ธราเทพเดินออกมายืนอยู่ที่หน้าห้อง พร้อมกับเช็ดริมฝีปากตัวเองที่เลอะไปด้วยสีแดง
“เอ่อ... อ้า... คะ... คุณธาม” อังศุมายืนเสนอหน้าอยู่ที่หน้าห้อง มองใบหน้าของธราเทพแล้วก็เก้อ รู้เลยว่าต้องเกิดอะไรในห้องนั้น
“ล็อกเอาไว้นะครับ อย่าให้คุณป่านออกมา” เขาสั่ง
“ค่ะ ค่ะ ค่ะ” อังศุมาละล่ำละลัก รีบเอากุญแจที่เตรียมมา ล็อกห้องของหญิงสาวตามที่ธราเทพสั่ง
“ผมจะตามไปดูคุณอาที่โรงพยาบาล แล้วเรื่องที่คุณอาป่วย ห้ามให้คุณป่านรู้โดยเด็ดขาด”
“ค่ะ” อังศุมารับปากอย่างหนักแน่น มองตามแผ่นหลังของธราเทพที่กำลังเดินลงไปทางบันได
อังศุมาแนบหูฟังที่บานประตู ได้ยินเสียงสิ่งของที่หล่นลงไปกระทบกับพื้นแข็ง ๆ แตกกระจาย
“โธ่เอ๊ย... เรื่องมันจะวุ่นวายไปกว่านี้อีกไหม ทำไมไม่บอกคุณป่านไปเลยว่า คุณเฟื่องแย่แล้ว เฮ้อ...” อังศุมายังรู้สึกหนักในหัวใจกับทุกเรื่องที่กำลังดูเหมือนจะแย่ลงไปกว่าเดิม
ณ โรงพยาบาล
“มีอะไรกันอีกครับ”
คุณหมอมนัสทำหน้าเครียด ๆ
“เฟื่องอยากจะกลับบ้านค่ะ เฟื่องไม่อยากจะนอนโรงพยาบาล”
ทั้งคุณหมอมนัสและธราเทพต่างมองหน้ากัน
คุณผุดผ่องยังจับมือของเฟื่องรัตน์แน่น
“คุณเฟื่องคะ รักษาตัวก่อนนะคะ คุณหมอเพิ่งให้ยาทางสายน้ำเกลือไปเอง นอนพักเถอะค่ะ ยังไงถ้าคุณเฟื่องดีขึ้น พรุ่งนี้เราค่อยกลับบ้านกัน” ผุดผ่องปลอบโยนเหมือนเฟื่องรัตน์เป็นเด็ก ๆ
“แต่เฟื่องเป็นห่วงยายป่าน เฟื่องไม่อยากให้ยายป่านรู้เรื่องที่เฟื่องป่วย”
“โธ่เอ๊ย... คุณเฟื่องคะ เรื่องแบบนี้จะปิดกันได้อีกนานแค่ไหนคะ อีกหน่อยทุกคนก็ต้องรู้ รวมถึงคุณป่านด้วย”
“แต่มันก็คงไม่ใช่ตอนนี้ เฟื่องเป็นห่วงความรู้สึกของยายป่าน ยายป่านแกต้องเสียใจมาก”
คุณหมอมนัสพยักหน้าให้พยาบาลฉีดยาอีกเข็ม
ธราเทพเดินเข้าไปใกล้ แตะมือลงไปบนหลังมือของเฟื่องรัตน์
“นอนหลับพักผ่อนก่อนนะครับคุณอา อย่าคิดมาก ผมยังอยู่ทั้งคน”
ทุกคนต่างสงสารเธอแต่คงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้
ธราเทพนั่งอยู่กับนายแพทย์มนัสเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทของเขาที่เชี่ยวชาญในเรื่องประสาทวิทยา
“ผมหนักใจที่คุณเฟื่องไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาต่างหากครับ”
ธราเทพถึงกับถอนหายใจ
“ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการรักษาและผ่าตัดก้อนเนื้อในสมอง ซึ่งดีขึ้นกว่าในอดีตมาก ผลแทรกซ้อนก็น้อย มีความแม่นยำในการผ่าตัดสูงขึ้น อีกอย่างความก้าวหน้าทางยาเคมีบำบัด ฉายแสงก็มีให้เลือก ทีนี้เราจะปกปิดทางญาติของคุณเฟื่องรัตน์ตามคำขอไม่ได้อีกแล้วนะครับ เพราะพวกเราทุกคนต้องมาช่วยกันตัดสินใจและเลือกวิธีการรักษาคุณเฟื่องรัตน์ร่วมกัน”
หมอมนัสแสดงความกังวล
“ขอเวลาผมคุยแบบจริงจังกับคุณเฟื่องอีกทีนะครับ”
“ก็ได้ครับ แต่เร็วนิดหนึ่งนะครับ เพราะอาการที่เป็นอยู่ของคุณเฟื่องจะทำให้เธอทรมานมาก ๆ”
“ผมรู้ครับ”
“ตอนนี้ทำได้แต่ให้ยาระงับอาการปวดแบบนี้ต่อไป แต่อีกหน่อยยาที่ให้มันก็จะให้ผลน้อยลง เพราะก้อนเนื้อที่กดทับเนื้อสมองที่ใหญ่ขึ้น จากที่ผมดูแล้วมันโตรวดเร็วด้วยนะครับ” หมอมนัสชี้ให้เขาดูภาพที่แสดงอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“ครับ”
สองหนุ่มมองหน้ากัน ชีวิตของคนหนึ่งคน ใครจะตัดสินใจแทนได้ ถ้าเจ้าตัวแสดงเจตนารมณ์ออกมาแบบนั้น
ธราเทพหนักใจในเรื่องของเฟื่องรัตน์แล้ว ยังต้องมานั่งหนักใจในเรื่องของคู่หมั้นสาวอีกด้วย เขานึกไปถึงใบหน้าน้อย ๆ ที่แผลงฤทธิ์จนเขานึกขยาด
‘นี่แค่เริ่มต้นนะ ต่อไปจะเป็นยังไงอีก หากเรื่องต่าง ๆ ที่ปกปิดปอป่านเอาไว้ตอนนี้ เธอรู้เรื่องขึ้นมา เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ’
วันต่อมา
“นี่มันอะไรกัน” ชัยนันท์กำหนังสือเวียนที่ส่งไปตามแผนกต่าง ๆ เอาไว้แน่น เขาจ้องหน้าไววิทย์เลขาฯ ส่วนตัวของเฟื่องรัตน์ที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าชัยนันท์
“ก็แปลตามตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นนั้นนั่นแหละครับ แต่ถ้าคุณชัยนันท์ไม่เข้าใจ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังแบบละเอียดอีกครั้งนะครับ”
ไววิทย์หยิบแฟ้มขึ้นมาอ่าน
“เรียน....”
“ไม่ต้อง” ชัยนันท์ตะโกนกร้าว สีหน้าแสดงออกมาว่าไม่พอใจอย่างชัดเจน
“โอเคครับ” ไววิทย์ยักไหล่
“คุณพ่อคะ”
“คุณพ่อ”
“คุณพ่อ”
ทั้งพนิตา ชรินทร์ และชนนท์ เปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อม ๆ กัน
ไววิทย์หันไปยิ้มให้กับทุกคน
“มากันพร้อมหน้าพร้อมตากันเลยนะครับ ดีแล้ว ผมจะได้อธิบายทีเดียว”
สีหน้าและแววตาของครอบครัวชัยนันท์ดูไม่สู้ดี
ชัยนันท์กัดกรามเอาไว้แน่น กระดาษในมือยับย่นด้วยแรงมือและความโกรธแค้น
“ก็เหมือนกับที่ทุกคนได้อ่าน ต่อจากวันนี้ไป คุณธราเทพ บวรฤทธิ์ จะเข้ามาดูแลและทำหน้าที่แทนเสมือนเป็นคุณเฟื่องรัตน์เอง และคำสั่งแรกที่ออกมาคือ การตรวจสอบเอกสารและบัญชีการจัดซื้อจัดจ้างในแผนกของคุณชัยนันท์”
“มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” พนิตาก็รู้สึกโมโหแทนคุณพ่อของเธอขึ้นมา
“แบบนี้อาเฟื่องก็เหมือนกับไม่ไว้ใจคุณพ่อน่ะสิ”
“ใช่ เห็นขี้ดีกว่าไส้ ยังไงคุณพ่อก็เป็นพี่ชายของอาเฟื่องแท้ ๆ” ชนนท์เกรี้ยวกราด
“ผมไม่ทราบความคิดอะไรของคุณเฟื่องทั้งนั้น เป็นการตัดสินใจของคุณเฟื่อง และทุกคนในบริษัทฟูเฟื่องคอร์เปอเรชันก็ต้องทำตามที่เธอต้องการ ถ้าใครไม่ยินดีหรือฝ่าฝืนคำสั่ง ก็มีหนังสือลาออกที่แผนกบุคคล ไปขอกันได้นะครับ”
“ไอ้ไววิทย์” ชนนท์ชี้หน้าไววิทย์เหมือนจะกระโจนเข้าใส่
ชรินทร์ดึงร่างของน้องชายเอาไว้
พนิตาเดินเข้าไปคล้องแขนและจับมือของคุณพ่อของเธอเอาไว้แน่น
“ผมก็แค่ทำหน้าที่ของผม อ้อ... อีกเรื่อง พวกคุณไม่กลับไปทำงานที่แผนกของตัวเองหรือครับ นี่มันเวลางาน” ไววิทย์หมายถึงพนิตา และชนนท์
“ไอ้...”
“ขอตัวนะครับ” ไววิทย์รีบเดินออกไปจากห้องของชัยนันท์