ตอนที่ : 6 สู่นรกสีมันต์ 4

1747 Words
       ทางด้านตระกูลก้องราชันย์ มณีศิลาต้องเก็บตัวอยู่แต่ภายในบ้าน นับตั้งแต่กลับมาจากแคนาดา และเมื่ออิสรภาพที่เคยมีต้องถูกจำกัดลง หญิงสาวจึงรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก จนต้องหาหนทางปลดปล่อยเสรีภาพให้แก่ตัวเองบ้าง            "คุณหนูคะจะออกไปไหนมืดค่ำแล้ว" เสียงสาวใช้เรียกหญิงสาวที่กำลังสะพายกระเป๋า เดินลงจากบันไดบ้าน            "ฉันจะไปบ้านเพื่อนสักหน่อย ออกทางประตูด้านหลังคงไม่มีใครเห็นหรอก" ความจริงแล้วไม่ได้มีเพื่อนที่ไหน แต่ว่ามณีศิลาอยากจะออกไปสูดอากาศภายนอกบ้านดูบ้าง หลังจากอุดอู้อยู่แต่ภายในบ้านมาเสียหลายวัน            "แต่ว่านายท่านสั่งไม่ให้คุณหนูออกไปไหนนะคะ" สาวใช้คนเดิมยังคงเป็นห่วงสวัสดิภาพของหญิงสาว            "มณีอย่าออกไปเลยมันอันตราย" คนเป็นพี่ชายเดินลงมาทันได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ จึงได้เอ่ยออกไปด้วยเป็นห่วงน้องสาว            "มณีออกทางลับไม่มีใครเห็นหรอกค่ะพี่มโน เห็นใจมณีเถอะนะคะอยู่แต่ในบ้านมาหลายวัน มันอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก" มณีศิลาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย จนคนเป็นพี่ชายอดใจอ่อนไม่ได้            "มณี"            "นะคะพี่มโน" สีหน้าละห้อยชะเง้อมองมโนศิลา เพื่อขอความเห็นใจ            "ก็ได้ๆ แต่ว่าต้องให้คนของเราตามไปด้วยนะ พี่ถึงจะวางใจ" และมันก็ได้ผล เมื่อเขายอมให้หญิงสาวออกจากบ้านไป แต่เพื่อความปลอดภัยมโนศิลาจึงไม่ลืมที่จะให้คนของเขา ตามติดคอยดูแลหญิงสาวไปด้วย            "ก็ได้ค่ะ" แม้จะดูขัดใจตัวเองไปบ้าง แต่มณีศิลาก็เข้าใจในความหวังดีของพี่ชาย จึงตอบรับคำของเขาไป หญิงสาวเลือกตอนกลางคืน เพราะว่าสามารถพรางตัวในเงามืดได้ง่ายกว่าตอนกลางวัน ด้วยรู้ว่าความปลอดภัยของตัวเองในประเทศไทยนั้นมีอยู่เพียงน้อยนิด มโนศิลามองตามแผ่นหลังของน้องสาวด้วยความรู้สึกเป็นห่วง แม้ว่าจะมั่นใจในทางลับที่ใช้ในการออกนอกบ้าน ว่ามีแต่คนในบ้านเท่านั้นที่ล่วงรู้ แต่คนเป็นพี่ชายก็อดเป็นกังวลไม่ได้ มณีศิลาเดินผ่านกำแพงทางลับลงไปอย่างระมัดระวัง ทางแห่งนี้จะนำเธอออกสู่ถนนใหญ่ฝั่งตรงข้ามกับตระกูลก้องราชันย์ ซึ่งก็เหมือนกับว่าหญิงสาวเดินออกมาจากบ้านฝั่งตรงข้าม โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าความจริงแล้วก็ออกมาจากบ้านก้องราชันย์            ชายหนุ่มอีกคนกำลังเคาะนิ้วมือเป็นจังหวะลงบนพวงมาลัย เพ่งสายตาดูหญิงสาวที่กำลังเดินออกมาจากบ้านหลังเล็กด้วยความสนใจ แม้จะเป็นช่วงเวลาหนึ่งทุ่มกว่า แต่ว่าแสงไฟจากถนนใหญ่ ก็ส่องให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นอย่างชัดเจน สวย นี่คือคำกำจัดความของหญิงสาว ริมฝีปากอิ่ม กับดวงตากลมโตสีดำสนิทช่างเหมาะเจาะกับผมสีดำยาวสลวยกลางแผ่นหลัง ครองทัพยกหัวแม่โป้งขึ้นกัดขณะใช้ความคิด ก่อนจะแน่ใจในความคิดของตัวเอง เมื่อเห็นชายหนุ่มสองคนเดินตามหลังหญิงสาวออกมาห่างๆ เขารีบหักพวงมาลัยตามรถแท็กซี่สองคันไปอย่างเงียบๆ ตามรถทั้งสองคันด้านหน้าไปสักพักใหญ่ๆ ก็พบว่าจุดหมายปลายทางนั้น คือห้างสรรพสินค้าในละแวกใกล้บ้าน            การเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้าในยามค่ำนี้ช่างดูน่าเบื่อหน่ายชอบกล อาจเป็นเพราะว่ามีคนคอยติดตามอยู่ในระยะห่างๆ ถึงสองคน มณีศิลาจึงรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นส่วนตัว และแล้วระหว่างที่หญิงสาวแวะเข้าไปทำธุระในห้องน้ำ บางอย่างด้านนอกได้มีการเคลื่อนไหวอย่างเงียบกริบ            "โอ๊ะ! ขอโทษค่ะ" เพราะว่ามัวแต่มองดูสินค้าในร้านเธอจึงไม่ทันระวังคนที่เดินสวนมาด้านหน้า หญิงสาวจึงชนเข้ากับร่างสูงของบางคน จนเกือบจะกระเด็นลงไปนั่งอยู่บนพื้นทางเดิน ดีที่ว่ามือหนาของเขายื่นมารวบเอวคอดของเธอเอาไว้เสียก่อน            "ไม่เป็นไรครับ" น้ำเสียงนุ่มหูกับสายตาทั้งสองที่มองสบกัน มณีศิลากระพริบตาลงสามครั้งจ้องมองเขานิ่งด้วยความรู้สึกใจเต้นระทึก            'คุณเคยเจอรักแรกพบไหม' ประโยคนี้ที่ใครหลายๆ คนเคยพูด มณีศิลาไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นต่อตัวเอง หัวใจที่ไม่เคยหวั่นไหวกับผู้ชายคนไหน กำลังเต้นโครมครามอยู่ข้างใน เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าของเขา ดวงตารีเล็กคู่ตรงหน้าช่างให้ความรู้สึกเย็นชาไร้หัวใจ ริมฝีปากบางได้รูปปราศจากรอยยิ้ม ภาพลักษณ์ของเขาช่างเหมือนเจ้าชายน้ำแข็ง แต่กลับประทับใจมณีศิลา จนแทบจะลืมสิ่งที่อยู่รอบตัวไปเลยทีเดียว            "คุณครับ" "..."มณีศิลามีอาการคล้ายคนตกตะลึงงันต่อคนตรงหน้า เสียงของเขาแทบไม่ผ่านเข้ามาในห้วงคำนึงของเธอ "คุณครับ" เขาเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อหญิงสาวเอาแต่จ้องหน้าเขานิ่ง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงนิ่งอยู่ ชายหนุ่มจึงโยกอ้อมแขนของตัวเองเบาๆ จนอีกคนรู้สึกตัว            "ขอโทษค่ะ ฉันซุ่มซ่ามจริงๆ" มณีศิลารีบฝืนตัวออกจากอ้อมแขนของเขาอย่างอายๆ            "ไม่เป็นไรครับ" คำพูดของเขาช่างเย็นชาจนน่าหลงใหล มณีศิลามองตามแผ่นหลังของเขา ที่หายลับไปในซอกมุมหนึ่งของห้างสรรพสินค้า ก่อนจะกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ชีวิตของเธอกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย จะมามัวเพ้อฝันกับผู้ชายคนหนึ่งไม่ได้ เพราะว่ามันอันตรายเกินไปสำหรับ...เขา หญิงสาวเดินดูสินค้าไปเรื่อยๆ จากหนึ่งร้านเป็นสองร้าน แต่ก็ไม่สามารถเลือกซื้อเป็นชิ้นเป็นอันได้ กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง และมณีศิลาได้ลืมสิ่งสำคัญบางอย่างไปโดยไม่รู้ตัว ลืมไปว่าคนติดตามสองคนได้หายตัวไปจากรัศมีสายตาของตัวเองเสียแล้ว และเมื่อใกล้เวลาห้างสรรพสินค้าใกล้ปิดทำการ มณีศิลาก็เดินตรงไปยังลานจอดรถทางด้านหลัง ที่มีบริการเรียกรถแท็กซี่ให้แก่ลูกค้า โดยมีสายตาของมัจจุราชตามติดอยู่ไม่ห่าง            เคล้ง! เสียงกำไลข้อมือเงินแท้ หลุดออกจากข้อมือเรียวของมณีศิลา ลงไปกลิ้งอยู่ตรงทางเดินของรถ หญิงสาวรีบก้าวเท้าลงจากที่ยืนด้วยความใจหาย เพราะว่ามันเป็นของขวัญวันเกิด ที่มารดามอบให้เมื่อตอนอายุครบยี่สิบปี            บรื๊น! บรื๊น! บรื๊น!            เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มสามครั้ง จากนั้นรถสีดำภายใต้ฟิล์มกรองแสงทึบ ก็พุ่งเข้าใส่ร่างของมณีศิลา ที่กำลังลุกขึ้นยืน จากการเก็บกำไลบนถนนคอนกรีต            โครม!!!            "กรี๊ด!!!"            เสียงหวีดร้องของผู้คนที่ยืนอยู่บริเวณนั้น ส่งเสียงดังขึ้นแทบจะพร้อมกันด้วยความตกใจ เมื่อได้มองเห็นร่างของมณีศิลา กระแทกเข้าไปกับด้านหน้าของตัวรถ ก่อนจะกลิ้งขลุกขลักผ่านกระจกด้านหน้าขึ้นไปอยู่บนหลังคา แล้วหล่นลงทางด้านหลังของตัวรถ ท่ามกลางความตื่นตกใจของคนพบเห็น            ตุบ! ร่างที่ถูกรถพุ่งชนหล่นลงไปนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นถนนคอนกรีต มีเลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากทางปากและจมูก ก่อนสติของคนบนพื้นถนนจะดับวูบลงไป เจ้าหน้าที่ของทางห้างสรรพสินค้า รีบนำร่างของหญิงสาวส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ขณะที่คนขับเหยียบคันเร่งออกจากบริเวณนั้นไปอย่างรวดเร็ว ครองทัพขับรถมุ่งตรงเข้าสู่โกดังร้างย่านบางนาตราด หายเข้าไปในนั้นเพียงสามสิบนาที ก็กลับออกมาพร้อมกับรถคันใหม่สีขาว ที่ป้ายทะเบียนไม่ใช่อันเดิม หลังจากได้รับทราบข่าวร้ายจากทางโรงพยาบาล นายมหิธรถึงกับกำมือแน่นด้วยความโกรธ มีคนพบเห็นลูกน้องที่ตามไปคุ้มครองมณีศิลา นอนสลบอยู่มุมอับของทางห้างสรรพสินค้า เป็นเหตุให้ไม่สามารถคุ้มครองดูแลบุตรสาวของตัวเองได้            "ทำไมไม่ห้ามน้อง" คนเป็นพ่อกระชากน้ำเสียงใส่บุตรชายที่นั่งหน้าเสียอยู่ฝั่งตรงข้าม            "ขอโทษครับพ่อ ผมไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ทั้งที่มีคนตามดูแลถึงสองคน" มโนศิลาเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกเสียใจ            "สะเพร่า" คำด่าของบิดาทำให้มโนศิลาก้มหน้านิ่ง ยอมรับความผิดของตัวเองในครั้งนี้โดยดุษฎี ผู้เป็นบิดาหลับตาลงแน่น ด้วยความรู้สึกสงสารมณีศิลาจับขั้วหัวใจ ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นใหม่อีกครั้ง เมื่อคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้            "แสดงว่าสีมันต์รู้ความจริงแล้ว ว่าลารีไม่ใช่มณีศิลา"            "ถ้างั้น พวกมันไม่ฆ่าลารีหรือครับพ่อ" หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบคั้นอย่างรุนแรง มโนศิลาเอ่ยถามบิดาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ กลัวเหลือเกินในสิ่งที่กำลังจะเกิดต่อลารี            "ฆ่าแน่ ครองภพมันไม่ปล่อยเอาไว้หรอก" นายมหิธรสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ขบกรามเข้าหากันแน่นแม้จะได้รับข่าวว่าบุตรสาวยังไม่ตาย แต่ว่าการโดนรุ่นลูกอย่างตระกูลสีมันต์เล่นงาน มันเจ็บจนจุกหัวอกคนเป็นพ่อทีเดียว            "ส่งคนไปคุ้มกันน้องที่โรงพยาบาลให้มากที่สุด" เขาสั่งบุตรชาย วินาทีนี้ความปลอดภัยของมณีศิลาย่อมต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด            "ครับพ่อ"            ไม่ช้าบุรุษนับสิบคนที่ได้รับมอบหมายคำสั่งให้ไปคุ้มครองมณีศิลา ก็กระจายตัวกันอยู่ตามบริเวณต่างๆ ของทางโรงพยาบาล มีการปลอมตัวเป็นบุรุษพยาบาลบ้าง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบ้าง และส่วนหนึ่งก็นั่งเฝ้าอยู่ด้านหน้าของห้องไอซียู            เพียงแค่ได้เห็นสภาพของน้องสาวบนเตียงไอซียู มโนศิลาถึงกับเข่าอ่อนลง นึกอยากจะทำให้ตัวเองหายไปจากโลกใบนี้ บทเรียนครั้งนี้ราคาแสนแพงนัก ต้องแลกมาด้วยชีวิตของมณีศิลาและลารี ชายหนุ่มซบใบหน้าลงบนฝ่ามือหนาของตัวเอง ร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะทานทนต่อความรู้สึกผิดที่มันเกาะกินหัวใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD