ณ จวนท่านอ๋องหง
ยามโฉ่ว (เวลา 01.00 น. – 02.59 น.) อันเป็นเวลาที่ผู้คนโดยมากต่างพากันหลับใหล
ทว่าที่จวนท่านอ๋องหงในตอนนี้กลับปรากฏแต่ความโศกเศร้า ด้วยท่านอ๋องและบุตรสาวนั้นมาป่วยด้วยโรคประหลาดพร้อม ๆ กัน
ท่านอ๋องหงครองตัวโสดมาร่วมสิบปีนับแต่ชายาสิ้นชีพไปด้วยป่วยไข้ ทิ้งไว้ก็แต่ธิดาเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงให้ท่านอ๋องไม่ตรอมใจตายตามชายาอันเป็นที่รัก
หงหลันฮวา คือชื่อของนาง
ธิดาท่านอ๋องนางนี้งามยิ่งนัก ยิ่งเติบใหญ่ยิ่งงามสะคราญลือลั่นไปทั่วเมือง แต่สุขภาพนางกลับอ่อนแอจึงถูกเลี้ยงเป็นไข่ในหิน บ่าวไพร่ล้อมรอบ
ท่านหญิงหลันฮวาใช่จะงามแต่ภายนอก ภายในของนางก็ยิ่งงามจับใจ นางเป็นผู้มีจิตเมตตาเช่นเดียวกับท่านพ่อของนาง บ่าวไพร่รับใช้ก็ต่างพากันรักและเทิดทูนนางเป็นยิ่งนัก
กระทั่งเมื่อปีกลาย นางได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงในชีวิต
ท่านหญิงไปไหว้พระที่วัดตามปกติ และได้พบหญิงนางหนึ่งท่าทีสกปรกนอนอยู่ริมทาง หญิงนางนั้นสะอื้นไห้และเอ่ยขอเบี้ยนางเพื่อไปซื้ออาหาร นางว่ามิได้มีสิ่งใดตกถึงท้องถึงสามราตรีแล้ว
นางผู้นั้นมีชื่อว่า อิงเยี่ย
ความใจอ่อนขี้สงสาร จากคำวอนขอแค่เบี้ยไปซื้ออาหารกลับกลายเป็นขอที่ซุกหัวนอน ขอไปเป็นบ่าวรับใช้ ความมีน้ำใจเมตตาทำให้ท่านหญิงตกลงใจรับอิงเยี่ยเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้อีกคน
เมื่อได้อาบน้ำอาบท่าชำระคราบไคล อิงเยี่ยก็จัดได้ว่าเป็นสาวงามนางหนึ่ง นางเล่าให้ท่านหญิงฟังว่าอายุได้สามสิบปี มีสามี มีลูกสามคน มีอาชีพค้าขาย แต่โดนโจรปล้นในขณะที่กำลังเดินทางไปขายของต่างเมือง ทุกคนถูกสังหารยกเว้นแต่นางที่ถูกกระบี่ของโจรชั่วเช่นเดียวกันแต่ไม่ตาย หากความที่นางสลบพวกมันจึงคิดว่าปลิดชีพนางแล้ว
หน้าที่ของอิงเยี่ยคือทำความสะอาดในบริเวณบ้าน แรกนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ชักจะไม่ดีเมื่อมีข้ารับใช้หลายท่านพูดกันถึงหูท่านหญิงว่าอิงเยี่ยกับท่านอ๋องผู้เป็นบิดามีสัมพันธ์กันเกินนายบ่าว
“ คงไม่เป็นไร ท่านพ่อเองก็เหงามานาน มันก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชายมิใช่หรือ ” หลันฮวาว่าเมื่อได้ยินจิ้นซินสาวใช้มารายงาน
“ มันมิใช่เพียงเท่านั้นน่ะสิเพคะ กระหม่อมเกรงว่านางอิงเยี่ยผู้นี้จะมิใช่ธรรมดา ดูแววตาของนางมันแปลก ๆ เสมือนดวงตาของงูอย่างไรอย่างนั้น ดูไม่น่าเชื่อถือ ” ท่านหญิงหัวเราะร่วน
“ เจ้าคิดมากไปแล้วอาซิน ไปเดินเล่นในสวนกัน สมองเจ้าจะได้ปลอดโปร่ง ”
และหลังจากนั้นไม่นาน คำของสาวใช้ก็เป็นจริง
ท่านอ๋องยกย่องอิงเยี่ยเป็นชายา !
นั่นหมายถึงว่า สตรีข้างถนนในวันนั้นได้กลายมาเป็นแม่เลี้ยงของหลันฮวาในวันนี้
แม้ว่าจะมิได้มีพิธีแต่งงานแต่งการอะไรใหญ่โต มิได้ยกย่องออกหน้าออกตา แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าท่านอ๋องนั้นหลงใหลนางมากเหลือเกิน เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้เลยทีเดียว
ท่านอ๋องเปลี่ยนไปมากราวคนละคนและอิงเยี่ยก็เช่นกัน
เมื่ออำนาจอยู่ในมือ ทุกสิ่งก็พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังเท้าทันที
ธาตุแท้ของอิงเยี่ยถูกเผย นางเกรี้ยวกราดจองหองกับบ่าวไพร่ กดขี่ข่มเหงดูถูกเอาแต่ใจสารพัด สูบเงินทองของท่านอ๋องไปใช้อย่างฟุ่มเฟือย
ท่านอ๋องเองก็ดูผิดแปลก มิรู้ดีรู้ชอบ แม้บุตรสาวจะแจ้งว่าผู้เป็นชายาประพฤติตัวไม่เหมาะสมแต่ท่านก็หาได้รับฟังไม่ กราดเกรี้ยวเข้าใส่ เหม่อลอย สุดท้ายก็ล้มหมอนนอนเสื่อราวกับผัก สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าท่านอ๋องยังมีชีวิตก็คือการลืมตาและอกยังกระเพื่อมขึ้นลงเบา ๆ เท่านั้น แม้จะจ้างหมอไม่รู้กี่คนต่อกี่คนมาดูอาการก็ไม่ดีขึ้น กระทั่งฮ่องเต้ทรงเมตตาให้ท่านหมอหลวงมาดูอาการอย่างใกล้ชิด หากอาการก็มีแต่ทรงกับทรุด
ราวกับว่าสวรรค์จะไม่เห็นใจ ทั้งยังใจร้ายเป็นยิ่งนัก เพราะท่านหญิงหลันฮวาที่เข้าไปดูแลท่านพ่อเมื่อสองวันก่อน อยู่ดี ๆ กลับทรุดฮวบหมดสติโดยมิมีสาเหตุ และกลายเป็นหลับใหลจนกระทั่งยามนี้
“ ชีพจรท่านหญิงเต้นอ่อนลงเรื่อย ๆ มิมียาขนานใดจะเยียวยาได้หรอก ไม่มี ” นั่นคือคำตอบของท่านหมอหลวงที่น่าแปลกใจเป็นยิ่งนัก
นางหมดสติไปเมื่อสองวันที่แล้วจนกระทั่งบัดนี้
“ ท่านองครักษ์เหว่ยเจ้าคะ ไปพักเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าน้อยจะเฝ้าท่านหญิงต่อให้เอง ” จิ้นซินผู้เป็นสาวใช้ประจำตัวของท่านหญิงเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นองครักษ์เหว่ย หรือตงหลิวเหว่ย องครักษ์ของท่านอ๋อง และเป็นคู่รักลับ ๆ ของท่านหญิงด้วย
เหตุก็เพราะว่าบรรดาศักดิ์ที่แตกต่าง แรกนั้นท่านอ๋องไม่ได้มีทีท่าจะกีดกั้น แต่เหตุการณ์ก็กลับตาลปัตรเมื่อถิงเยี่ยได้ครองตำแหน่งชายา นางกลับยุยงให้ท่านอ๋องผู้เป็นบิดายกท่านหญิงให้กับอ๋องเค่อ แคว้นเขว่อซันซึ่งแก่เฒ่าใกล้จะลงโลงแต่กลับมักมากในกาม ข้อดีอย่างเดียวคืออ๋องเค่อร่ำรวยและมีสินทรัพย์มากมายเหลือเกิน
มือใหญ่ของหลิวเหว่ยกุมกระชับมือเล็ก ๆ อันซีดเซียวของท่านหญิงอันเป็นที่รักไว้แน่น ดวงตาคมกริบที่อยู่ภายใต้คิวเข้มงามจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าหวานที่หลับสนิทของนางมาหลายชั่วยาม
“ ข้าไม่เหนื่อยหรอกอาซิน ข้าอยากอยู่ตรงนี้ อยากให้ท่านหญิงเห็นหน้าข้าเมื่อยามตื่น ” เสียงทุ้มเอ่ยเบา ๆ ทว่ามันบีบหัวใจอาซินสาวใช้เหลือเกิน
ดวงตาของสาวใช้หลั่งน้ำตาด้วยความโศกเศร้า และฉายประกายโกรธเกรี้ยวเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนกับบ่าวไพร่คนอื่นมักจะพูดกันลับหลังผู้เป็นนายอยู่เสมอ
พวกเขาเชื่อเหลือเกินว่า ชายาคนใหม่ของท่านอ๋องนั่นแหละเป็นผู้วางยาทั้งท่านอ๋องและธิดาของท่าน !
“ หยุดร่ำไห้เถอะอาซิน ประเดี๋ยวท่านหญิงเกิดได้ยินก็ตกอกตกใจไปหรอก ” องครักษ์หนุ่มว่าเมื่อได้ยินสาวใช้สะอื้นไม่หยุด
“ ท่านองครักษ์เจ้าคะ ขอข้าน้อยพูดอะไรสักนิดเถอะเจ้าค่ะ ”
“ พูดมาเถอะอาซิน ” นางขยับเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม แล้วลดเสียงให้เบาลง
“ ข้าน้อยรู้ว่าอาจไม่เหมาะสม แต่พวกเราบ่าวไพร่สงสัยกันว่า ท่านอ๋องและท่านหญิง จะโดนพระชายาวางยาเจ้าค่ะ ”
“ ข้าก็พอได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง ” นั่นทำให้สาวใช้ตาโต
“ จริงหรือเจ้าคะ แล้วท่านองครักษ์คิดเห็นว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ ”
“ ยังมิมีหลักฐานพิสูจน์ได้ ข้าไม่อยากคิดอะไรเพื่อเป็นการปรักปรำใคร ” หลิวเหว่ยกล่าวเรียบ ๆ แต่ภายในใจหาได้คิดเช่นนั้นไม่