ตอนที่ 3 โอกาสอันดีที่หาได้ยากยิ่ง1

1059 Words
ในห้องส่วนตัวพิเศษชั้นสองของหอน้ำชา จ้าวเฟิงฉีนั่งเหยียดกายอย่างเกียจคร้าน พลางปรายตามองหลินซูซินอย่างเฉยชา หากแต่ในแววตากลับซุกซ่อนความชมชอบอาการขลาดกลัวที่แฝงด้วยความรัญจวนใจซึ่งเป็นกิริยาอันน่ารักที่สตรีดีงามพึงมี อาการเช่นนี้ชวนให้บุรุษรู้สึกหวงแหนจนนึกอยากมอบความรักให้ครั้งแล้วครั้งเล่า และหลินซูซินล้วนมีกิริยาเช่นนั้นทุกครั้งที่เจอเขา เพียงแต่วันนี้ หลินซูซินคล้ายเปลี่ยนไป หากเป็นแต่ก่อน นางย่อมเลือกที่จะเดินไปกับเกาหมิง ไหนเลยจะให้เขาได้มีโอกาสทำอะไรแบบเมื่อครู่ บนใบหน้าหล่อเหลาราบเรียบเริ่มมีแววตาที่สับสนปนเป นางที่เคยมีท่าทีหวาดกลัวเอาแต่หลีกเลี่ยงหลบหน้า ไฉนยามนี้เอาแต่จ้องเขม็งตาแป๋วใส่เขา อีกทั้งในแววตายังหาญกล้าเผยแววตัดพ้อเล็กๆ ออกมา “อันใด?” จ้าวเฟิงฉีเลิกคิ้วถาม หลินซูซินกะพริบตา กลั้นใจเอ่ย “นายน้อยพูดเรื่องให้ข้าขึ้นไปอยู่บนหุบเขาอีกแล้วหรือเจ้าคะ?” ชายหนุ่มแค่นเสียงฮึในลำคอ นึกถึงครั้งก่อนที่เขาเอ่ยปากชวนนางตามตรง แต่นางกลับเอาแต่ส่ายหน้าเผยแววตาพรั่นพรึง ต่อมาเขาแกล้งให้นางทำอาหารที่ต้องใช้วัตถุดิบที่มีเฉพาะในหุบเขาทุกจาน นางก็เอาแต่ร่ำไห้คล้ายใกล้ช้ำในตาย “เมื่อครู่ข้าเพียงพูดให้บุรุษของเจ้าได้สำนึกรู้ตัวก็เท่านั้น ชายหญิงที่โง่เขลาเบาปัญญาคู่หนึ่งจะได้รู้ซึ้งถึงคำว่าห่างเหิน หากเจ้าห่างจากเขาบ้าง ให้เขาหึงหรือหวงแหนห่วงใยบ้าง เขาจะได้ไม่ทำตัวออกนอกลู่นอกทาง” หลินซูซินชะงัก “ท่านเห็นหรือ?” ความหมายคือจ้าวเฟิงฉีเห็นเกาหมิงกับจางจิ่วเม่ยเหมือนที่นางเห็นจากชั้นสองของหอน้ำชา ชายหนุ่มเหยียดยิ้มมุมปาก น้ำเสียงเย้ยหยันเต็มที่ “เห็นบ่อยมาก มิใช่ครั้งเดียวด้วย” ไม่มีหรอกที่จะอ้อมค้อมหรือถนอมคำอย่างรักษาน้ำใจ หลินซูซินเม้มปาก ใจร้าย... นอกจากนั้น สมุนของจ้าวเฟิงฉีมักจะเห็นเกาหมิงอยู่กับจางจิ่วเม่ยบ่อยๆ จึงเอาข่าวนี้มารายงานจ้าวเฟิงฉีบ่อยๆ เช่นกัน จ้าวเฟิงฉีได้ยินคำรายงานเช่นนั้นลึกๆ ก็ดีใจ แต่ก็แฝงไปด้วยความกังวล เขาเองก็ไม่เข้าใจอารมณ์ตัวเองเหมือนกัน ชายหนุ่มจึงรู้สึกแค่ว่ายามนี้เขากำลังได้โอกาสเน้นย้ำที่มิใช่การซ้ำเติมให้ตนพูดใส่หูหลินซูซินเสียที หวังเพียงให้นางตาสว่าง มิได้มีความคิดชั่วร้ายหมายแย่งชิงนางแต่อย่างใด จริงๆ นะ “บัณฑิตหน้าขาวแสนสุภาพสง่างามของเจ้าชอบไปเดินเล่นกับหญิงคนรักที่ตลาดชานเมืองอันเวิ้งว้างห่างไกลผู้คนด้วยแน่ะ ช่างน่าแปลกนักที่หญิงคนรักที่ว่ากลับมิใช่เจ้า” พูดจบใบหน้าหล่อเหลาก็ค่อยๆ เผยยิ้มบาง อย่างชั่วร้าย หลินซูซินมองจ้าวเฟิงฉีตาปริบๆ อยากจะบอกเหลือเกินว่า ‘นายน้อยช่วยเก็บรอยยิ้มอันน่ากลัวด้วย ท่านคิดอันใดอยู่ ข้าที่เมื่อก่อนไม่รู้ ตอนนี้กลับรู้หมดแล้วเจ้าค่ะ’ จ้าวเฟิงฉีเห็นหลินซูซินหลุดกิริยาจึงเคาะหน้าผากนางด้วยพัดจีบไปหนึ่งที “ทำสีหน้าอันใดของเจ้า อัปลักษณ์ยิ่ง” สาวน้อยเบ้หน้า วาจาอำมหิตที่สุด! มีความจริงอีกหนึ่งประการ แม้ฝ่ายหนึ่งจะเป็นเจ้านาย ทว่าทั้งสองอายุไม่ห่างกันมากเท่าใด ทั้งเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เคยวิ่งเล่นวิ่งไล่กันนับครั้งไม่ถ้วน ที่สำคัญหลินซูซินยังเป็นพี่เลี้ยงให้จ้าวฉีเสวียนและจ้าวเล่อเสีย ท่านชายและท่านหญิงเรียกนางว่าพี่สาวคนงามทุกคำ จ้าวเฟิงฉียังอิจฉานางที่น้องๆ รักใคร่มากกว่า ยามอยู่ลับหลังผู้อาวุโส พวกเขามักทำตัวเหมือนสหายที่ไม่ลงรอยกัน “เป็นอย่างไร สตรีโง่งมเช่นเจ้า ตาสว่างขึ้นแล้วล่ะสิ” ยัง ยังไม่หยุดถากถาง หลินซูซินเผลอมองค้อนด้วยดวงตาฉ่ำหวานใส่ผู้เป็นนายโดยไม่รู้ตัว จ้าวเฟิงฉีได้ทีก็เอาใหญ่ โอกาสเช่นนี้มิได้มีง่ายๆ เผลอๆ พรุ่งนี้ตัวโง่งมคงเดินตามเจ้าเกาหมิงหน้าขาวไป เขาคงไม่ได้พูด “ข้าจะบอกอะไรให้ บุรุษที่ฝักใฝ่ฝ่ายบุ๋นแล้วเป็นสุภาพชนอย่างแท้จริงมีไม่กี่คนหรอก นอกจากจ้าวฉีเสวียนน้องชายข้า นอกนั้นล้วนไม่มีใครเข้าตา” ที่เอ่ยเช่นนี้เพราะตัวเขาเป็นจอมยุทธ์นักรบ งานบู๊ที่ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่บิดา คือสิ่งประเสริฐเลิศล้ำ “ดังนั้น เจ้าบัณฑิตหน้าขาวเกาหมิงที่ใครต่างมองว่าแสนดี ที่แท้ก็แค่สุภาพชนจอมปลอม หากได้แต่งงานกับเจ้าที่ขลาดเขลา บุตรที่ถือกำเนิดออกมาต้องอาภัพเป็นแน่แท้” หลินซูซินคิ้วกระตุกถี่ๆ ไม่มีแล้วสตรีดีงามพึงรักษากิริยา ริมฝีปากจิ้มลิ้มจึงพ่นคำโต้ตอบออกมาอย่างไม่ยินยอม “ข้าไม่ได้ขลาดเขลานะเจ้าคะ แต่คนต้องว่านอนสอนง่าย บิดามารดาว่าอย่างไรบุตรธิดาย่อมเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” เถียงเสียเลย ไม่เคยทำหรอกนะแบบนี้ หญิงสาวยังเอ่ยสุ้มเสียงดังกังวานแต่แว่วหวานอีกว่า “และพอแต่งงานก็ต้องเชื่อฟังสามี ไม่ว่าสามีของข้าจะเป็นใคร ข้าก็จะเชื่อฟังเขา” เป็นข้าได้หรือไม่? จ้าวเฟิงฉีคล้ายได้ยินคำถามนี้กำลังลอยล่องอยู่ที่ไหนสักที่ เขาได้ยินไม่ถนัดถนี่นัก ชายหนุ่มปัดความสงสัยนั้นออกไปอย่างไม่ใส่ใจ “พูดได้ดี ข้าจะรอดูว่าเจ้าเกาหมิงหน้าขาวจะเป็นสามีที่ดีให้เจ้าได้หรือไม่” หลินซูซินแค่นเสียงในใจ ใครอยากได้เกาหมิงเป็นสามีเล่า! ทั้งสองไม่พูดอันใดต่อกันอีก จ้าวเฟิงฉีเพียงนั่งกินอาหารจิบชาอย่างบึ้งตึง แววตายากจะคาดเดาความรู้สึก หลายครั้งยังเรียกใช้หลินซูซินอย่างดุดันคล้ายกลั่นแกล้งกันตลอดเวลา เห็นท่าทางลนลานยามเอาใจเขาไม่ถูก ชายหนุ่มให้รู้สึกดียิ่ง หลินซูซินอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD