หญิงสาวจึงรีบนึกย้อนเหตุการณ์ที่ผ่านมาในทันที เพื่อคิดให้ออกว่า เธอได้ไปเผลอทำมันหล่นไว้ที่ไหนหรือไม่ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก เธอจำได้ว่าหลังจากนั่งประจำที่บนขบวนรถไฟเรียบร้อย ก็ไม่ได้ลุกไปที่ไหนอีก
หรือว่า จะเป็นสามีภรรยาคู่นั้น ใช่ ต้องใช่แน่ ๆ ต้องเป็นสองคนนั้นที่ขโมยเงินเธอไปทั้งกระเป๋า
ยิ่งเมื่อนึกไปถึงสายตาที่คนทั้งคู่มองมา ร่างบางได้แต่รู้สึกเจ็บใจที่ ณ เวลานั้น ตนเองไม่ได้นึกเอะใจอะไรเลยสักนิด
“สหายหญิง ซาลาเปา พวกนี้เธอยังจะซื้ออยู่หรือเปล่า”
คนขายเห็นเธอควักหาเงินอยู่นานแต่กลับหาไม่ได้สักทีเอ่ยถามขึ้นมา
“ซื้อค่ะ” ทิชาตอบกลับไปทันที พร้อมกับยื่นเงินให้แม่ค้า
ทิชาค้นเจอเงินเก็บของเฉินหว่านเยว่ ที่มีอยู่ไม่มากนัก เธอเจอเงินนี้อยู่ในกล่องหัวเตียง จึงนำเงินที่หาเจอนั้นมาด้วย และเป็นโชคดีที่เธอไม่ได้นำเงินส่วนนี้ไปรวมไว้กับเงินที่มารดามอบให้ ไม่เช่นนั้นละก็ แย่แน่ ๆ
หลังจ่ายเงินเรียบร้อย หญิงสาวจึงเดินถือซาลาเปาสองลูกออกมาจากโรงอาหารด้วยใจอันห่อเหี่ยว เงินหลายร้อยหยวนที่ จะช่วยให้เธอใช้ชีวิตต่อไปข้างหน้าได้อย่างไม่ยากลำบากหายวับ ไปกับตาแล้ว ที่เหลืออยู่ติดตัวก็มีแค่ไม่กี่สิบหยวนเท่านั้น
นอกจากเรื่องเงินที่ต้องขบคิดอย่างหนักแล้ว เรื่องการเดินทางไปถึงหมู่บ้านอันห่างไกลนั่นก็เป็นอีกเรื่องที่เธอกำลังเป็นกังวล ก็ไหนมารดาของเธอบอกว่าหลังจากลงรถไฟแล้ว จะมีคณะกรรมการ หรือคนในคอมมูนอะไรสักอย่างมารอรับเธอที่สถานีรถไฟไง แต่นี่เธอนั่งรอมานานมากแล้ว ยังไม่เจอพวกคนที่ว่าเลยแม้แต่คนเดียว
“แล้วฉันจะไปหมู่บ้านฟางเจีย ยังไงล่ะทีนี้” ทิชาอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้
คำพูดที่บ่นกับตัวเองของทิชา ทำให้เด็กสาวที่เดินผ่านไปหยุดชะงัก ก่อนจะเดินย้อนกลับมาแล้วถามขึ้น
“พี่สาว เมื่อครู่นี้ พี่สาวบอกว่าจะไปที่ไหนเหรอคะ”
เด็กสาวถักเปียสองข้างที่ดูไม่มีพิษภัยอะไร เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“....” แต่เพราะเจอเข้ากับเหตุการณ์ไม่ดีบนรถไฟก่อนหน้านี้ หญิงสาวจึงไม่กล้าตอบและมองอีกฝ่ายด้วยสายตาระแวดระวังไม่น้อย
“พี่สาวอย่ามองฉันแบบนั้นสิคะ ฉันมาดีนะคะ ไม่มีความประสงค์ร้ายกับพี่สาวเลยสักนิด แล้วถ้าฉันได้ยินไม่ผิด เมื่อสักครู่นี้พี่สาวบอกว่าจะไปที่หมู่บ้านฟางเจียใช่ไหมคะ” เด็กสาวคนนั้นเห็นสีหน้าระวังภัยของทิชาก็พูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงใจ
เมื่อถูกถามย้ำ หญิงสาวจึงตอบคำถามด้วยการพยักหน้าเท่านั้นยังไม่พูดอะไรออกมา
“พี่สาวจะต้องเป็นยุวปัญญาชนหญิงที่จะมาอยู่ที่หมู่บ้านของฉันคนนั้นแน่ ๆ เลยใช่ไหมคะ” เด็กสาวเห็นอย่างนั้นก็รีบถามขึ้นมาทันที
“เธอมาจากหมู่บ้านฟางเจียงั้นเหรอ” คราวนี้ทิชาถามออกไปบ้าง
“ใช่ค่ะ ตอนที่หัวหน้าหมู่บ้านเรียกประชุมคนในหมู่บ้าน พวกคณะกรรมการพูดให้พวกเราฟังว่า จะมียุวปัญญาชนคนสุดท้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านของเรา แต่พี่มาถึงเร็วกว่ากำหนดนะคะ เห็นคณะกรรมการบอกพี่จะมาถึงพรุ่งนี้” เด็กสาวพูดออกตามที่ได้รับรู้ข่าวมา
เมื่อได้ฟังเด็กสาวตรงหน้าพูดแบบนี้เธอเริ่มหน้าเสีย จากคำพูดของเด็กสาวที่ถักผมเปียน่าจะหมายความว่า เพราะเธอมาถึงเร็วเกินไปทำให้ในวันนี้จึงไม่มีใครมารับเธอใช่ไหม
‘แล้วแบบนี้เธอจะทำยังไงต่อไปดี’ ทิชาคิดในใจคนเดียวแต่สีหน้าบ่งบอกว่าเธอกำลังกังวลอย่างเห็นได้ชัด จนอีกคนรับรู้ได้
“พี่สาวไม่ต้องกังวลนะ ฉันเองก็มาจากหมู่บ้านฟางเจีย งั้นพี่สาวไปกับฉันดีไหม แล้วไม่ต้องหวาดระแวงอะไร ฉันไม่ใช่โจรแน่นอน เดี๋ยวเราไปขึ้นเกวียนกลับเข้าหมู่บ้านพร้อมกัน เกวียนอยู่ทางโน้น เราไปกันเถอะ”
เด็กสาวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม และบอกให้อีกฝ่ายเลิกหวาดระแวงสักที ไม่แน่ว่าพี่สาวคนนี้อาจจะโดนโจรขโมยเงินบนรถไฟแน่ ๆ จึงมีอาการหวาดระแวงแบบนี้ ซึ่งเหตุการณ์นี้มีเกิดขึ้นแทบทุกวัน
“ขอบใจนะ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะไม่มีพิษมีภัย ทิชาที่ไม่มีทางเลือกมากนัก จึงได้ยินยอมที่จะเดินตามเด็กสาวผมเปียไปที่เกวียนเพื่อจะเดินทางไปที่หมู่บ้านฟางเจีย
‘หวังว่าเราจะไม่ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอกนะ’ เธอได้แต่คิดในใจ
ไม่นานทั้งสองสาวต่างวัยก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านฟางเจีย เมื่อเดินทางมาถึงหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านและกรรมการหมู่บ้านได้จัดเตรียมบ้านพักไว้ให้ยุวปัญญาชนหญิงก็จริง
แต่เมื่อมาถึงบ้านพักนี้ ทิชาก็เห็นว่ามีหลายห้อง และต้องอยู่รวมกับยุวปัญญาชนคนอื่นๆ แต่สิ่งที่น่าปวดหัวกว่านั้นก็คือ เธอไม่มีเสบียงติดตัวมาด้วย และเรื่องนี้ก็ไม่มีใครบอกมาก่อนว่าให้จัดเตรียมมาเอง เพราะที่นี่ขาดแคลนอย่างหนัก
อีกทั้งตอนนี้เสบียงอันน้อยนิดที่ทางหมู่บ้านต้องจัดหาให้ ยุวปัญญาชนที่มาใหม่ก็ยังมาไม่ถึง ปัญหาใหญ่เลยเกิดขึ้นกับ หญิงสาวอีกครั้ง เพราะตอนนี้เธอไม่มีอาหาร
“โอ๊ย!! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันเนี่ย เงินก็ถูกขโมยไปเกือบหมด มานี่เสบียงก็ไม่มีอีก แล้วฉันจะทำยังไง ลองไปขอยืมหรือขอซื้อจากคนอื่นจะได้หรือไม่นะ”
หลังจากที่จัดข้าวของเข้าที่เข้าทางแล้ว เฉินหว่านเยว่จึงหยิบกระเป๋าเงินติดตัวออกมาก่อนจะล็อกห้องอย่างแน่นหนา แล้วเดินออกมาจากห้อง เมื่อเจอสหายร่วมบ้านหญิงสาวจึงไม่รีรอ ได้รีบเอ่ยถึงความประสงค์ของตนเองทันที
“เอ่อ เธอพอจะแบ่งอาหารให้ฉันยืมสักหน่อยได้ไหม เดี๋ยวทางคอมมูนจัดสรรมาให้ฉันจะรีบเอามาคืน หรือหากไม่สะดวกจะแบ่งขายให้สักหน่อยก็ได้”
“นี่เธอไม่รู้หรือไงว่าอาหารมันมีค่าแค่ไหน ใครจะมาให้หยิบยืมกันล่ะ ส่วนจะซื้อ ฉันก็ไม่ขาย ไม่รู้หรือไงว่าหากทางการจับได้ว่าขายอาหารที่ได้รับส่วนแบ่งมานั้นมีโทษหนักแค่ไหน รู้ว่าต้องมาทำงานในคอมมูน ทำไมไม่เตรียมมาด้วยล่ะ โง่สิ้นดี!!”
ยุวปัญญาชนหญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมาพร้อมกับมองดู เฉินหว่านเยว่อย่างดูแคลน แต่เมื่อพูดจบหล่อนก็กลับหันไปคุยกับสหายที่อยู่ด้วยกันอย่างสนุกสนาน นี่จึงทำให้เฉินหว่านเยว่เกิดความไม่พอใจขึ้นมาทันที
“ไม่ให้ยืมก็ไม่ให้ยืมสิ ทำไมต้องด่าฉันด้วย” พูดจบเฉินหว่านเยว่ก็เดินออกมาทันทีด้วยความหงุดหงิดใจ
‘ไม่มีอาหารยังพอว่า แต่ดันมาถูกด่าว่าโง่นี่สิรับไม่ได้จริงๆ เรื่องนี้เราไม่รู้มาก่อนนี่ว่าต้องเตรียมเสบียงมาด้วย ไม่อย่างนั้นคงเอามาแล้วล่ะ’ หญิงสาวคิดในใจอย่างไม่พอใจเหมือนกัน
เฉินหว่านเยว่เดินมาที่คอมมูน เพื่อคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลหมู่บ้านแห่งนี้ เรื่องเสบียงของตนเอง
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าอาหารและเสบียงในส่วนของยุวปัญญาชนคนใหม่จะมาเมื่อไรคะ” หญิงสาวถามเจ้าหน้าที่ คนหนึ่งออกไป
“เธอเพิ่งมาวันนี้สินะ แล้วไม่ได้เตรียมเสบียงมาด้วยเหรอ โดยปกติแล้วยุวปัญญาชนที่ถูกส่งมาที่นี่นั้นล้วนนำเสบียงติดตัวมาทั้งนั้น แล้วทำไมเธอถึงไม่ได้เอามาล่ะ” เจ้าหน้าที่เอ่ยถามกลับมาอย่างสงสัย
“พอดีว่าเกิดเรื่องบนรถไฟที่ฉันนั่งมาน่ะค่ะ แล้วฉันก็เตรียมเสบียงมาน้อยด้วย คิดว่าที่หมู่บ้านจะจัดสรรให้อีกส่วนหนึ่ง” หญิงสาวตอบกลับ แต่ไม่อยากจะบอกว่าเธอไม่ได้เตรียมในส่วนของเสบียงมา เพราะกลัวจะถูกด่าว่าโง่อีก จึงบอกว่าเสบียงถูกขโมยไปตั้งแต่บนรถไฟก็แล้วกัน
“เรื่องเสบียงฉันก็ตอบไม่ได้หรอกนะ อยู่ที่ทางอำเภอว่าจะส่งมาตอนไหน อีกทั้งเธอมาแบบกะทันหันด้วยคงต้องรอไปก่อน แล้วทำไมไม่ขอยืมจากสหายในบ้านพักเดียวกันก่อนล่ะ เดี๋ยวทางหมู่บ้านจัดการให้ก็ค่อยเอาไปคืนสหาย” เจ้าหน้าที่คนนี้บอกลู่ทางให้ เพราะเข้าใจว่าอยู่ด้วยกันน่าจะยืมกันได้ โดยไม่รู้ว่าเธอได้ทำไปแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะลองหาลู่ทางดูว่าทำอย่างไรถึงจะหาเสบียงมาประทังชีวิตในช่วงนี้ไปก่อน ขอตัวก่อนนะคะ”
‘ใครอยากจะบอกกันละว่าเอ่ยปากขอยืมแล้ว แต่ดันโดนด่าว่าโง่กลับมา’ หญิงสาวคิดในใจ ก่อนจะเดินจากมา
เมื่อต้องดิ้นรนด้วยตนเอง เฉินหว่านเยว่จึงเดินออกมาและคิดว่าตนเองคงต้องเข้าเมืองเพื่อหาซื้อเสบียงเสียแล้วมั้ง แต่เงินทั้งตัวมีไม่ถึงหนึ่งร้อยหยวน จะซื้อของได้มากน้อยแค่ไหนกัน
ในขณะที่เฉินหว่านเยว่คุยกับเจ้าหน้าที่ของคอมมูนอยู่ หมิงเพ่ยอันลูกสาวจากบ้านหมิง หรือเด็กสาวที่พาเฉินหว่านเยว่มาที่หมู่บ้านได้ยินเข้าพอดี
จากนั้นเด็กสาวจึงรีบวิ่งกลับมาที่บ้าน ก่อนจะแอบเอาเสบียงอย่างละเล็กน้อยใส่ห่อผ้าเพื่อนำไปให้พี่สาวยุวปัญญาชนคนใหม่ เพื่อให้เธอได้ประทังชีวิตไปอีกสักพักก่อนที่เสบียงของหมู่บ้านจะเดินทางมาถึง