EP.07

1371 Words
ตอนที่ 7 “เล่ามาว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอท้องกับไอ้สินได้ยังไง” ดอกสร้อยสะอื้นไห้ เนิ่นนานจึงเริ่มเล่าเรื่องราวระหว่างเธอกับสิน จนก่อกลายเป็นอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตในกายของเธอ ดอกสร้อยนำความไปบอกกับสิน แต่สินกลับปฏิเสธและทอดทิ้งเธอไปอย่างไม่มีเยื่อใย ดอกสร้อยหมดหนทาง ทั้งยังกลัวจะอับอายขายหน้าไปถึงวงศ์ตระกูล คนเดียวที่ยังคงมีเศษความรักคือยอด เธอจึงนึกถึงเขาและเดินทางมาหาในวันนี้ ทว่าบัดนี้ยอดกลับกำลังจะทอดทิ้งเธอไปอีกคน “มันเป็นบทเรียนสำหรับเธอแล้วดอกสร้อย...” นานกว่าที่จะข่มใจได้ ยอดจึงลุกขึ้นยืน ไม่ได้รังเกียจ แต่เวทนาสงสารเธอต่างหาก ที่ต้องพบเจอกับชะตากรรมอันแสนจะทรมานนี้ แต่สำหรับเขา ในเมื่อก้าวผ่านออกมาได้แล้ว ก็ควรที่จะละทิ้งมันไปเสีย อย่าได้สนใจอีกต่อไป “พี่จะทิ้งฉันกับลูกไม่ได้นะ” “ลูกไอ้สิน...เด็กในท้องคือลูกของไอ้สิน ไม่ใช่ลูกของพี่” “พี่ยอด พี่จะต้องแต่งงานกับฉัน เป็นพ่อของลูก แล้วฉันสัญญาว่าจะดูแลพี่อย่างดี” “อย่าคิดเห็นแก่ตัวเช่นนั้นเลยดอกสร้อย ไม่มีประโยชน์หรอก...” เขาพยายามข่มเสียงให้เรียบเฉยที่สุด พยายามจะไม่แสดงความอ่อนไหวให้เธอเห็น “พี่กำลังจะบวชในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ลาก่อน...” เขาเดินจากไปอย่างไม่สนใจใยดี ในขณะดอกสร้อยพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น เธอร้องไห้อย่างหนัก พยายามจะคว้าแขนเขา แต่กลับถูกสะบัดจนหลุด ยอดเดินจากไปก่อนจะชะงักหยุดเมื่อดอกสร้อยตะโกนตามหลัง “ฉันจะไปทำลายงานบวชของพี่ หากพี่ไม่ยอมแต่งงานกับฉัน ก็อย่าหวังว่าจะได้บวช...” เขาสะท้านไหวไปทั้งร่างกาย พยายามฝืนที่จะไม่หันไปมองหญิงสาวผู้เห็นแก่ตัว ฉุดรั้งและทำลายเขาจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ก่อนจะข่มใจ แล้วตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เดินจากไปอย่างไม่ฟังเสียงของเธออีก... สายลมพัดผ่านบางเบา ใบไม้แห้งปลิวหลุดออกจากขั้ว เสียงกังสดาลบนช่อฟ้าเหนือวิหารวัดดังหวานน่าฟัง แสงแดดอ่อนรอนล้าเต็มที เวลานั้นยอดเดินฝ่าบรรดาฝุ่นที่ปลิวว่อนรอบกาย ท่วงท่ายืนหยัดพยายามมั่นคง หัวใจโอนไหวเอนเอียง น้ำตารื้นเต็มใบหน้า นับตั้งแต่ได้รับทราบความจริงบางประการในวันนั้นจากดอกสร้อย หัวใจของเขากลับว้าวุ่นสับสน บางครั้งในการเตรียมงาน มักเห็นดอกสร้อยเข้ามามีส่วนร่วม เธอแสดงสีหน้าเรียบเฉยได้อย่างแนบเนียน ความทุกข์ในหัวใจของเธอแม้จะเป็นเพลิงอารมณ์รุนแรง แต่ดูเหมือนจะไม่อาจแสดงออกมาให้กับคนรอบข้างได้เห็นหรือรู้สึกเลย หลายต่อหลายครั้งที่เธอเข้ามาแสดงจุดยืนของตนเองกับยอดอย่างหน้าไม่อาย และทุกครั้งยอดก็เลือกที่จะเดินหนีไปอย่างไม่ใยดี กระทั่งวันนี้ คล้ายถึงกาลแตกหักสำหรับเขา ยอดจึงกลายเป็นอีกผู้พ่ายแพ้ต่อความรู้สึกแห่งเพลิงอารมณ์ภายใน เขาขยับมานั่งตรงหน้าหลวงตาสาย ก้มลงกราบครบสามคาบแล้วบอกถึงจุดประสงค์ “พร้อมแล้วหรือไอ้ยอด...” “หลวงตาครับ ผมขอเลื่อนงานบวชไปก่อนได้ไหมครับ ยามนี้หัวใจของผมกลับว้าวุ่นสับสนไปเสียแล้ว” “ไอ้ยอด...” หลวงตาเบิกตามองบุรุษตรงหน้า ซึ่งจู่ๆ กลับเปลี่ยนความมุ่งหวังของตนเองไปอย่างกะทันหัน หลังจากวันนั้น งานบวชของยอดมีอันต้องยุติลงในทันทีทันใด ท่ามกลางความคลางแคลงสงสัยของคนรอบข้าง แล้วแปรเปลี่ยนเป็นงานแต่งระหว่างเขากับดอกสร้อย ที่รีบจัดอย่างไม่ฟังคำทัดทานของคนเฒ่าคนแก่ “ร่วมหอกลางวสา มักอยู่กันไม่ยืด...” งานแต่งระหว่างยอดกับดอกสร้อยถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย โดยมีคำถามเกิดขึ้นจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย กระทั่งผ่านไปหลายเดือนความชัดเจนจึงเกิดขึ้นเมื่อท้องของดอกสร้อยเริ่มโตขึ้นทุกขณะ มารหัวขน...เป็นคำนิยามที่หลายคนต่างนำไปเล่าลือกันถึงลูกในท้องของดอกสร้อย ที่เปรียบเสมือนมารร้ายที่คอยฉุดรั้งหนทางแห่งพระธรรมของยอด แต่อย่างไรแล้ว ก็มีไม่น้อย ที่ต่างหันไปโทษพ่อกับแม่เด็ก ที่มือไวใจเร็ว ลักลอบหลับนอนกันก่อนวัยอันควร จนเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น แถมยังมีคนปรามาสว่ายอดอาจจะคิดบวชเพื่อหลบดอกสร้อย กลายเป็นคำครหาที่ทางบิดาและมารดาของยอดฟังแล้วต่างไม่สบายใจ... บาปหนากรรมหนักมาตกที่ยอดและครอบครัวของยอด เขาต้องก้มหน้ารับฟังคำครหาเหล่านั้นอย่างเจ็บปวดทรมาน ตรงกันข้ามกับดอกสร้อยที่ไม่ได้แสดงอารมณ์หวั่นใจหรือละอายแก่ใจออกมาให้เห็น เธอทำหน้าที่ของภรรยาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง สิ่งนี้เองกระมังที่เป็นเสมือนการเข้าข้างตัวเองว่าเธอไม่ได้ผิดอะไร อย่างน้อยเธอกับยอดก็เคยรักกันมาก่อน ถึงแม้ว่าจะมีสินเข้ามาเป็นตัวแปร แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเธอยอมรับว่าหน้ามืดตามัวไปแค่นั้นเอง เวลาผ่านไปจนกระทั่งดอกสร้อยคลอดทารกคนนั้นออกมา วันนั้นคล้ายอากาศวิปริต ท้องฟ้าอวลครึ้มเงียบเหงา แดดร้อนหลบเร้นอยู่กลางเมฆา ลมร้ายลมร้อนพัดผ่านรุนแรง ยามที่บุตรชายของดอกสร้อยคลอดออกมานั้น เป็นยามพลบค่ำ อากาศยิ่งวิปริตแปรปรวนจนยอดเองนึกคลางแคลงใจ วันอังคาร เดือนสาม ปีขาล ทุกสิ่งอย่างบรรจบพ้องกันอย่างพอดิบพอดี กระทั่งเด็กคลอด กลับคล้ายบรรเทาอารมณ์รุนแรงนั้นไปอย่างสิ้นเชิง เสียงร้องของเด็กน้อยดังระงมในค่ำวันนั้น กว่าจะสงบลงได้ก็เล่นเอาคนรอบข้างเหน็ดเหนื่อยไปตามๆ กัน การเกิดของเด็กชายตัวน้อย แม้จะเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติของบรรยากาศที่ปกคลุมหมู่บ้าน แต่กลับสร้างความยินดีให้กับผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย มีเพียงยอดคนเดียวเท่านั้นที่รู้เบื้องลึกว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของสิน ไม่ใช่ลูกของเขา เก็บงำความรู้สึกนึกคิดเอาไว้ภายใน เรื่องที่เกิดขึ้นมีเพียงเขาและหลวงตาสายเท่านั้นที่รับรู้ เพราะก่อนตกลงแต่งงานกับดอกสร้อย หลวงตาสายได้เรียกเขาไปถามถึงสาเหตุของการยุติการบวชชั่วคราวของยอด “บอกข้ามาตามตรง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” บัดนั้นยอดจึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้หลวงตาฟัง ทั้งยังกำชับไม่ให้หลวงตาแพร่งพรายเรื่องระหว่างเขากับดอกสร้อยออกไปให้คนอื่นรับรู้ “บาปกรรมแท้ๆ เฮ้อ...” วันนั้นหลวงตาสาย ได้แต่ระบายลมหายใจออกมา พลางปลงตกต่อวิถีชีวิตที่เป็นไปของยอด ท่านรู้ ท่านรับรู้ทุกอย่าง มองเห็นด้วยดวงตาแห่งการวางเฉย ส่วนลึกนึกเวทนายอดที่ต้องเผชิญชะตากรรมนั้น แต่ท่านก็ยังปลอบยอดหลายต่อหลายครั้งว่า มันอาจจะเป็นบาปเวรที่ติดตัวกับยอดมาตั้งแต่ชาติปางหลัง “ชดใช้ให้หมดในชาตินี้ อย่าพยายามก่อกรรมสร้างเวรต่อไปอีกเลย” วันนี้เช่นกัน วันแห่งความผิดปกติ ลูกชายของดอกสร้อยถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ ซ้ำยังไม่มีใครรู้ว่าเท่าเทียมกัน ยามนั้นก็เป็นวันตายของสินเช่นกัน ยอดเดินลงจากเรือน ทั้งที่ผู้คนรอบข้างต่างมาเฝ้าดูการคลอดบุตรของดอกสร้อย หลายคนสงสัย ว่าเหตุใดบิดาถึงไม่ยอมอยู่อุ้มลูกน้อย “นั่นเอ็งจะไปไหน ไอ้ยอด...” มารดาของดอกสร้อยถามมาจากในห้องนอน โดยมีคนอื่นๆ กำลังช่วยกันดูแลดอกสร้อยและลูกน้อยของเธออยู่ “ฉันจะไปหาหลวงตา...” เขาตอบแค่นั้นก็แล่นลงจากเรือน มีเพียงบิดาของเขาที่หันไปแก้ต่างให้ลูกชายว่า ยอดอาจจะเอาฤกษ์การเกิดไปปรึกษาหลวงตาเพื่อตั้งชื่อ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD