ตอนที่ 3

1157 Words
บริเวณด้านหน้าโรงงานผลิตอาหารสัตว์ที่ใหญ่สุดในย่านถนนสุวินทวงศ์ ในช่วงเวลาใกล้เลิกงานคลาคล่ำไปด้วยพนักงานที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมาออกันอยู่ที่บริเวณทางออก พวกเธอเหล่านั้นชะเง้อชะแง้เข้าไปในบริเวณโรงงานเหมือนจะรอคอยใครหรืออะไรบางอย่างที่จะเคลื่อนตัวออกมาจากด้านในของโรงงาน           แต่จนแล้วจนรอด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปจนถึงเวลาเลิกงานและเลยไปอีกกว่าครึ่งชั่วโมง อะไรหรือใครบางคนที่รอคอยอยู่นั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกมาให้เห็น จนพวกเธอต้องหันไปปรึกษากันก่อนจะตกลงสลายตัวและพากันแยกย้ายออกจากด้านหน้าโรงงานไป           นิ้วมือละออกจากมูลี่ที่ใช้บังแดดและยังให้บังสายตาจากบุคคลด้านนอกได้เป็นอย่างดี ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะส่ายศีรษะและเดินมาหยุดที่บริเวณหน้าโต๊ะทำงาน ดวงตาคมเข้มกวาดมองสิ่งของที่กองรวมกันอยู่บนโต๊ะจนกินพื้นที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของโต๊ะทำงาน มองอย่างชั่งใจชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง คิดไม่ตกว่าควรจะเอาสิ่งของพวกนี้ไปไว้ที่ไหนดี เพราะนี่แค่บางส่วนยังไม่รวมอีกกว่า 50 ชิ้นที่อัดแน่นอยู่ในรถยนต์ของเขา           “ไม่ชอบเทศกาลนี้เลย เฮ้อ!”           บอกตัวเองแต่ก็ยังไม่หายหงุดหงิด เพราะตั้งแต่เช้าที่เข้าไปมหาวิทยาลัยเพราะมีสอนนักศึกษาในช่วงเช้า เขาก็ต้องหอบเอาสารพัดตุ๊กตา ช็อกโกแลต และของขวัญมากมายที่บรรดานักศึกษาทั้งสาวแท้สาวเทียมเอามามอบให้ ยังไม่นับที่วางเรียงรายอยู่บริเวณท้ายรถยุโรปสุดหรูของเขาอีก           และเมื่อถึงช่วงบ่ายที่ต้องมาทำงานที่บริษัทเอกชนแห่งนี้เพราะเขาเป็นที่ปรึกษาเรื่องส่วนผสมอาหารสัตว์ ก็ไม่พ้นที่ต้องมาเห็นสิ่งของมากมายเหล่านี้บนโต๊ะทำงานอีก และแน่นอนถ้าเขาเกิดออกจากห้องไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน รับรองได้ว่ากว่าจะสามารถพารถให้เคลื่อนออกจากโรงงานได้ก็คงจะเป็นช่วงเวลานี้เหมือนกัน ดังนั้นเลือกแอบอยู่แบบนี้จะดีกว่า           “ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือคะดอกเตอร์ สาวๆ มารอมอบของขวัญกันตรึม ดอกเตอร์เล่นหลบแบบนี้ สาวๆ เขาก็เสียความตั้งใจแย่”           “ดร.ทิเบต สิขริน วิลเลี่ยมส์” นักวิชาการพันธุ์พืชสุดหล่อของมหาวิทยาลัยชื่อดัง หันมอง ‘วารุณี’ ผู้บริหารโรงงานอาหารสัตว์แห่งนี้ ที่ยืนยิ้มทำสีหน้าล้อเลียนเขาอยู่หน้าประตูห้อง           “โธ่! พี่ณีครับ ผมไม่ไหวจริงๆ นะครับ ในรถอีกตั้งเยอะ ไหนจะของพวกนี้อีก ถ้าผมออกไปรับมีหวังต้องขอให้รถของโรงงานขนของขวัญไปให้ที่บ้านแน่ๆ”           “ก็คนหล่อนี่คะ ต้องทำใจหน่อย แล้ว 1 ปีมีวันเดียวเสียด้วย วันแสดงความรักน่ะ สาวๆ ที่โรงงานพี่เขาก็อยากแสดงความรักกับคนหล่อบ้าง ก็ช่วยไม่ได้นี่คะที่ดอกเตอร์ยังโสดอยู่ ลองไม่โสดสิ ความนิยมจะได้ลดไปมากกว่าครึ่ง เหมือนพวกดารานายแบบไงคะ แต่เอ... หรืออาจจะไม่แน่ก็ได้ สมัยนี้สาวๆ เขาถือคติ ไม่โสดยิ่งแซ่บ”           “พี่ณีก็ ล้อผมเล่นเรื่อยเลย แล้วพี่ณีมีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ ไม่ไปรับลูกที่โรงเรียนเหรอ”           เขาถามเพราะทราบดีว่าวารุณีนั้นเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่พยายามให้ความรักและความอบอุ่นแก่ลูกให้มากที่สุด และ ‘ขึ้นฉ่าย’ ลูกชายวัยรุ่นของเธอก็กำลังอยู่ในช่วงหัวเรี่ยวหัวต่อ วารุณีจึงต้องพยายามเป็นทั้งแม่และพ่อ ดูแลเอาใจใส่ลูกทุกอย่าง ช่วงเวลานี้ของทุกวันจึงเป็นเวลาที่เธอจะต้องไปรับลูกกลับจากโรงเรียน           “ไปรับมาแล้ว เล่นคอมฯ อยู่ที่ห้องพี่น่ะ ดอกเตอร์... พี่มีเรื่องอยากจะปรึกษา”           “ครับพี่ ผมไม่ได้รีบอะไร อย่างว่าล่ะครับคนมันโสดก็อย่างนี้แหละ” ทิเบตเอ่ยอย่างกระตือรือร้นเมื่อเห็นแววกังวลใจและเกรงใจปรากฏอยู่บนใบหน้าของวารุณี           และสิ่งที่วารุณีมาปรึกษาก็ทำให้ทิเบตต้องเก็บเอามาครุ่นคิดตลอดระยะทางขับรถออกจากโรงงานมาจนถึงที่บ้าน เขาออกจะอึ้งด้วยซ้ำเมื่อได้ฟังเรื่องของเธอ รู้สึกเห็นใจคนที่มีสถานะเป็นแม่ เพราะรู้ว่าเธอต้องทลายความอายที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ออกมา และก็ต้องยอมรับว่าเธอกล้าหาญและเป็นคุณแม่ที่ดีมาก ที่กล้าปรึกษาเรื่องนี้กับคนอื่น ไม่ปล่อยให้จุดความสงสัยเล็กๆ ลุกลามกลายเป็นดวงไฟใหญ่โตที่อาจเผาผลาญอนาคตของเด็กชายที่กำลังเจริญเติบโตคนหนึ่งได้           ‘ดอกเตอร์... มีทางช่วยพี่ได้ไหม ไม่ใช่ว่าพี่รับไม่ได้หรอกนะในเรื่องนั้น หากเขาจะเป็นจริงๆ แต่พี่ก็อยากให้แน่ใจว่า... มันจะไม่ใช่พฤติกรรมเลียนแบบ’           ‘พี่ณีใจเย็นๆ ก่อนนะครับ มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ ขอผมลองปรึกษาเพื่อนๆ ดูก่อนนะครับ เอ่อ... ผมมีเพื่อนลักษณะนี้อยู่หลายคนน่ะครับ แต่อย่างหนึ่งที่อยากบอกให้พี่ณีรู้ไว้ก็คือ คนเหล่านี้เขาเป็นคนพิเศษนะครับ ถ้าเขาได้รับการดูแลที่ดี ได้รับกำลังใจจากคนรอบข้างโดยเฉพาะคนในครอบครัว เขาจะไม่ทำให้เราผิดหวัง ผมเชื่อแบบนั้น’           ‘พี่เข้าใจค่ะ ไม่อย่างนั้นพี่กับพ่อของเขาคงฆ่ากันตายไปข้างหนึ่งแล้วล่ะ แต่เพราะพี่เข้าใจเราเลยยังเป็นเพื่อนกันได้ถึงตอนนี้ไงคะ แต่จะให้พี่เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเขาก็ไม่ได้หรอกนะ พี่ก็เห็นมีแต่ดอกเตอร์นี่แหละที่พี่จะปรึกษาได้ ช่วยพี่หน่อยนะคะ พี่ไม่รู้ว่าจะไปพึ่งพาใครแล้ว’           “เฮ้อ!”           เรื่องราวของวารุณีที่เขามีส่วนได้รับรู้ยิ่งทำให้ทิเบตต้องผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหนักใจแทน วารุณีจัดเป็นผู้หญิงที่อาจโชคไม่ดีนัก เมื่อสามีของเธอรู้ตัวว่าเป็น ‘เกย์ควีน’ ทั้งที่แต่งงานอยู่กินกับเธอจนมีลูกชายด้วยกันแล้วหนึ่งคน ซึ่งก็คือ ‘ขึ้นฉ่าย’ แต่วารุณีก็ยังมีความโชคดีที่เธอเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่ไม่ได้มองคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนผิดปกติ           เธอมองว่านั่นคือสิ่งที่มนุษย์ย่อมเป็นได้ เธอรับได้ในสิ่งที่สามีเป็น และตกลงที่จะเป็นเพื่อนและทำหน้าที่ ‘พ่อแม่’ ให้กับลูกชายคนเดียวอย่างดีที่สุด และตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทั้งวารุณีและ ‘ภาษิต’ ก็ไม่เคยละทิ้งหน้าที่กับลูก      
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD