เส้นทางที่รถแล่นผ่านในแต่ละที่ ช่างไม่คุ้นตาสำหรับคนที่โตในต่างแดนอย่างมณีศิลา ดีที่ว่าผู้เป็นบิดาได้จ้างครูสอนภาษาไทยโดยเฉพาะให้แก่หญิงสาว มณีศิลาจึงพูดภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ รวมไปถึงการสั่งสอนเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีแบบไทย ครอบคลุมไปถึงการับฟังข่าวสารความเป็นไปของบ้านเมือง ฉะนั้นมณีศิลาจึงรับรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ตลอดระยะเวลาที่อยู่ต่างแดน
บานประตูอัลลอยด์สีขาวขนาดใหญ่ที่รถเพิ่งแล่นผ่านเข้ามา ทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นระทึกด้วยความตื่นเต้น สถานที่แห่งนี้คือบ้านของเธอ ตระกูลก้องราชันย์ แม้จะหลีกลี้หนีไกลไปสักแค่ไหน ท้ายที่สุดก็ไม่แคล้วต้องได้กลับมาเหยียบที่นี่จนได้
ทันทีที่สองพ่อลูกได้พบหน้ากันมณีศิลาก็โผเข้าสวมกอดผู้เป็นบิดาในทันที อ้อมกอดของพ่อนั้นช่างอบอุ่นนัก นายมหิธรลูบเส้นผมของบุตรสาวเบาๆ ก่อนจะค่อยดันร่างของหญิงสาวออก แล้วมองสำรวจดูความเปลี่ยนแปลงตรงหน้า มณีศิลายิ้มให้ท่านก่อนจะหันไปกอดพี่ชายของตัวเองที่ยืนอยู่ด้านข้าง มโนศิลานั้นมีสีหน้าอึดอัดใจต่อสิ่งที่น้องสาวกระทำอยู่ไม่น้อย รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าของมณีศิลา เป็นเหมือนหนามที่ทิ่มแทงหัวใจของคนเป็นพี่ชาย
"มณี" สีหน้าที่เศร้าสร้อยของมโนศิลาทำให้หญิงสาวชะงักไปชั่วครู่ ครั้นหันไปมองบิดาของตัวเอง ใบหน้าของท่านก็ไม่ได้แตกต่างกันจากพี่ชาย ทุกคนมีความเศร้าหมองบนใบหน้า
นายมหิธรตัดสินใจเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้มณีศิลาฟัง อธิบายถึงเหตุและผลในการเรียกตัวกลับมา ว่าทั้งหมดนี้ก็เพื่อความปลอดภัย แม้ว่าจะอยู่ไกลเพียงใดมั่นใจว่าปลอดภัยแค่ไหน แต่ว่าด้วยความสามารถของคนในตระกูลสีมันต์ ยังไงมณีศิลาก็คงหนีการตามล่าของอีกฝ่ายไม่พ้นอย่างแน่นอน สู้ให้กลับมาอยู่ในความคุ้มครองของก้องราชันย์จะดีเสียกว่าปล่อยให้อยู่เพียงลำพังในต่างแดน
"อะไรนะคะคุณพ่อ!" มณีศิลาถึงกับตกใจต่อเรื่องราวที่ได้รับฟัง เหยียบแผ่นดินเกิดได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็มีเรื่องชวนน่าตกใจได้ถึงเพียงนี้ นายมหิธรหันไปทางหญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งจะก้าวเดินเข้ามาภายในห้อง
"นี่คือ ลารีเป็นสาวใช้ของที่นี่" หญิงสาวหน้าตางดงามถูกแนะนำตัวต่อมณีศิลา
"ลารี" มณีศิลาขานชื่อของหญิงสาว หน้าตากับผิวพรรณช่างไม่เหมือนสาวใช้ทั่วไปเอาเสียเลย
"เดิมทีเคยเป็นเด็กในอุปการคุณของแม่เขา" นายมหิธรเสียงขรึมลงเมื่อต้องเอ่ยถึงภรรยาสาวที่ล่วงลับไปเมื่อสิบปีก่อน
"เมื่อเรียนจบออกมาลารีจึงขอมาเป็นสาวใช้ของที่บ้านเราเพื่อตอบแทนบุญคุณของแม่ อยู่ในตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ของที่นี่" คำบอกเล่าของบิดาทำให้บุตรสาวไม่เข้าใจว่าลารีเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ด้วย
"ลารีจะไปตระกูลสีมันต์แทนลูก" นายมหิธรเอ่ยขึ้น ทำให้มณีศิลาถึงกับหน้าซีดเผือดลงในทันที การจะให้อีกคนไปรับทัณฑ์จากตระกูลสีมันต์แทนตัวเองมันช่างรู้สึกอดสูใจยิ่ง หันหน้าไปมองลารีด้วยสายตาขอโทษ
"ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะคุณหนู ลารีเต็มใจ" หญิงสาวผู้เกิดมาในบ้านเด็กกำพร้าอยากจะทดแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ เธอจึงเต็มใจที่จะถูกลงทัณฑ์แทนบุตรสาวของเจ้าของบ้าน ตลอดระยะเวลาที่ดูแลนางมณีมาศซึ่งป่วยด้วยโรคหัวใจ ลารีได้รับฟังเรื่องราวต่างๆ ของมณีศิลาจากปากของผู้เป็นมารดา จึงทำให้รู้สึกรักมณีศิลาราวน้องสาวของตัวเอง อีกทั้งยังถูกนางมณีมาศฝากฝังให้เธอดูแลมณีศิลาในวันที่ท่านจะสิ้นลม ลารีจึงเต็มใจที่จะปกป้องและรับโทษแทนมณีศิลา โดยที่ไม่รู้สึกเสียใจต่อการกระทำในครั้งนี้
"ลารี ขอบคุณมากฉันไม่รู้จะพูดอะไรดี" มณีศิลายกข้อมือทั้งสองข้างของหญิงสาว
ขึ้นด้วยความซาบซึ้งใจ หันหน้าไปมองบิดาและพี่ชายก็เห็นพวกท่านยืนนิ่งไม่เอ่ยคำพูดใดออกมา จากนั้นทั้งสองก็เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้หญิงสาวทั้งคู่อยู่พูดคุยกันเพียงลำพัง
"อย่าห่วงลารีเลยนะคะ คุณหนู" สีหน้าวิตกกังวลใจของมณีศิลา ทำให้ลารีต้องเอ่ยปลอบออกมา
"ไม่ให้ห่วงได้ยังไง มันอันตรายมาก" มณีศิลาตระหนักได้ถึงอันตรายที่อยู่ในตระกูลสีมันต์ การที่พี่สาวถูกกระทำจนถึงแก่ความตาย คนเป็นน้องชายก็คงจะเคียดแค้น จนแทบอยากจะฉีกร่างของศัตรูให้ตายดับลงไปต่อหน้าอย่างแน่นอน
"อย่าได้คิดวิตกไปล่วงหน้าเลยค่ะ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด" คล้ายจะเข้าใจในเหตุและผลได้ดี แต่ลึกๆ แล้วลารีก็รู้สึกหวั่นไหวอยู่ไม่น้อย
"คุณแม่บอกว่าลารีเหมือนพี่สาว" มณีศิลาเอ่ยด้วยน้ำเสียงขมขื่นใจ รับรู้เรื่องราวของลารีผ่านทางมารดาตลอดระยะเวลาที่อยู่ในต่างแดน ลารีมีความหลังที่น่าสงสารมามากพอแล้ว ยังจะต้องมารับชะตากรรมนี้แทนตัวเองอีก
"คุณหนูให้เกียรติลารีเกินไปแล้ว" ลารีทอดรอยยิ้มคืนให้มณีศิลา
"รู้หรือเปล่าทำไมคุณพ่อถึงไม่ยอมให้เธอทำงานของบ้านเรา" มณีศิลาหมายถึงงานอื่นที่นอกเหนือจากงานบ้าน บุพการีทั้งสองไม่ยอมให้ลารีเข้าไปทำงานที่บริษัทของตระกูล ให้ช่วยเหลือก็เพียงแค่เป็นผู้ช่วยของมโนศิลา ในกรณีที่งานล้นมือจนต้องนำกลับมาทำต่อที่บ้าน
"รู้ค่ะ" ลารีย่อมรู้ดีว่าทั้งสองท่านไม่อยากให้เธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจที่แปดเปื้อนและมืดมน มีหนทางให้เลือกเดินมากมาย แต่ว่าเธอก็เลือกที่จะเดินเส้นทางนี้ เลือกขออยู่ดูแลผู้มีพระคุณจนลมหายใจสุดท้ายของท่าน
"ฉันเลือกเกิดไม่ได้ แต่ว่าเธอลารีมีทางเลือกทำไมถึงไม่ยอมเลือก" มณีศิลาถามด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมหญิงสาวถึงไม่ปฏิเสธเรื่องที่จะไปตระกูลสีมันต์ เชื่อว่าหากลารีไม่ยอมไปบิดากับพี่ชายของเธอ ก็คงจะไม่ฝืนใจอย่างแน่นอน
"ลารีเลือกแล้วค่ะคุณหนู"
"เลือกที่จะมาตายแทนฉันนี่นะ" หญิงสาวขึ้นเสียงอย่างอดไม่ได้
"โธ่ คุณหนูอย่าพูดอย่างนั้นสิคะ"
"ถึงแม้ฉันจะอยู่แคนาดามาตลอด แต่ว่าเรื่องราวของทางบ้านคุณพ่อก็ส่งข้อมูลไปให้ฉันศึกษาอยู่ตลอดเวลา ตระกูลสีมันเลวร้ายแค่ไหนฉันก็รับรู้ได้ ไม่แตกต่างไปจากคนที่อยู่ที่นี่" รู้ถึงความโหดเหี้ยมของตระกูลสีมันต์ได้เป็นอย่างดี
"ลารีอยากตอบแทนคุณแม่" ลารีมักจะเรียกนางมณีมาศว่าคุณแม่ ตามที่นางมณีมาศประสงค์อยากให้เธอเรียก
"ตอบแทนแบบนี้ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี" มณีศิลามองหน้าของลารีอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดึงร่างของหญิงสาวเข้ามาสวมกอดเอาไว้ ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่ยอมตายแทนกันได้ ช่างเป็นชีวิตที่แสนจะขมขื่นเหลือเกิน สำหรับคนที่เป็นผู้รับอย่างตัวเธอ
"ขอโทษนะ" มณีศิลาเอ่ยทั้งน้ำตา
"อย่าร้องค่ะคุณหนู ลารีจะไม่ตายง่ายๆ หรอกค่ะ" ลารีปลอบใจมณีศิลาไปพร้อมกับการปลอบใจตัวเองอีกด้วย อนาคตในวันข้างหน้ามันยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง คงมีเพียงเมฆหมอกมืดมนเฝ้ารอคอยเธออยู่
"โชคดีนะลารี" ทั้งสองโผเข้ากอดกันอีกครั้งหยดน้ำตาไหลลงอาบแก้มด้วยกันทั้งคู่
มณีศิลาเดินออกจากห้องไปทั้งน้ำตา ก่อนจะสะดุดกับร่างของพี่ชายผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด มโนศิลาหยุดนิ่งมองหน้าของน้องสาว ที่ไม่ได้พบเจอกันมานานร่วมสิบปี สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าเสียใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
"ลารีอยู่ด้านในค่ะ" หญิงสาวพูดกับพี่ชายเพียงเท่านั้นก็เดินจากไป
มโนศิลาเปิดประตูห้องเข้าไปภายในอย่างเงียบๆ ด้านหลังของหญิงสาวที่ยืนหันหน้าออกนอกหน้าต่างของห้อง ทำให้มโนศิลารู้สึกเศร้าสลดต่ออนาคตวันข้างหน้าของหญิงสาวไม่ได้
"ลารี" เสียงเรียกของเขาทำให้หญิงสาวหันกลับมา เจ้าของดวงตากลมโตจมูกโด่งเป็นสันผิวกายขาวสะอาด แต่โครงหน้าของเขาก็หล่อเหลาสมชายชาตรี มโนศิลากำลังเดินตรงมาหาเธอด้วยสีหน้าที่อ่อนล้า
"คุณมโน" ลารีโผเข้ากอดร่างสูงของมโนศิลาแล้วร่ำไห้ปานจะขาดใจ ไม่ได้เสียใจที่ต้องไปรับโทษทัณฑ์จากตระกูลสีมันต์ แต่เธอกำลังเสียใจที่ผู้ชายที่ตัวเองรักกระทำความผิดครั้งมหันต์
"ฉันขอโทษลารี" ชายหนุ่มรัดร่างของหญิงสาวเอาไว้แน่น รู้สึกสงสารลารีจับใจ ย่อมรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากลารีได้เข้าไปอยู่ในบ้านสีมันต์
"..." ลารีกัดฟันแน่นด้วยความเสียใจ
"ฉันขอโทษเพราะว่าอารมณ์ชั่ววูบ ความอยากจะเอาชนะผู้หญิงที่เชิดใส่ตัวเอง ผลลัพธ์ที่ได้มันช่างแสนสาหัสเหลือเกิน" มโนศิลากระชับอ้อมกอดของตัวเองเอาไว้แน่น คำพูดคล้ายคนแก้ตัวของเขา ทำให้ลารีต้องดันร่างของเขาออกห่าง
"แม้ลารีจะตายคาบ้านสีมันต์ คุณมโนโปรดจำเอาไว้นะคะ ว่าลารีรักคุณ" น้ำตานองหน้ามาพร้อมกับคำบอกรัก ซึ่งมโนศิลารู้อยู่แก่ใจตัวเองดี ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้
"ลารีเธอก็รู้ว่าเรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ คุณพ่อท่านไม่มีวันยอมรับลารีมาเป็นลูกสะใภ้เด็ดขาด" ใช่ว่าเขาจะไม่รักลารี แต่ว่าหน้าที่ของเขามันไม่สามารถหยุดอยู่ที่ลารีผู้ต่ำต้อยได้ เพราะว่าตัวเขาเองก็มีหญิงสาวที่บิดาหมายปองเอาไว้ให้แล้ว คนที่สามารถเอื้ออำนาจบารมีให้แก่ตระกูลก้องราชันย์ได้
"ลารีรู้ แต่ว่าลารีก็ขอรักคุณมโนแบบนี้ตลอดไป ได้ไหมคะ?" ความชอกช้ำใจในความจริงข้อนี้ ทำให้ลารีต้องข่มความรู้สึกอันต่ำต้อยของตัวเองเอาไว้ แล้วพร้อมที่จะยอมรับชะตากรรมในวันข้างหน้า
"โธ่ ลารี เธอช่างน่าสงสารนัก ฉันขอโทษสำหรับทุกๆ อย่าง" มโนศิลาปั้นสีหน้ายากต่อเหตุการณ์ตรงหน้า จะปลอบยังไงให้ลารีหายเศร้าเสียใจได้ในยามนี้ ก่อนจะตกใจในถ้อยคำถัดมาของหญิงสาว
"ช่วยจูบลารีได้ไหมคะ" คำขอของผู้หญิงต่ำต้อยคนหนึ่ง เธออยากจะเก็บจุมพิตของชายในฝัน เอาไว้ในความทรงจำของตัวเอง มโนศิลาจ้องหน้าของหญิงสาว คล้ายอยากจะถามว่าแน่ใจเหรอที่เอ่ยออกมา ครั้นเห็นลารีพยักหน้าลง จึงได้เข้าใจในความหมายของหญิงสาว
"ได้สิลารี" ริมฝีปากหนานาบลงยังกลีบปากนิ่มของหญิงสาว ตวัดปลายลิ้นหาความหวานฉ่ำที่อยู่ภายใน จูบนี้ช่างอ่อนหวานแต่รสชาติฝาดลิ้นจากหยาดน้ำตา
"ลาก่อนค่ะ" ลารีรีบดันร่างของมโนศิลาออกแล้ววิ่งออกจากห้องไป
เมื่อลับร่างของลารีมโนศิลาถึงกับเข่าทรุดฮวบลงที่พื้น จูบนี้สำหรับเขาแล้วช่างมีคุณค่ามากมายนัก แต่ว่าดอกไม้งามในใจ ก็ถูกเขาทำลายด้วยน้ำมือของเขาเอง ไม่อยากจะคิดถึงใบหน้าอันแสนทรมานของลารี ยามที่เข้าไปอยู่ในตระกูลสีมันต์ แค่คิดหัวใจของเขาก็เจ็บปวดเหลือเกิน