“พี่สาว พี่เอาเสบียงในถุงนี้ไปกินก่อนนะ” หมิงเพ่ยอันยื่นถุงผ้าให้กับพี่สาวตรงหน้าทันที แม้จะไม่รู้จักชื่อ ทว่าเธอกลับถูกชะตากับพี่สาวคนนี้มาก เลยตั้งใจจะหยิบยื่นเสบียงพวกนี้ให้
“มันจะดีเหรอ แล้วนี่พ่อกับแม่รู้หรือไม่ว่าเธอเอามาให้ฉัน เสบียงอาหารพวกนี้มันมีค่ามากไม่ใช่เหรอ” แม้จะแปลกใจกับการกระทำของเด็กสาวตรงหน้า แต่เฉินหว่านเยว่ก็ยื่นมือออกมารับ ถุงผ้านี้มาแต่โดยดี พร้อมกับเอ่ยถามออกไป เนื่องจากไม่อยากให้มีปัญหาตามหลัง
“เรื่องนั้นพี่สาวไม่ต้องกังวลหรอกนะ เสบียงบ้านฉันยังพอมี แบ่งมาให้พี่สาวแค่นี้บ้านฉันไม่เดือดร้อนหรอก พี่สาวรับไปเถอะ หากหมู่บ้านเอาเสบียงมาให้แล้วพี่สาวค่อยเอามาคืนฉันก็ได้ ฉันชื่อหมิงเพ่ยอัน หรือจะเรียกฉันว่าเพ่ยอันหรืออันอันก็ได้ค่ะ”
หมิงเพ่ยอันยิ้มให้อย่างอ่อนโยนพี่สาวคนใหม่ พร้อมกับแนะนำตัวให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ส่วนเรื่องเสบียงอาหารนี้บ้านเธอมีพอสมควร อีกอย่างบ้านหมิงของเธอไม่ได้เดือดร้อนขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนคนในเมือง แต่การที่จะแบ่งเสบียงให้พี่สาวคนนี้สักเล็กน้อยก็ไม่ได้ลำบากอะไร
“อืม ขอบใจมากนะที่ช่วยเหลือในครั้งนี้ ฉันจะไม่ลืมบุญคุณที่เธอมีให้เลย ฉันชื่อหว่านเยว่ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
เฉินหว่านเยว่คลายความกังวลและความหวาดระแวงลงมามากแล้ว ก่อนจะแนะนำตัวให้อีกฝ่ายรู้จักและจำให้ขึ้นใจว่า เด็กสาวตรงหน้ามาจากบ้านหมิงนั่นเอง
“พี่สาวหว่านเยว่ เอาเสบียงไปเก็บก่อนหรือไม่ จากนั้นฉันจะพาพี่เดินเที่ยวรอบ ๆ หมู่บ้านหรือว่าพี่จะพักผ่อนก่อน”
เด็กสาวกลัวว่าเฉินหว่านเยว่จะเหนื่อยจากการเดินทางและกลัวว่าจะหนักหากต้องแบกถุงเสบียงเดินรอบ ๆ หมู่บ้าน จึงถามขึ้น
“ที่นี่เขาหาผักหาอาหารกันที่ไหนเหรอ หรือว่ารอจากอำเภอแจกจ่ายให้หมู่บ้านอย่างเดียว” เฉินหว่านเยว่ยังไม่ตอบแต่ถามไปถึงเรื่องที่เธอสนใจและให้ความสำคัญมากกว่า
“ถ้าหาผักป่าก็คงจะเป็นบนเขา แต่รัฐให้ชาวบ้านอย่างพวกเราปลูกผักไว้กินได้ ส่วนไก่ก็ขอมาเลี้ยงได้สองคนต่อหนึ่งตัว ไข่ไก่ก็เอามาจากไก่ที่เลี้ยงนั่นแหละ แต่ยุวปัญญาชนแบบพี่ทางรัฐไม่อนุญาต แต่ถ้าอยู่ด้วยกันก็น่าจะขอได้นะ เนื่องจากมีการเปลี่ยนสถานที่กันบ่อยละมั้ง แต่ถ้าหากอยากซื้อก็จะเป็นสหกรณ์เท่านั้นที่ไปซื้อได้ ส่วนตลาดมืดก็จะมีสินค้าเยอะขึ้น เพราะชาวบ้านจะแอบเอาผักและเนื้อสัตว์ที่ล่าได้ไปขายที่นั่น...ที่ตลาดมืดพี่จะไปซื้อของ หรือหากมีอะไรก็เอาไปขายได้แต่ต้องแอบไป ”
เด็กสาวแอบเผลอหลุดปากบอกว่ายังมีตลาดมืดอีกแห่งที่ชาวบ้านมักจะเข้าไปซื้อของและแอบนำของป่าที่หาได้ไปขาย นี่จึงทำให้เฉินหว่านเยว่เกิดความสนใจขึ้นมาทันที
หากไปซื้อคงไม่แปลก เพราะเธอพอมีเงินอยู่บ้างแม้จะไม่กี่สิบหยวน แต่ถ้าจะไปขายของนี่สิแปลกเพราะจะไปหาของมาจากไหนไปขาย
“อืม ถ้าอย่างนั้นเธอรอพี่อยู่ที่นี่ก่อนนะ พี่ขอเอาของไปเก็บก่อนนะ แล้วเราจะได้มาเดินดูรอบๆ หมู่บ้านด้วยกัน”
จากนั้นเฉินหว่านเยว่จึงนำถุงเสบียงเข้าไปเก็บที่ห้องพัก ท่ามกลางสายตายุวปัญญาชนหญิงร่วมบ้านพัก ก่อนจะรีบออกมาพบกับหมิงเพ่ยอันตามที่ได้นัดกันไว้
ทั้งสองใช้เวลาเดินเที่ยวรอบ ๆ หมู่บ้านพักใหญ่ ก่อนที่ เฉินหว่านเยว่จะขอตัวกลับเพื่อมาพักผ่อน เนื่องจากเธอเองก็เพิ่งเดินทางมาถึงและเหนื่อยกับการเดินทางไม่น้อย และทันทีที่มาถึงห้องพักของตนเอง หญิงสาวก็หลับเป็นตาย จวบจนได้ยินเสียงสัญญาณเลิกงานเนื่องจากห้องพักของเธออยู่ไม่ไกลกับสำนักงานคอมมูนเท่าไรนัก
เย็นวันนี้เมื่อตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่หญิงสาวได้ทำคือการนั่งมองกองเสบียงที่ได้นำออกมาจากถุงผ้า เธอมองของเหล่านั้นด้วยความรู้สึกจนปัญญา เนื่องจากที่ผ่านมาเธอทำแต่งานตลอดทั้งชีวิต แล้วจะเอาเวลาไหนไปทำอาหารกิน ไม่ใช่ทำอาหารไม่ได้หรือทำไม่เป็น แต่เพราะเธอเป็นคนไทยที่กินข้าวสวยมาตลอดนี่สิเลยยิ่งกลุ้มใจ เพราะไม่รู้จะทำยังไงกับแป้งพวกนี้ดี
“ตายแล้ว ฉันจะเอาแป้งพวกนี้ทำอะไรกินดีล่ะ อาหารที่คุ้นชินส่วนมากก็จะมีข้าวสวยเป็นหลัก แล้วนี่มีแต่แป้งกับผัก ฉันจะทำยังไงดี” เฉินหว่านเยว่พูดกับตัวเอง คราวนี้หญิงสาวถึงกับต้องยกมือขึ้นกุมขมับทั้งสองข้างอย่างคิดไม่ออก
“เฮ้อ...คงต้องทำซุปผักกินไปก่อนก็แล้วกัน”
พอคิดว่าจะทำอะไรกิน เฉินหว่านเยว่จึงหยิบผักและเครื่องปรุงที่หมิงเพ่ยอันเอามาให้ถือไปที่ห้องครัวส่วนรวมของบ้านหลังนี้ทันที แต่พอมาถึงห้องครัว กลับพบว่าเธอจะต้องรอคิวเนื่องจากมียุวปัญญาชนคนอื่นกำลังทำอาหารอยู่นั่นเอง เธอจึงนั่งรออย่างไม่มีทางเลือก
เมื่อถึงคิวของเธอ เฉินหว่านเยว่จึงนำผักที่มีทั้งหมดทำซุปผักกินรองท้องไปก่อน เมื่อยุวปัญญาชนหญิงคนอื่นเห็นจึงมองเธอด้วยความรังเกียจ ดูจะไม่ชอบใจและพาลไม่ชอบหน้าเธอทันที ทว่าเฉินหว่านเยว่กลับไม่สนใจ เพราะเธอไม่คิดที่จะสานสัมพันธ์กับหญิงสาวกลุ่มนี้ที่กล้าด่าเธอตั้งแต่พบหน้ากันครั้งแรกหรอกนะ
หลังจากกินมื้อเย็นง่าย ๆ เรียบร้อยแล้ว เธอจึงได้ไปล้างถ้วยล้างชามเก็บเข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อย ก่อนจะกลับไปยังห้องนอนของตนเอง
ในขณะที่กำลังคิดว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี และพยายามนึกว่าในเมื่อเธอฉีกเส้นเรื่องนิยายมาแล้ว หลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นตามที่มีในนิยายอีกหรือเปล่านะ หรือว่าเพราะเธอทะลุมิติเข้ามาในนิยายและหนีการแต่งงานทุกอย่างจึงเปลี่ยนแปลงไปหมด
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ฉันคงไม่ต้องเจอแม่ดอกบัวขาวนางเอกนิยายของเรื่องนี้อีกนะ”
หญิงสาวนอนคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เนื่องจากเงินที่แม่ให้มาถูกขโมยไปจนหมด และเงินที่มีติดตัวก็มีไม่ถึงหนึ่งร้อยหยวน แล้วเธอไม่รู้ด้วยว่าราคาข้าวของในยุคนี้จะราคาแพงหรือถูกยังไง ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม
แต่แล้วในขณะที่กำลังตบตีกับความคิดตนเองอยู่นั้น เสียงบางอย่างดังขึ้นมาว่า [คุณต้องการเปิดระบบการใช้งานห้างสรรพสินค้าออนไลน์หรือไม่]
“เสียงใครกัน” หญิงสาวหันซ้ายหันขวาเพื่อมองว่าเสียงปริศนานี้มาจากทางใด แต่ไม่ว่ามองไปทางไหนกลับเห็นเพียงผนังห้องนอนเท่านั้น
ก่อนจะมีเสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง [คุณต้องการเปิดระบบการใช้งานห้างสรรพสินค้าออนไลน์หรือไม่]
คราวนี้เฉินหว่านเยว่เริ่มมั่นใจแล้วว่า เสียงปริศนานี้กำลังพูดกับตนเองอยู่ เมื่อคิดได้แบบนั้นก็เริ่มตบตีกับความคิดของตนเองอีกครั้ง แต่พอรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้วจึงได้ตอบรับออกมา
“ฉันต้องการเปิดระบบห้างสรรพสินค้าออนไลน์”
[ยินดีด้วย นี่คือห้างสรรพสินค้าออนไลน์ของคุณ]
หลังจากตอบรับไปไม่นาน ก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเกิดภาพหน้าต่างคล้ายกับเว็บสั่งซื้อของจากห้างสรรพสินค้าในสมัยที่เธอจากมาปรากฏขึ้นทันที และมีการบอกถึงวิธีการนำสิ่งของในนั้นออกมา ในนั้นมีของมากมายตามที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ มี และที่สำคัญห้างสรรพสินค้านี้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินแลกออกมา!
“โอ้ว...ดีจัง แบบนี้ต้องลองซื้อของกินมาดูเสียหน่อยแล้ว”
จากนั้นหญิงสาวจึงเลื่อนภาพหน้าต่างตรงหน้าไปที่แผนกอาหาร และสั่งอาหารที่อยากกินออกมา
ข้าวกะเพราหมูไข่ดาวร้อน ๆ ออกมาวางตรงหน้าหญิงสาวทันทีที่เธอจิ้มเลือกภาพข้าวกะเพราหมูไข่ดาวและกดสั่งซื้อ
“โอ้ นี่มันได้จริงๆ เหรอ เดี๋ยวลองดูอีกดีกว่า” เฉินหว่านเยว่พูดกับตัวเองอย่างตื่นเต้นดีใจ
ก่อนจะเลื่อนไปยังแผนกของใช้และดูว่าเครื่องสำอางที่เธอใช้ประจำนั้นมีหรือไม่ เมื่อกดเลือกเข้าไปปรากฏว่ามีของที่เธอต้องการจริง ๆ เธอจึงกดเลือกซื้อทันที แต่ว่าเมื่อเครื่องสำอางเหล่านี้ออกมาวางตรงหน้า ป้ายยี่ห้อเดิมกลับเลือนหายไปจากบรรจุภัณฑ์ทันที มีเพียงตัวหนังสือเขียนว่าคืออะไรและมีสรรพคุณอะไรบ้างเท่านั้นเอง
เฉินหว่านเยว่ไม่คิดอะไรมาก ขอแค่เธอมีของกินของใช้ไม่ขาดก็พอแล้ว แค่นี้ก็สามารถทำให้เธอดำเนินชีวิตต่อได้แล้ว เพราะต่อจากนี้เธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องอีก
แต่สิ่งที่หญิงสาวไม่ลืมคือ เธอเลือกซื้อแป้งคุณภาพดี รวมถึงข้าวสารนำมาเก็บไว้เพื่อจะคืนหมิงเพ่ยอันด้วย แล้วค่อยหาข้ออ้างออกไปในเมืองแล้วบอกว่าไปซื้อของพวกนี้มาจากตลาดมืด ส่วนที่ให้เกินมาคือเธอซื้อมาตอบแทนความมีน้ำใจของเด็กสาว