EP.09

1267 Words
ตอนที่ 9 ยอดตระเตรียมข้าวของอย่างเรียบง่าย เขาไปกราบลาบิดาและมารดา บอกฝากดูแลสุธนและดอกสร้อยอย่าได้ทิ้ง แม้ว่าพ่อและแม่จะระแคะระคายเรื่องของเขากับดอกสร้อยบ้างแล้ว แต่กลับไม่ได้คิดรังเกียจเด็กน้อย รู้สึกสงสารด้วยซ้ำ เมื่อทราบว่าในวันที่สุธนลืมตาดูโลก ดวงตาของสินพ่อแท้ๆ ของสุธนก็ปิดลงตลอดกาล พอยอดมาฝากฝังให้ดูแลครอบครัวของเขา บิดาและมารดาจึงรับคำอย่างทันที “วางใจเถอะยอด พ่อและแม่เคารพการตัดสินใจของเอ็ง” “ฉันอยากจะบวชอย่างเงียบๆ ให้ทุกอย่างเรียบง่ายมากที่สุด พอบวชเสร็จแล้ว ฉันจะตามหลวงตาสายออกธุดงค์เลย” “ดีแล้วล่ะ อย่าให้ทุกอย่างมันเอิกเกริกเลย” หลังจากนั้นอีกสองวัน ยอดจึงมุ่งหน้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ดังใจหมาย คราวนี้ไม่มีมารตัวใดมาขัดขวาง มีแต่สายตาแห่งความชิงชังของเด็กชายคนหนึ่งเท่านั้นที่ลอบมองอยู่ห่างๆ ดอกสร้อยน้ำตาไหล เธอก้มลงกราบพระใหม่ทั้งน้ำตาที่นองหน้า “ฉันขอโทษทุกสิ่งอย่าง ขอโทษจริงๆ” “ฉันอโหสิกรรมให้กับเธอดอกสร้อย...” พระใหม่ส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับอดีตภรรยา ก่อนจะเลื่อนสายตามองหาสุธน “แล้วลูกล่ะ ไปไหนเสียแล้ว” “สุธนเขาโกรธมากที่พี่บวช ให้เวลาเขาทำใจเถอะ ฉันจะค่อยๆ พูดกับลูกเอง” “พ่อกับแม่ของพี่ท่านจะไม่ทิ้งหลานหลอกนะ ตรงกันข้าม พวกท่านกลับเอ็นดูสุธนมัน” “แต่ความจริง...” เธอว่าแล้วยั้งคำเอาไว้ไม่พูด เกรงว่าจะเป็นการตอกย้ำให้พระใหม่เจ็บปวด เขากำลังจะมุ่งหน้าสู่ความใสบริสุทธิ์ ไม่ควรเอาเรื่องบาปหนักกรรมหนามารบกวนอีก “ไม่มีความจริงความลวงอันใดทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นไปตามวิถีแห่งนั้น กัมมุนา วัตตะติ โลโก...” “กราบลาพี่นะจ๊ะ...” ดอกสร้อยก้มลงกราบลงอีกครั้งอย่างจำยอม จริงๆ แล้วเธอควรจะยอมรับความจริงตั้งนานแล้ว ไม่น่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนทุกอย่างคาราคาซังแบบนี้ บัดนี้คงต้องก้มหน้ายอมรับเสียที ยอมรับว่าแท้จริงแล้วเธอเหมือนมาร ที่เข้ามาขัดขวางเส้นทางอันสะอาดบริสุทธิ์ของยอด เธอไม่น่าเลย...ไม่น่าเห็นแก่ตัวเลย... หลังจากบวชได้สามวัน พระยอดจึงเตรียมตัวในการออกธุดงค์พร้อมกับหลวงตาสาย ก่อนออกเดินทางเขาได้เดินทางไปยังบ้านของดอกสร้อย ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นเรือนรักของเขา เป็นเสมือนบ่วงที่หญิงสาวโยนมาคล้องคอ และตอนนั้นเขายินดีที่จะยื่นคอเข้าไปรับอย่างไม่คิดถึงผลที่จะตามมา แม้ว่าหนทางหนีมีและเป็นไปอยู่ตรงหน้า ครั้งนั้นยอดเลือกที่จะช่วยเหลือดอกสร้อย ยอมเป็นที่ครหาของชาวบ้าน ก้มหน้ารับเสียงติฉินนินทาของคนรู้จักและคนในหมู่บ้านอยู่ถึงเจ็ดแปดปี พอในวันนี้เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วที่จะบวช จึงไม่มีสิ่งใดมาฉุดรั้งเขาได้อีกต่อไป วันนั้นสุธนกำลังจะไปโรงเรียน ดอกสร้อยแต่งตัวให้กับบุตรชาย สวมคล้องกระเป๋าลงบนหลังของลูก พูดพร่ำคำสอนบุตรชายไม่ให้เกกมะเหลกเกเร ตามแต่ความคิดคำสอนของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะทำได้ “หลวงพี่...” พอเหลือบตาเห็นพระยอด ดอกสร้อยจึงละจากบุตรชายแล้วพนมมือไหว้ “ไหว้พระพ่อสิลูก” “ไม่...” เด็กชายว่าด้วยเสียงเข้ม “ฉันไปโรงเรียนก่อนนะแม่” เด็กชายสุธนยกมือขึ้นไหว้มารดาแล้วจึงรีบวิ่งจากไป โดยไม่แม้แต่ที่จะชายตามองผ้าเหลืองที่ลอยอยู่ตรงหน้า ผ่านพระยอดไปก็วิ่งหายไปตามเส้นทาง ท่ามกลางสายตาที่มองตามของดอกสร้อยและพระยอด “ฉันขอโทษแทนลูกด้วยนะจ๊ะ” “ลำบากเธอแล้วล่ะดอกสร้อย ที่จะต้องดูแลลูกต่อไป...” “ลำบากก็ต้องทำให้ได้จ้ะ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นกรรมของฉัน ฉันเป็นคนก่อมันขึ้นมาเอง” พระยอดระบายลมหายใจออกมา เนิ่นนานจึงเอ่ย “อาตมาจะออกธุดงค์ไปกับหลวงตาพรุ่งนี้เช้า วันนี้เลยมาบอกเธอ” “ขออนุโมทนาบุญนี้ด้วยนะเจ้าคะ...” น้ำตารินไหลอาบสองแก้ม แต่เธอก็ยังพยายามยิ้มขึ้นมาได้ อย่างน้อยกุศลผลบุญที่เธอเลือกที่จะไม่รั้งพระยอดในครั้งนี้ ก็พลอยที่จะทำให้หัวใจของเธอสงบลง มองเห็นหนทางได้บ้างแม้จะเลือนราง ผ้าเหลืองปลิวไสวงดงามจากไปแล้ว ผ่านดงแมกไม้และความร่มเงาของไม้ใหญ่น้อย ดอกสร้อยระบายลมหายใจ นึกให้กำลังใจตัวเองในการลุกขึ้นสู้ต่อไปในอนาคต ต่อจากนี้ไป เธอจะต้องเข้มแข็ง จะต้องอยู่เป็นหลักชัยให้กับสุธนบุตรชายให้ได้ ร่มไม้ใบบังส่ายไหวยามต้องลม หน้าแล้งเริ่มต้นขึ้นเมื่อฝนสุดท้ายของฤดูร้างจางไป สองพระภิกษุต่างวัย หลวงตาสายและพระยอด ย่างเดินแบกกลดเดินลัดเลาะไปตามเส้นทาง มุ่งสู่พนาอันร่มรื่น สงบและร่มเย็น “ปีนี้หลวงตาจะไปที่ไหนหรือขอรับ” พระยอดชวนถามหลังจากเดินตามหลวงตามาสักระยะหนึ่งแล้ว ก่อนหน้าท่านไม่ได้เฉลยว่าจะเดินธุดงค์ไปถึงไหน อาจจะป่าใกล้ๆ หรือป่าไกลไพรลึก ไกลสุดอาจข้ามแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน จำอยู่ถ้ำ ข้างลำห้วยหรือใต้ต้นไม้ก็สุดจะรู้ ท่านบอกแค่ว่า ให้ตามท่านไปเถิด ถึงแล้วจะรู้เอง “ตามมาเถิดพระ หนทางยังอีกยาวไกล จิตจงมุ่งอยู่กับการปฏิบัติ กำหนดกายใจให้อยู่กับการเดิน อย่าวอกแวกแทรกไหวไปเลย” เมื่อไม่ได้คำตอบ พระยอดจึงเลือกที่จะเงียบเสียง ไม่เอ่ยถามคำใดอีก สองภิกษุเดินลัดเลาะเข้าสู่เส้นทางด่านสัตว์ มุ่งหน้าสู่ความหนาแน่นของผืนป่า มีบ้างบางครั้งพบกับชาวบ้านที่ออกไปหาของป่า หรือไปเรือกสวนไร่นา ทักทายสอบถามเส้นทางกันเพียงครู่จึงแยกย้ายจากกันไป กระทั่งย่ำเย็นแสงตะวันเผ่นหาย หลวงตาสายจึงชักชวนพระยอดลงปักกลดที่ริมลำห้วยสายหนึ่ง เสียงน้ำไหลชื่นเย็น หลังจัดการปัดกวาดสถานที่จนเรียบร้อยแล้ว เห็นหลวงตานั่งพิจารณาสายน้ำไหล พระยอดจึงขยับไปนั่งลงข้างๆ พอทราบถึงการมาถึงของพระบวชใหม่ หลวงตาจึงเปรยขึ้น “จิตใจของเราเหมือนกับสายน้ำไหลนั่นแหละ มีบ้างในบางครั้งที่จะส่ายไหวไปยามเมื่อกระทบโขดหิน...” พระยอดไล่สายตามองลำน้ำสายนั้นตามคำของหลวงตา เห็นว่ามีบ้างในบางจุดที่มีก้อนหินน้อยใหญ่ขวางกั้น น้ำใสไหลผ่านกระทบแตกกระเซ็นแล้วแหวกไปอีกด้าน... “มีบ้างที่กิเลสจะเป็นเหมือนก้อนหินเหล่านั้น แต่จิตเราก็สามารถผ่านไปได้ เมื่อคิดที่จะหลบหลีกปลีกตัวหนี...” “กระผมยังใหม่กับเส้นทางสายนี้ คงจะเหมือนกับลำน้ำตรงจุดนั้นที่มีก้อนหินอยู่มากมาย” “แต่โยมก็ผ่านมันมาได้ ถึงแม้ว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างมากระทบ ฝึกหัดเอาเถิดพระยอด ฝึกให้จิตใจตั้งมั่นไม่ไหวเอียงตามความคิดอันวุ่นวายเหล่านั้น” พระยอดยกมือขึ้นพนมไหว้ ยกยอรับเอาความคิดคำสอนนั้นของหลวงตา...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD