากเลย หากพี่ใหญ่กลับมา ฉันอยากให้พี่ใหญ่ชอบพี่สาวหว่านเยว่เหมือนกัน”
เด็กสาวอย่างหมิงเพ่ยอันแม้ว่าจะเจอกับเฉินหว่านเยว่ วันสองวันแต่กลับชอบนิสัยของหญิงสาวอย่างมาก ในใจนั้นคิดว่าถ้าพี่ชายกลับมาจะสร้างสถานการณ์ให้ทั้งสองชอบกันให้ได้