ไทโย Talk
เวลา 08.00 น. @แผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลเอกชน
"สวัสดีครับนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายหรือเอ็กเทิร์นทุกคน ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วสำหรับการเรียนแพทย์ของทุกคน ปีนี้ทุกคนจะได้ทำงานจริงเหมือนแพทย์ตามโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคนไข้ ทำการรักษาและวินิจฉัยโรคให้กับคนไข้ เย็บแผลเอง ทำคลอดเองสำหรับคนที่เข้าวอร์ดแผนกฉุกเฉินแล้วเจอเคสคนไข้มาคลอดลูก แล้วมีการผ่าตัดขนาดเล็กซึ่งจะมีอาจารย์หมอเป็นผู้ควบคุมดูแลอยู่ห่างๆ เรียกได้ว่าปีนี้อาจจะโหดกว่าสองปีที่ผ่านมาที่พวกคุณทุกคนได้ทำการขึ้นวอร์ดกัน เพราะเมื่อพวกคุณทุกคนขึ้นวอร์ดแล้ว พวกคุณต้องทำทุกอย่างเหมือนแพทย์ที่จบไปแล้ว ดังนั้นผมหวังว่าพวกคุณทุกคนจะนำประสบการณ์ที่ผ่านมาจากความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นนำมาปรับปรุงและทำหน้าที่หมอให้ดีขึ้น อย่าลืมว่าคนไข้ฝากชีวิตไว้กับพวกคุณ ถ้าพวกคุณวินิจฉัยพลาดหรือหละหลวมต่อการทำงานความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมามันก็คือ ชีวิตคนไข้" ผมยืนฟังอาจารย์หมออธิบายการทำงานสำหรับชีวิตการเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายของผม
นี่ก็เข้าปีที่หกแล้วกับการมาใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศไทยและการใช้ชีวิตสามีภรรยากับโซ่ทอง พอนึกถึงภรรยาตัวน้อยแล้วทำให้อยากรีบกลับไปนอนกอดเธอแล้วสิ เมื่อห้าปีก่อนที่ผมยอมตกลงแต่งงานตามคำสั่งของพ่อ ผมยังแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยว่าทำไมผมถึงไม่ปฏิเสธแต่กลับยอมทำตามอย่างว่าง่าย ทั้งที่ผมไม่ได้คิดกับโซ่ไปมากกว่าน้องน้อยที่ผมดูแลเธอมาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันก็ยังเป็นอยู่ เธอยังคงเป็นน้องน้อยในสายตาของผม แต่อาจจะมีบ้างที่ผมรู้สึกมากกว่านั้นเมื่อร่างกายของเราสัมผัสกัน ร่างกายของผมเหมือนขาดร่างบางนั้นไม่ได้ หากคืนไหนไม่ได้สัมผัสเล่นเอาผมนอนไม่หลับเลยทีเดียว เธอเหมือนยาเสพติดที่ยิ่งเสพยิ่งหลุดออกมาไม่ได้ ผมก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนี้เท่าไหร่นัก อาจจะเป็นเพราะความผูกพันที่เราสองคนมีด้วยกันมานานทำให้ผมไม่คุ้นชินถ้าหากวันหนึ่งไม่มีเธออยู่ข้างๆหรืออาจจะเพราะผมยังไม่ได้รักใคร หัวใจของผมเลยผูกไว้ที่ภรรยาตัวน้อยคนเดียว
เวลา 12.30 น. @ศูนย์อาหารโรงพยาบาลเอกชน
"เฮ้ย..ไอ้ลินทร์ ตกลงมึงจะไปฝึกงานที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดไหมวะ" ไอ้เพิร์ธ หรือ พลากร เพื่อนสนิทของผมเอ่ยถามขึ้นมาขณะที่พวกเราเจอกันที่ศูนย์อาหารของโรงพยาบาลหลังจากที่แยกย้ายไปตรวจคนไข้ตามแผนกต่างๆแล้วในช่วงเช้า
ชีวิตของผมในประเทศไทยนั้น ผมพยายามทำตัวเป็นนักศึกษาแพทย์ธรรมดา ชีวิตของผมที่นี่ ผมคือกลินทร์ ภักดีวัชระ ไม่ใช่ ไทโย ยูกิโอะ เพื่อนสนิทของผมจึงเรียนผมสั้นๆว่า ลินทร์ ผมมีเพื่อนสนิทสามคนและทุกคนก็เป็นหมอเช่นเดียวกับผม ทุกคนรู้ประวัติของผมเท่าที่ผมให้รู้ แน่นอนว่าพวกมันรู้เรื่องของโซ่ เรื่องนี้ผมไม่อยากจะปิดพวกมัน เพราะไม่อยากให้น้องน้อยเสียใจว่าผมไม่ให้ความสำคัญกับเธอ แต่เรื่องที่ผมเป็นทายาทของหัวหน้าแก๊งมาเฟียนั้น แน่นอนว่าพวกมันไม่รู้
"ไอ้เพิร์ธ มึงก็ถามอะไรโง่ๆ ไอ้ลินทร์มันคงยอมห่างภรรยาตัวน้อยของมันหรอก ดูดิ๊มีข้าวกล่องรูปหัวใจให้พวกเราอิจฉาไปอีก ต้องทำบุญเบอร์ไหนวะเนี๊ยถึงจะมีเมียแบบ น้องโซ่ ได้" ไอ้เหนือ หรือ เหนือนที เอ่ยแซวผมขณะที่ผมเปิดข้าวกล่องที่ภรรยาตัวน้อยเตรียมไว้ให้ โดยที่ผมไม่ได้สนใจผมพูดกระทบกระเทียบนั้นของมัน เพราะมันแซวผมแบบนี้ตั้งแต่ผมอยู่ปีหนึ่งจนถึงตอนนี้มันก็ยังแซวผมแบบนี้อยู่
"หึ อย่างพวกมึงคงต้องรอชาติหน้าแล้วหละหวะ เพราะบาปเยอะอย่างพวกมึงคงหาเมียยาก" ไอ้ไม้ หรือ เมธาพันธ์ หันไปต่อว่าพวกมันสองตัวทำให้ผมหันไปมองแล้วอดที่จะขำกับท่าทีของพวกมันสองคนไม่ได้ที่ถูกไอ้ไม้แดกดันเอา
"พวกมึงรีบกินกันเถอะ เดี๋ยวบ่ายก็ขึ้นวอร์ดต่อ" ผมบอกเพื่อนเพื่อยุติสงครามน้ำลายก่อนที่จะบานปลายไปมากกว่านี้
"ตอนบ่ายเห็นว่าให้จับคู่บัดดี้กันนะ โดยให้คละจับคู่กับนักศึกษาแพทย์จากมหาลัยอื่นที่จะเข้ามารายงานตัวบ่ายนี้ด้วยนะ" ไอ้ไม้บอกกับพวกผมที่นั่งกินข้าวไปและดูเล็คเชอร์ที่จดมาตอนที่ตรวจคนไข้เมื่อตอนช่วงเช้ากันอย่างตั้งใจ
"จริงเหรอ ขอให้เจอหมอสวยๆ" ไอ้เพิร์ธเอ่ยขึ้นพร้อมสีหน้าที่มีความหวัง ทำเอาพวกผมขำกับอาการของมันไม่ได้ เพราะพวกเพื่อนๆที่เป็นผู้หญิงในคลาสของเราจะว่าสวยก็ไม่เชิง อาจจะเป็นเพราะการเรียนอย่างหนักหน่วงเลยทำให้แต่ละคนดูแลตัวเองน้อยลง จึงเจอแต่สาวๆที่ดูออกไปทางป้าเพิ้ง สาวแว่นที่ไม่แต่งหน้า อะไรทำนองนี้
"งั้นก็รีบกินจะได้ไปดูหมอสาวๆที่มหาลัยอื่นบ้างว่าจะสวยกว่าน้องโซ่เมียของไอ้ลินทร์หรือเปล่า"
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเมียกู" ผมหันไปถามไอ้เหนือที่พาดพิงถึงภรรยาตัวน้อยของผม
"อ้าว ก็ถ้าเปรียบกับสาวๆในคลาสเราไม่มีใครที่อยู่ในข่ายสวยเลย กูเลยยกตัวอย่างใกล้ตัวที่ทุกคนนึกภาพออก ก็มีแต่ภรรยาตัวน้อยของมึงที่พวกกูรู้จักและเห็นว่าสวยที่สุดเท่าที่รู้จักมนุษย์ผู้หญิงมา"
"เหรอ กูนึกว่ามึงแอบชอบเมียไอ้ลินทร์ซะอีก"
"ไอ้เพิร์ธ! กูไม่ตีท้ายครัวเพื่อนโว้ย"
เวลา 13.30 น. @แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลเอกชน
"สวัสดีครับนักศึกษาแพทย์ปีหกหรือเอ็กเทิร์นทุกคนนะครับ วันนี้อาจารย์จะให้ทุกคนจับคู่บัดดี้ ซึ่งคู่บัดดี้จะต้องทำงานร่วมกันตลอดหนึ่งปีที่ฝึกงานที่นี่ สาเหตุที่อาจารย์ให้จับคู่บัดดี้เพราะว่าอยากให้ทุกคนตระหนักถึงการทำงานเป็นทีม หมอไม่สามารถรักษาคนไข้ให้หายได้เพียงคนเดียว ยังต้องมีพยาบาล ผู้ช่วยแพทย์ที่ช่วยหมอคัดกรองอาการคนไข้เบื้องต้น เภสัชที่ช่วยวินิจฉัยประเภทยาให้หมอว่าควรให้คนไข้ในแต่ละรายได้หรือไม่ ฉะนั้นพวกคุณจะต้องรู้จักการทำงานเป็นกลุ่มกันเป็นก่อนที่จะร่วมงานกับสหวิชาชีพอื่นๆต่อไป คู่บัดดี้ที่จับคู่กันผมหวังว่าจะใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ปรึกษากัน ช่วยกันในทุกเคสที่เข้ามาให้พวกคุณรักษา"
"ขอบคุณท่านผู้อำนวยการที่ออกมากล่าวให้พวกเราฟัง ต่อไปจะเป็นการจับคู่บัดดี้นะคะ ปีนี้เรามีความยินดีที่ได้หมอจากสองมหาวิทยาลัยชื่อดังมาฝึกงานที่โรงพยาบาลของเรา ทางเราจึงอยากให้จับคู่กันต่างสถาบัน เพื่อที่จะได้เรียนรู้กันและปรับตัวเข้ากับผู้อื่นไปด้วย เพราะเมื่อเราก้าวออกไปเป็นหมอเต็มตัว เราไม่ได้เจอแค่เพื่อนหมอจากสถาบันเดียวกัน เราจะต้องเจอต่างสถาบัน ทั้งรุ่นเดียวกันและรุ่นพี่ ดังนั้น อาจารย์จึงให้จับคู่กับเพื่อนต่างสถาบันกันนะคะ ชื่อที่อาจารย์เรียกต่อไปนี้ให้เดินออกมาข้างหน้านะคะ"
"เหนือนที อนุวัฒน์"
"ปรเมท อนุชิต"
"เมธาพันธ์ กมลชนก"
"พลากร นิรันดร์"
↓
↓
"กลินทร์ ทานตะวัน" ผมเดินออกมาเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง แล้วเสียงโห่แซวเบาๆก็ดังขึ้นมาจากทางฝั่งนักศึกษาอีกสถาบัน จนคู่บัดดี้ของผมที่อาจารย์เรียกชื่อเดินออกมาผมจึงเข้าใจแล้วว่าทำให้พวกเขาถึงโห่กัน
"ต่อไปขอให้ทุกคู่ทำงานร่วมกันอย่างเข้าใจกัน หากมีปัญหาอะไรที่พวกคุณไม่เข้าใจกันทั้งคู่ อย่าลืมว่าพวกคุณยังมีอาจารย์ให้ปรึกษาอยู่นะคะ อย่าลองผิดลองถูกโดยไม่ปรึกษาอาจารย์ เพราะชีวิตคนไข้ไม่ใช่ของเล่น เสียไปแล้วไม่สามารถกลับมาได้ เข้าใจนะคะทุกคน ต่อไปแยกย้ายตามแผนกได้แล้วค่ะ"
"คุณค่ะ เอ่อ สวัสดีค่ะ" คู่บัดดี้ของผมเอ่ยขึ้นมาก่อนขณะที่เรากำลังเดินไปยังแผนกที่ต้องตรวจคนไข้โดยผมเป็นฝ่ายเดินนำเธอไป
"ครับ" ผมหันหลังมาตอบเธอ ตอนนี้ทางเชื่อมระหว่างตึกที่เราสองคนยืนอยู่มีเพียงผมและเธอยืนอยู่กันเพียงสองคนเท่านั้น
"ไหนๆก็เป็นบัดดี้กันแล้ว จะให้ฉันเรียกคุณว่า กลินทร์ หรือว่าคุณมีชื่อที่เรียกง่ายกว่านี้ไหม ส่วนคุณเรียกฉันว่า เรย์ ได้นะคะ"
"เพื่อนๆเรียกผมว่า ลินทร์ คุณเรียกผมแบบนั้นก็ได้ครับ"
"โอเค ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะคะหมอลินทร์" เธอยื่นมือมาตรงหน้าผมทำให้ผมมองอยู่สักพักก่อนจะยื่นมือไปจับตอบ แล้วเธอก็ยิ้มมาให้ผมอย่างเป็นมิตร
ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร ทำไมผมถึงใจสั่นกับคนตรงหน้าทั้งที่ผมเพิ่งเจอเธอครั้งแรก ยิ่งรอยยิ้มนั้นมันยิ่งทำให้ผมหวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็น ผมปล่อยมือจากเธอแล้วหันหลังเดินต่อไปโดยมีเธอเดินตามหลังผมมาติดๆ
เวลาต่อมา @แผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลเอกชน
"สวัสดีครับ / สวัสดีค่ะ"
"เอ็กเทิร์นใช่ไหม"
"ครับ / ค่ะ"
"นั่นคือคนไข้ของพวกคุณ คนไข้รายนี้ชื่อ คุณพิเชษฐ์ อายุ 67 ปี.." ผมอ่านชาร์ตผู้ป่วยและฟังที่อาจารย์พูดขึ้นเป็นลำดับๆ จากนั้นอาจารย์ก็ปล่อยให้ผมและบัดดี้ของผมเดินเข้าไปคุยกับคนไข้รายแรกของการขึ้นวอร์ดวันแรกของผมที่ผมต้องทำการผ่าตัด
จากชาร์ตประวัติของผู้ป่วยที่ชื่อคุณพิเชษฐ์นั้น เขาโดนตัดขาบริเวณที่ต่ำกว่าเข่าทั้งสองข้างในระยะเวลาที่ห่างกันเพียง 4 เดือนเมื่อสองปีที่แล้ว ด้วยสาเหตุของโรคเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงขาอุดตัน และเมื่อปีที่แล้วคุณพิเชษฐ์ก็เริ่มปวดบริเวณต้นขาอีก คราวนี้เขาถูกตัดขาตั้งแต่บริเวณขาหนีบลงไปด้วยสาเหตุของโรคเดิม และคราวนี้เขาต้องทำการผ่าตัดอีกครั้งเมื่ออาการเดิมกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งทำให้ผมและเรย์ถึงกับคิดหนักที่ต้องบอกเขาว่าเขาจะโดนตัดขาอีกครั้ง
"เดี๋ยวเรย์คุยกับคนไข้เอง ส่วนหมอลินทร์ก็ตรวจดูอาการและจดรายละเอียดคนไข้นะ หลังจากตรวจเสร็จเราค่อยปรึกษากับอาจารย์อีกทีว่าจะทำยังไงกับเคสนี้ เอาแบบนี้ดีไหม"
"ตามนั้นก็ได้ครับ" ผมตอบกลับอีกฝ่ายก่อนจะเดินเข้ายังห้องคนไข้ที่พวกเราสองคนต้องตรวจ
คุณพิเชษฐ์ที่เราสองคนเข้าไปเจอในห้องคนไข้นั้น ไม่ได้ต่างจากที่คิดไว้เท่าไรนัก เขาเป็นชายแก่ที่มีลักษณะผอม หน้าตาอิดโรย ภายในห้องคนไข้ไม่มีญาติอยู่เฝ้าเลยสักคนเดียว ผมสันนิษฐานว่าคงอาจจะออกไปทานข้าวหรือไปทำธุระจึงปล่อยให้คนไข้อยู่เพียงลำพัง จากที่ตกลงกันก่อนจะเข้ามาในห้องคนไข้ เรย์ก็ทำหน้าที่ที่แบ่งกับผมไปอย่างดีจนเรียกว่าดีที่เดียวเลยหละ เธอคุยกับคนไข้อย่างกับลูกหลานของคนไข้เลยก็ว่าได้ ความเป็นกันเองของเรย์ทำให้น้ำตาของคนไข้รายนี้ไหลลงมาอย่างดีใจ คุณพิเชษฐ์หรือลุงพิเชษฐ์จามที่เรย์เรียกนั้นบอกว่าไม่เคยมีหมอคนไหนคุยกับเขาเป็นกันเองแบบนี้มาก่อน ส่วนใหญ่จะเจอหมอดุใส่และไม่ใส่ใจถามอาการมากขนาดนี้ ส่วนผมนั้นก็ทำการตัดชีพจร และวัดความดันคนไข้โดยสายตาของผมก็มองอากัปกิริยาที่เรย์ทำกับคนไข้รายนี้อย่างลืมตัว ผมไม่รู้ว่าผมมองเธอนานแค่ไหน แต่เธอทำให้ผมมองเธออย่างไม่รู้สึกเบื่อเลย
"คุณลุงไม่ต้องกลัวนะคะ หมอจะทำเต็มที่ คุณลุงต้องหายค่ะ สู้ๆนะคะคุณลุง เรามาสู้ด้วยกัน" ผมยืนมองเรย์ที่ยังคุยกับคนไข้ก่อนที่เราจะเดินออกไปจากห้องอย่างให้กำลังใจอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจังแต่น้ำเสียงอ่อนโยน ถ้าผมเป็นคุณลุงคงไม่กลัวอะไรแล้วหละมีหมอสวยและใจดีให้กำลังใจขนาดนี้
"น่าสงสารคนไข้นะ" ผมกับเรย์เดินออกมาจากห้องคนไข้ได้สักพักเรย์ก็เอ่ยขึ้นมาทำให้ผมหันหน้ามามองเธอด้วยสายตาชื่นชมอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกชื่นชมใครมาก่อน เธอเป็นหมอที่เข้าถึงคนไข้และเข้าใจคนไข้จริงๆ
"สุดท้ายยังไงก็ต้องผ่าตัดอีก ขอให้ครั้งนี้เป็นการผ่าครั้งสุดท้ายของคุณลุงเถอะ"
"ดูคุณจะห่วงคนไข้มากเลยนะ"
"เห็นแล้วอดสงสารไม่ได้นี่นา คุณแม่บอกว่าอย่างเรย์เป็นหมอไม่ได้หรอก ขี้สงสารและหวั่นไหวไปกับคนไข้เกิน มันก็จริงนะเห็นแบบนี้ก็ทำให้ไม่กล้าที่จะผ่าให้เลย" ผมเดินฟังเธอพูดถึงอาการคนไข้ที่เราต้องทำการผ่าให้อีกไม่กี่วัน หลังจากที่เราปรึกษากับอาจารย์หมอแล้วทั้งสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตใจ
"เราต้องทำงานด้วยกันตั้งหนึ่งปี เรย์ว่าเราสองคนมาทำความรู้จักกันสักหน่อยดีไหม ทำงานด้วยกันจะได้ราบรื่น รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง"
"มีแบบนี้ด้วยเหรอ ตกลงเราทำงานด้วยกันหรือเรากำลังรบกันเหรอครับ" ผมถามอีกฝ่ายอย่างติดตลกกับพูดของเธอ
"ก็เราสองคนต้องไปรบกับพวกเชื้อโรคไงคะ ดังนั้นเราสองคนต้องสามัคคีกันและทำงานให้ไปในแนวทางเดียวกัน ซึ่งมันจะทำได้เราสองคนต้องรู้จักกันก่อนในระดับหนึ่ง หมอลินทร์ว่าไหม"
"ต้องรู้จักเหมือนคนเป็นแฟนกันไหมครับ" ผมเอ่ยถามอย่างแสร้งไม่เข้าใจในคำพูดของเธอ
"ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ เอาหละคำถามแรกสำหรับการเริ่มรู้จักกัน คุณเป็นคนที่ไหน คนกรุงเทพฯหรือเปล่า"
"คำถามนี้มันเกี่ยวกับการศึกษานิสัยกันด้วยเหรอครับ"
"ภูมิประเทศหรือภูมิศาสตร์ของการอยู่อาศัยมีส่วนให้ระดับจิตใจของคนไม่เท่ากันนะ"
"ผมว่าคุณเหมาะเป็นจิตแพทย์นะ ดูเข้าใจความคิดคนมากกว่าร่างกาย"
"ตกลงคุณจะตอบคำถามฉันไหม"
"โอเค ผมมาจากญี่ปุ่นครับ แล้วก็มาอยู่ที่ไทยได้ห้าปีกว่าแล้ว"
"จริงเหรอ หน้าตาคุณดูไม่เหมือนโนบิตะเลย" เธออุทานออกมาอย่างไม่เชื่อกับคำตอบของผมทำให้ผมอดที่จะขำกับอาการที่เธอแสดงออกมาไม่ได้
"คุณหละ" ผมถามกลับบ้างเมื่อรถเดินมาถึงร้านกาแฟใต้ตึกในช่วงเวลาพักของเราสองคนหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะเข้าไปตรวจคนไข้ต่อ
"เรย์เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด"
"เอากาแฟ โกโก้ หรือชาไหมครับ" ผมถามเธอเมื่อกำลังจะเดินไปสั่งเครื่องดื่ม
"ขอชาดีกว่า ขอบคุณนะคะ"
"แล้วพอเรียนจบคุณก็กลับญี่ปุ่นเลยหรือเปล่าคะ" หมอเรย์ถามผมขึ้นมาทันทีเมื่อผมหย่อนตัวเองลงนั่งเก้าอี้
"ยังไม่รู้ครับ อาจจะกลับหรืออาจจะอยู่ต่อ"
"แล้วคุณอยู่ที่ไทยคนเดียวเหรอคะ" คำถามของเธอทำให้ผมชั่งใจในการตอบสักหน่อยแล้วมองหน้าเธอที่มองผมตาแป๋วอย่างอยากรู้ มองเผินนิสัยก็คล้ายภรรยาตัวน้อยของผมนะ แต่ดูเธอจะมีความคิดที่โตกว่าภรรยาตัวน้อยของผม อีกทั้งดูจะเข้าใจคนอื่นมากกว่าด้วย ถ้าเป็นภรรยาตัวน้อยของผม เธอไม่ค่อยเข้าใจหรือสนใจใครนอกจากผมคนเดียว ทำให้ชีวิตเธอนอกจากผมก็ไม่มีใครที่สามารถเข้าถึงเธอได้เลย
"เปล่าครับ" ผมตอบกลับไปสั้นๆก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่ม
"แล้วคุณอยู่กับใคร พี่สาว น้องสาว หรือพ่อแม่"
"ไม่ใช่ทั้งหมด ผมอยู่กับภรรยา" คำตอบของผมทำเอาเธอดูช็อกสักเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติ
"คุณมีภรรยาแล้วเหรอ ยังเรียนไม่จบนี่นะ ทำผู้หญิงท้องเหรอถึงต้องแต่งงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ เอ่อ ขอโทษนะคะ ฉันช็อกเล็กน้อยเลยพูดอะไรไม่น่าฟังออกไป"
"เปล่าครับ ภรรยาผมยังไม่ได้ท้อง เราแต่งงานกันเพราะผู้ใหญ่อยากให้แต่ง" ผมตอบกลับไปด้วยสีหน้าและน้ำเสียงปกติเหมือนไม่ได้ทุกร้อนอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
"ดูท่าทางคุณไม่ค่อยดูจะทุกข์นะคะที่มีภรรยาโดยที่ผู้ใหญ่จัดให้ แสดงว่าคุณก็รักเธอมากเหมือนกัน"
"อืมม ประมาณนั้นครับ"
"เรย์ว่าเราศึกษากันพอแล้วหละ ไปตรวจคนไข้ต่อดีกว่า"
"ผมยังไม่รู้สึกว่าได้ศึกษากันเลย คุณมีแต่ถามผมฝ่ายเดียว ผมยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณเลย"
"เรายังเจอกันอีกนาน เดี๋ยวคุณก็ได้รู้จักฉันแน่นอน"
"อ้อ เรารู้จักกันระดับนึงแล้ว เรย์ขอไลน์หมอลินทร์ได้ไหม จะได้ไว้คุยกันเวลาเจอเคสต่างๆ" เธอยื่นมือถือมาหาผม ทำให้ผมนิ่งและคิดอยู่สักพักก่อนจะพิมพ์ไลน์ไอดีให้เธออย่างไม่คิดอะไร
"ทำไมไลน์หมอลินทร์ถึงเป็นรูปผู้หญิง" เธอถามผมพร้อมกับโชว์หน้าจอมือถือให้ผมดู
"ผมไม่ได้ตั้งเอง ส่วนใหญ่ภรรยาผมทำให้หมด แต่เธอไม่ได้มายุ่งวุ่นวายตรวจเช็คกับมือถือของผมหรอก"
"อ๋อ หมอลินทร์นี่ก็น่ารักดีนะ ตั้งรูปโปรไฟล์เป็นรูปภรรยา"
"แล้วภรรยาหมอลินทร์ชื่ออะไรเหรอ"
"โซ่ ชื่อภรรยาผม"