“เจ้าช่างรู้ใจข้าเสียจริง...” ยังคงเป็นนางกำนัลผู้นี้ที่อยู่เคียงข้างนางตลอด เมื่อนึกถึงความฝันที่เหมือนจริงแล้วก็เกิดความเศร้าโศกกัดกินหัวใจ ชาติก่อนนางมีลูกที่น่ารักและยังเป็นเพียงทารกน้อยเพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่กี่ชั่วยาม ชีวิตพวกนางแม่ลูกช่างอาภัพเสียจริง
ร่างบางยกผีผาไปดีดเล่นข้างหน้าต่าง ทำนองไพเราะเสนาะหูทว่ากลับสะท้อนใจคนฟังยิ่งนัก ถางเมิ่งหรูให้สัญญากับตนเองว่าชาตินี้นางจะไม่มีลูกเด็ดขาด ถ้ายังดูแลตัวเองไม่ได้ เพราะฝังใจกับการสูญเสียในชาติก่อน ความรู้สึกหวาดกลัวจึงส่งผลถึงชาตินี้ด้วย
ณ ตำหนักใหญ่ จวิ้นอ๋องอารมณ์ไม่ดีที่ถูกพระชายาต่อต้านและยังฝากรอยแผลไว้ที่ริมฝีปาก ทำให้ต้องหงุดหงิดใจเล่น ขันทีข้างกายรีบเข้ามาปลอบพระทัย
“ถ้าท่านอ๋องไม่พอพระทัย จะให้กระหม่อมเรียกพระชายามาลงโทษดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ตามปกติแล้วคนในจวนจวิ้นอ๋องมักไม่ค่อยให้เกียรติพระชายาสกุลถางนัก เพราะว่าท่านอ๋องไม่โปรดปรานนาง ทุกครั้งที่เรียกหาก็เพื่อระบายโทสะหรือระบายอารมณ์ก็เท่านั้น
สายตาคมตวัดมองหน้าขันทีที่พูดมาก “หุบปาก!” หานเถิงซีไม่ชอบถางเมิ่งหรูก็จริง แต่ว่าเขารังแกนางได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรู้ตัวแล้วว่าพูดมากไปจึงรีบหุบปากเงียบ
ไม่นานองค์ชายเจ็ดก็เสด็จมาเยือนที่จวนจวิ้นอ๋อง
“เจ้าเป็นอะไร เหตุใดสีหน้าถึงบึ้งตึงเช่นนั้น” องค์ชายเจ็ดหรือก็คือหานหลินเอ่ยถามขึ้น เขากับจวิ้นอ๋องเป็นพระญาติที่สนิทชิดเชื้อกันมากที่สุดในบรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งหมด ทุกวันในช่วงเที่ยงมักมาเสวยพระกระยาหารเที่ยงและเดินหมากสักสองสามกระดานเพื่อแก้เบื่อ บางวันก็อยู่จนถึงมื้อเย็นร่ำสุราต่อจนดึกดื่น หากพูดกันง่าย ๆ แคว้นเฉินมีงานน้อยจนเกินไป บ้านเมืองอยู่ในยุคสงบสุขรุ่งเรืองไม่ค่อยมีเรื่องให้ต้องแก้ไขปัญหานัก ส่วนใหญ่งานพวกนี้จะเป็นหน้าที่พวกขุนนางขั้นหนึ่งรับไปดูแลแก้ไขปัญหาช่วยเหลือจักรพรรดิ เลยเป็นสาเหตุให้จักรพรรดินีจัดงานเลี้ยงรับรองในวังบ่อยครั้ง และแขกกิตติมศักดิ์ก็ไม่พ้นพวกราชวงศ์
“เจ้าไม่มีที่ให้ไปหรืออย่างไร” หานเถิงซีทักทายองค์ชายเจ็ดด้วยถ้อยคำประชดประชัน หานหลินยิ้มกว้างสีหน้าไม่มีสลด
“อะไรกัน ถึงเจ้าจะอภิเษกสมรสแล้วแต่ก็เหมือนยังไม่ได้อภิเษกสมรสนั่นแหละ เจ้าก็ว่างเหมือนข้า หากข้าไม่มา เจ้าจะเหงาเอาได้นะ”
“หึ...” หานเถิงซีอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ทว่าก็เพียงแวบหนึ่งเท่านั้น เมื่อถูกองค์ชายเจ็ดที่ตาดีทักขึ้นว่า
“เจ้าไปปากดีให้ใครกัดมาหรือ เหตุใดปากถึงได้แตกเช่นนั้นเล่า” หานหลินพูดล้อเล่นไม่ได้คิดจริงจัง แต่กลับจี้ใจดำคนถูกถามมากที่สุด
“ข้าไม่ระวังจึงกัดปากตนเอง เจ้ามีปัญหาหรือ” สายตาคมจ้องเขม็งดูมีพิรุธอย่างมาก หานหลินยิ้มเจื่อนพลางหัวเราะกลบเกลื่อน แล้วกวักมือให้ขันทีไปนำสุรามา
“ยังไม่ทันจะเที่ยงวันก็จะร่ำสุราแล้วหรือ ช่วงค่ำก็มีงานเลี้ยงอีก” จวิ้นอ๋องเตือนองค์ชายเจ็ด ทว่าหานหลินไม่ฟัง
“งานเลี้ยงนั่นข้าไม่อยากไป” หานหลินเริ่มระบายออกมา
“ไม่เอาน่า...องค์หญิงใหญ่ยังไม่เลือกราชบุตรเขยตอนนี้หรอก เจ้าก็อย่าคิดมาก” หานเถิงซีกับหานหลินมีอายุเท่ากัน ในแคว้นเฉินองค์หญิงใหญ่สามารถอภิเษกสมรสกับองค์ชายได้ทุกพระองค์ แล้วแต่ว่าพระนางจะมีพระทัยให้ผู้ใด เนื่องจากจักรพรรดิแซ่หลี่ ส่วนพวกเขานั้นเป็นพระญาติสายรองที่ใช้แซ่หานสามารถแต่งงานกันได้ โดยไม่ผิดหลักจารีตประเพณี แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้องค์ชายเจ็ดกลุ้มใจมากเพราะว่าเขาไม่ชอบองค์หญิงใหญ่เป็นทุนเดิม
“จักรพรรดินีเลือกจัดงานเลี้ยงรับรองในช่วงนี้ เจ้าคิดว่าเป็นแค่งานเลี้ยงธรรมดาทั่วไปหรือ จัดงานหาราชบุตรให้องค์หญิงอ้วนนั่นชัด ๆ” หานหลินไม่ชอบองค์หญิงใหญ่ สาเหตุก็เพราะพระนางมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่ามาตรฐานสตรีแคว้นเฉินหลายเท่าตัว
“ไม่เอาน่า เจ้าไม่ซวยต้องเป็นราชบุตรเขยแน่นอน” ที่จวิ้นอ๋องต้องอภิเษกสมรสกับบุตรีศัตรูก็เพราะสาเหตุนี้ เพื่อหนีจากการเป็นราชบุตรเขย
“เจ้าก็พูดได้นี่นา เจ้าอภิเษกสมรสหนีเอาตัวรอดไปแล้ว ในบรรดาองค์ชายสายรองจะมีสักกี่คนที่ยังไม่อภิเษกสมรส หนึ่งในนั้นก็มีข้า” หานหลินพูดไปก็ยกกาสุราขึ้นมาดื่มย้อมใจ ขันทีเพิ่งจะอุ่นสุรามาแท้ ๆ แต่องค์ชายเจ็ดกลับเล่นร่ำสุราคนเดียว
หานเถิงซีหมดคำจะพูดเพราะมันคือเรื่องจริงทั้งหมด งานเลี้ยงคืนนี้มีกลิ่นไม่ค่อยดีนัก สามปีก่อนเขาก็แก้ปัญหาด้วยการอภิเษกสมรสกับถางเมิ่งหรูเพื่อไม่ให้ถูกองค์หญิงใหญ่เลือกเป็นราชบุตรเขย ยังดีที่สตรีโฉมสะคราญผู้นั้นยินยอมตกเป็นเครื่องมือ เพื่อแลกกับการปล่อยตระกูลถางสายรองที่เหลือให้มีชีวิตรอด ยกเว้นบิดาและพี่ชายนางที่ทำความผิดละเว้นโทษประหารไม่ได้
“เงียบน่า อย่าคร่ำครวญ” หานเถิงซีโบกมือไล่แล้วมองหานหลินด้วยสายตารำคาญ เขาเคยแนะนำไปแล้วว่าให้รีบแต่งงานกับคุณหนูในตระกูลขุนนางสักตระกูลเพื่อยุติเรื่องนี้ แต่หานหลินไม่ยอมทำเองเพราะมัวแต่มองคนที่รูปร่างหน้าตา พูดง่าย ๆ ถ้าไม่งามล่มเมืองจะไม่อภิเษกสมรสด้วย
“ข้าจะพักผ่อนแล้ว เจ้าก็ร่ำสุราเงียบ ๆ เข้าใจหรือไม่” วันนี้จวิ้นอ๋องไม่มีอารมณ์มาเดินหมากอะไรทั้งนั้น และยังร่ำสุราเป็นเพื่อนไม่ได้อีกด้วยเพราะมีแผลที่ริมฝีปาก ถึงมันจะไม่ได้เจ็บถึงขั้นเสวยอะไรไม่ได้แต่รู้สึกหงุดหงิดใจ ดังนั้นองค์ชายเจ็ดจึงเกิดความเบื่อหน่ายเต็มทนมองไปทางใดก็มีแค่ขันทีกับนางกำนัล จวิ้นอ๋องก็หายหน้าไปเลย ต่อมาจึงเสด็จกลับตำหนักองค์ชายในช่วงบ่าย
กระทั่งใกล้เวลาเข้าวังหลวง ซ่งเอ๋อที่ได้รับแจ้งจากหัวหน้านางกำนัลว่าวันนี้พระชายาต้องเสด็จเข้าวังพร้อมกับจวิ้นอ๋อง จึงรีบมาปลุกเจ้านายถึงเตียงนอน เพราะหลังจากพระชายาเล่นผีผาเสร็จ ก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องบรรทมไม่เสด็จออกไปที่ใดอีกในตลอดช่วงบ่าย
“พระชายาลุกมาแต่งตัวได้แล้วเพคะ” เสียงของนางกำนัลดังเข้ามาในห้องบรรทม ในขณะที่โฉมสะคราญเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา นางใช้เวลานอนกลางวันไปมากเลยทีเดียว
“ข้าบอกท่านอ๋องแล้วว่าไม่ไปร่วมงานด้วย” ถางเมิ่งหรูตอบเสียงห้วน จากนั้นก็พลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าไปทางอื่น
ซ่งเอ๋อยืนเกาศีรษะด้วยความงุนงงเพราะทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง ตามปกติแล้วไม่ว่าท่านอ๋องจะมีรับสั่งเช่นไร พระชายาก็ไม่เคยปฏิเสธหรือต่อต้านสักครั้งเดียว
“แต่หลิ่วหมัวมัวบอกว่าถ้าหากพระชายาเสด็จไปหน้าจวนช้า ทำให้ท่านอ๋องต้องรอจะถูกลงโทษโบยนะเพคะ” นางกำนัลข้างกายเอ่ยเสียเบา
ถางเมิ่งหรูนอนตะแคงข้างหลับตาอยู่ ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วพันกันแน่น รู้สึกขัดใจ “ข้าลุกก็ได้!” แน่นอนว่าภายในไม่เกินครึ่งชั่วยามสตรีโฉมสะคราญก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแม้ว่าจะไม่ได้เต็มใจเท่าไรก็ตาม
เมื่อชาติก่อนนางก็ไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย เหตุใดชาตินี้จวิ้นอ๋องถึงได้อยากให้นางไปร่วมงานเลี้ยงคัดเลือกราชบุตรเขยขององค์หญิงใหญ่นัก ถางเมิ่งหรูยืนรอหานเถิงซีด้วยสีหน้าครุ่นคิด สักพักหนึ่งร่างสูงในชุดสีเข้มก็เดินออกมาจากตำหนักใหญ่
“มัวเหม่ออะไรอยู่ รีบขึ้นรถม้าได้แล้ว” หานเถิงซีมองถางเมิ่งหรูตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าคล้ายไม่สบอารมณ์นัก แล้วก็เดินผ่านหน้าไปทันที ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแบบนี้มานาน ทว่ามักเป็นนางที่ยอมอยู่เสมอ เพียงแต่ชาตินี้คนที่ได้มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ไม่ได้อยากปล่อยมันผ่านไปอีกแล้ว