แต่ผิดถนัด คำพูดเธอกลับไม่ทำให้ชายหนุ่มคนนั้นถอยห่างไปเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเดินเข้ามาแล้วกระชากร่างเธอเข้าหาตัวสุดแรง
“ว้าย!” เธอร้องออกมาอย่างตกใจ แต่อีกฝ่ายหาได้ตกใจกลัว
“โกหก ฉันเห็นเธอยืนอยู่ตรงนี้นานแล้วและดูท่าทางเธอจะไม่ใช่คนแถวนี้” พูดจบก้มมองสำรวจร่างบางอีกครั้งอย่างจาบจ้วง “ไก่หลงหรือเปล่า...” เอ่ยกระซิบข้างหูขาว เมรีได้แต่เอี้ยวตัวหนี อีกทั้งรู้สึกขยะแขยง พร้อมจิกตามอง
“ไอ้บ้า!ไก่หลงอะไรของแก”
“ว้าว...ดุเสียด้วย อย่างนี้พี่ชอบ ไปไหมเดี๋ยวพี่ช่วยพาไปให้หายหลง” เอ่ยจบ กระชากร่างบางตามติดไป โดยไม่สนใจเสียงเอะอะโวยวาย
“ปล่อยฉันนะไอ้บ้า! รู้ไหมว่าแฟนฉันเป็นใคร” เธอตัดสินใจ ถามออกไป และใบหน้าของใครบางคนที่เธอนึกถึงก็ผุดขึ้นมา ผู้ชายนิ่งหน้าตายคนนั้น!
แต่อีกฝ่ายกลับมาสนใจฟัง ตั้งหน้าตั้งตาลากเธอไปยังจุดหมายที่ได้หวาดหวังไว้ ในรถ หรือที่ตรงไหนสักแห่งที่ปลอดผู้คน
“บอกให้ปล่อยไงเล่า” ให้ตายสิ คนแถวนี้ไปไหนกันหมด เธอสาดสายตาไปมา เห็นรถราวิ่งผ่านไปมา แต่ไม่มีใครสนใจข้างทางแม้แต่น้อย หรือคนพวกนั้นคิดว่าเรื่องของผัวเมีย! ไม่ได้การละ เมรีคิดหาแผนการแค่เวลาน้อยนิด สติๆจงมา…
“ฉันจะให้ผัวฉันจัดการกับแกคอยดู” อ้างถึง ‘ผัว’ ทั้งที่ไม่อาจรับเขาคนนั้น ที่มีสัมพันธ์อย่างไม่ได้ตั้งใจได้ด้วยเลย พร้อมกันนั้น เธอรั้งเท้าไม่ให้เดินตามแรงกระชากของชายร่างใหญ่หน้าดุน่ากลัว
คำพูดของคนที่คิดว่าเป็นไก่หลงทำให้คนตัวโตกว่าหลายเท่าตัวหยุดชะงัก “อย่ามาหลอก หากมีผัวจริงๆ มันก็โง่ ปล่อยให้เมียมาเดินอยู่ในที่แปลกถิ่นคนเดียว” ใบหน้าเหี้ยมเอ่ยตามความเชื่อของตัวเอง “โกหกไม่เก่ง” มันสรุป
“ใครบอกว่าฉันโกหก” เธอยืนยันเสียงแข็ง
“แล้วใครละ!” ตะคอกเสียงข่ม ถามกลับเริ่มไม่แน่ใจ
“เอ่อ...” เมรีย่นคอและห่อไหล่ขึ้นอย่างเกรงกลัว แล้วผู้ชายที่หล่อนเอ่ยบอกจะมีใครแถวนี้รู้จักบ้างละ...
“ไม่มีคำตอบ งั้นก็แปลว่าโกหก” ชายหน้าเหี้ยมสรุปอีกครั้งเมื่อสาวสวยตรงหน้ามีท่าทีอ้ำอึ้ง หากแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อ...
“กูเอง!” เสียงทุ้มตะโกนบอกมาแต่ไกล คำเรียกขานบ่งบอกถึงความเป็นนักเลงพอตัว ทั้งที่ไม่ใช่วิสัยของเขา
น้ำเสียงที่คุ้นเคยผ่านหูเข้ามา ทำให้ร่างบางหันมองตามเสียงนั้นทันทีพร้อมๆกับชายอีกคน
ใบหน้าหวานยิ้มพราวอย่างลืมตัว “รุจ...” สาวสวยเอ่ยชื่อชายหนุ่มออกมาอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงนั้นเหมือนน้ำทิพย์ที่กำลังเข้ามาชโลมหัวใจให้ฉ่ำชื่นขึ้นหลายเท่าตัว แม้ใจจะแป้วไปเล็กน้อย เมื่อชายหนุ่มที่ทำใบหน้าเหี้ยมเกรียม ไม่ได้สนใจหันมามองเธอแม้แต่หางตา แต่กลับจ้องชายหนุ่มที่กำลังดึงรั้งแขนเรียวไว้ด้วยแววตาน่ากลัว
“อ้าวแฟนคุณหรอกหรือ...” คนตัวโตกว่าปล่อยแขนเรียวทันควัน พร้อมกับพูดเสียงอ่อน อีกทั้งมือหนากุมเข้าหากัน ถอยหลังสองก้าว ใบหน้าฝ่อและซีดเผือดลงทันตาเห็น
“เออ...เมียกูไม่ใช่แฟน มีปัญหามากใช่ไหม” วิรุจเค้นเสียงเหี้ยมสีหน้าจริงจัง เดินตรงดิ่งเข้ามา ไม่ใช่แค่ข่มขู่ แต่เขาพูดเรื่องจริง สาวสวยที่ได้ยินถึงกับก้มหน้าเพื่อปกปิดสายตาตัวเอง อายแค่ไหนที่มีผู้ชายยืนประกาศปาวๆ ว่าหล่อนเป็นเมียเขาไม่ใช่แค่แฟน
“ไม่มีจ้า…ผมแค่คิดว่าเธอหลงทาง หากเป็นเมียคุณ ก็เอาไปเถอะ ผมไปก่อนล่ะนะ” เอ่ยจบก็วิ่งหนีหายไปจากตรงนั้นทันที
เมื่อไม่มีคนอื่นอยู่ขวาง วิรุจก็เอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ห่วง หวง หรือหึง ไม่แน่ใจ “เป็นไง อยากมีผัวอีกคนหรือไง!” น้ำเสียงตวาดทำให้เธอใจแป้ว แต่ด้วยความถือดีเธอจึงโต้กลับ
“อย่ามาตวาดใส่หน้าฉันนะ” ริมฝีปากกัดเม้มเข้าหากันจนสนิทแน่น โกรธคนตรงหน้าก็โกรธ โกรธตัวเองก็โกรธ ทุกอย่างมันผิดตั้งแต่หล่อนรบเร้าให้คนที่เธอคิดว่าช่วยเธอได้ พามาที่นี่แล้ว
“ผม...เอ่อ ขอโทษ”
เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าไม่ควรใส่อารมณ์กับเธอไปมากกว่านี้ วิรุจจึงเอ่ยน้ำเสียงแผ่วลงอย่างสำนึกผิด หล่อนกำลังกลัวและต้องการการปลอบใจจากใครสักคนมากกว่า...
“กลับกันเถอะ...ผมจะพาคุณไปพักผ่อน” เอ่ยจบก็ถือสิทธิ์ยกแขนแกร่งโอบกอดไหล่บางเอาไว้ หากแต่ความโกรธยังไม่ผ่อนคลายสาวในอ้อมแขนสะบัดไหล่ ฝ่ามือหนาหลุดออกจากไหล่ตน อีกฝ่ายกลับยิ่งเพิ่มน้ำหนักกดลงไปมากกว่าเก่า เธอจึงจำใจเดินตามไปด้วยใบหน้าหงิกงอ
แม้จะมองหน้ากันไม่สนิทใจ แต่ความอยากรู้ทำให้หญิงสาวที่นั่งหน้าตูมอดเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“จะพาเมย์ไปไหนคะ” เอ่ยถามเมื่อจัดการนั่งในที่ของตนเองเรียบร้อยแล้ว
“ผมจะพาคุณไป...ฟาร์มม้าจังหวัดกระบี่”
คิ้วเรียวผูกปมเข้าหากันมองคนที่เอ่ยนิ่ง สำเนียงเรียกขานระรื่นหูขึ้นมาก จนรู้สึกถึงความอุ่นซ่านในหัวใจอย่างไม่เคยเป็น
“ผมจะพาคุณไปรู้จักพ่อผม” วิรุจเอ่ยย้ำ หันมองหญิงสาวแวบหนึ่ง เมื่อรถทะยานออกสู่ถนนหลัก
นี่เขาจะเอาจริงหรือ... เธอได้แต่ทวนคำถามในใจกับตัวเองซ้ำๆ
หลังจากวันนั้นตัวเธอก็มาอยู่ที่ฟาร์มพ่อตาที่กระบี่ และย้ายฟาร์มม้า มาเปิดใหม่ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงหรือที่เรียกกันว่า เขาใหญ่ พร้อมงานแต่งงานที่ถูกจัดขึ้นไม่กี่วันหลังจากนั้น...
และนั่น…ทำให้เธอไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย อีกทั้งเลิกสนใจคนที่เธอเคยรักอีกด้วย แม้จะเห็นข่าวจากหนังสือพิมพ์ การแต่งงานใหญ่โตสมฐานะของตระกูล ‘รัตรังสรรค์’ แต่น่าแปลกเธอไม่ได้เจ็บปวดอย่างที่ควรจะเป็นกับภาพข่าวนั้น
ตอนนี้ในใจของเธอมีแต่สามีที่ถูกต้องเข้ามาครอบครองพื้นที่ของหัวใจจนเต็มทุกห้อง อยากขอบคุณน้ำเมาวันนั้น ทำให้เธอตัดสินใจทำสิ่งโง่ๆ ลงไป และนั่นทำให้เธอเลือกทางเดินที่ดีกว่าการทำตัวเป็นคุณหนูไฮโซ งี่เง่า ตอนนี้เธอบอกได้คำเดียว ว่าเธอเลือกเดินมาถูกทางแล้ว
เธอยิ้มให้กับความบ้าบิ่นของตัวเองก่อนจะก้าวเดินไปยังจุดหมายคือโรงอาหารที่เธอต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำอาหารให้คนงานในฟาร์มทาน มันคืองานประจำของเธอ เธอเลือกแบ่งเบาเพื่อเป็นการเรียนรู้ไปในตัว...