ด้านแฟรงค์ เมื่อได้ลายเซ็นของอันรดาบนสัญญาจ้างงานแล้ว ก็ถือว่างานของเขาเสร็จสิ้นเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงกลับขึ้นไปบนห้องพัก เพื่อเก็บของและเดินทางไปสนามบิน เขาตั้งใจจะรายงานให้ภามทราบเมื่อเขาไปถึงกรุงเทพฯ ทว่าขณะที่กำลังจะออกจากห้อง โทรศัพท์ของเขากลับดังขึ้นเสียก่อน
“เธอเซ็นสัญญาหรือเปล่า?”
แฟรงค์ตอบกลับทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลานึกว่าภามกำลังถามเขาเรื่องอะไร
“ครับบอส เธอเซ็นเรียบร้อยแล้วครับ เราเพิ่งคุยกันจบเมื่อครู่” เขาตอบพร้อมกับถอนหายใจเสียงดัง จนภามรับรู้ได้
“นายเป็นอะไร” ปลายสายถาม
“บอสครับคือ… เธอ... อืม เธอมีลูกสองคนครับ” แฟรงค์ตอบตะกุกตะกัก
ภามเงียบเสียงไปเกือบหนึ่งนาทีกว่าที่แฟรงค์จะได้ยินถ้อยคำจากปลายสาย “ทำไมนายถึงรายงานฉันเรื่องนี้ เราจ้างเธอมาทำงานและตราบใดเธอยังทำงานได้ดี นั่นมันไม่สำคัญ” ตามด้วยคำพูดที่ว่า “ฉันไม่ใช่คนที่จะดูถูกผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว” ภามตัดสายไปทันที
“ฉันนึกว่าจะเจอผู้หญิงที่จะมาละลายน้ำแข็งได้แล้วเสียอีก เฮ้อ!” แฟรงค์ถอนหายใจก่อนก้าวผ่านประตูห้องออกไป
……
อันรดาบอกเรื่องงานใหม่กับป้าและลูกแฝดในวันต่อมา ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับของอรพิชาก็แค่ยิ้มและพูดว่า “ป้าเชื่อการตัดสินใจของรดาจ้ะ”
มีเพียงฝาแฝดเท่านั้นที่มีสีหน้างุนงง ฉะนั้นอันรดาจึงอธิบายเพิ่มเติม “ลูก ๆ จ๋าแม่ได้งานใหม่แล้วและเราได้ที่พักฟรีในโรงแรมด้วยนะ บวกกับเงินเดือนที่เขาเสนอให้แม่ได้เยอะกว่าที่เดิมมากเลยลูก แม่สามารถซื้อกระเป๋าใหม่ให้ลูกและบางที... อาจจะซื้อรถด้วยจ้ะ”
“ว้าว!… คุณแม่ขา น่าตื่นเต้นมากเลยค่ะ!” เอลลี่อุทานอย่างมีความสุข
“มันเป็นโรงแรมใหม่เหรอครับแม่?” อชิถาม
“อืม... อันที่จริง... เรากำลังจะย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพจ้ะ” อันรดาบอก ดวงตาของเด็ก ๆ ถึงกับเป็นประกาย ทั้งอชิ ทั้งเอลลี่ต่างมองหน้ากันและพูดพร้อมกันว่า
“พ่อ!”
“ในที่สุดเราก็จะได้ไปหาพ่อแล้ว!” เอลลี่พูดอย่างตื่นเต้น
ฝ่ายอชิกลับถอนหายใจเล็กน้อย “มันถึงเวลาแล้ว!” ท่าทางของเด็กชายคล้ายผู้เฒ่าที่ผ่านชีวิตมามากมาย
“แม่คะ พ่อตื่นเต้นไหมที่จะได้พบเรา” เอลลี่ถามด้วยแววตาเป็นประกาย
อันรดาอ้าปากค้าง จู่ ๆ เธอก็รู้สึกคอแห้งจึงหันไปหาอรพิชาเพื่อขอความช่วยเหลือ
“แม่ครับ?” อชิรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“อืม... แม่ยังไม่ได้บอกพ่อของลูกเลย พ่อเขางานยุ่งมากเลยลูกช่วงนี้ ดูเวลาสิใกล้ถึงเวลาที่แม่จะเข้างานแล้ว!” อันรดาหาข้อแก้ตัวด้วยการตัดบทบอกว่าต้องทำงาน เพราะเธอรู้ว่าลูก ๆ มีความต้องการที่จะพบพ่อของพวกเขามากแค่ไหน มิหนำซ้ำยังรู้ดีว่าความปรารถนาของเด็กทั้งสองคงไม่มีทางเป็นจริง ถึงกระนั้น เธอก็ยังไม่กล้าที่จะบอกความจริงออกไปอยู่ดี
หลังจากที่อันรดาออกไปแล้ว เอลลี่และอชิก็ไปรวมตัวกันในห้องนอน อชิเอนหลังพิงศีรษะกับพนักเตียงพลางเขียนบางอย่างลงในไอแพดของเขา
เอลลี่ถามว่า “พี่อชิกำลังทำอะไร?”
“พี่กำลังเขียนทุกอย่างที่แม่พูดเกี่ยวกับพ่อ เมื่อเราพบคนที่ใช่แล้ว เราก็จะรู้ว่าเขาเป็นพ่อของเราแน่นอน” อชิพูด “ถ้าพ่อยุ่งเกินกว่าจะมาเจอเรา เราก็ต้องไปหาเขาเอง เธอไปกับพี่ไหมเอลลี่?”
“แน่นอน!” เอลลี่พูดก่อนที่ทั้งสองจะยกมือขึ้นมาไฮไฟฟ์เป็นสัญญา “พ่อ! พวกเรากำลังไปหาพ่อนะคะ”
…
อันรดาใช้เวลาหนึ่งเดือนในการส่งต่อเนื้อหางานให้หัวหน้าเชฟคนใหม่ วันสุดท้ายที่เธอไปทำงาน ลูกทีมทุกคนก็ชวนกันไปเลี้ยงส่ง หญิงสาววางกำหนดการเดินทางไปกรุงเทพฯ หลังจากนี้อีกสองสามวัน เนื่องจากต้องเก็บข้าวของและจัดการเรื่องบ้านให้เรียบร้อย ป้าอรพิชาต้องเดินทางไปกับเธอด้วย ฉะนั้นอย่างน้อยก็ต้องจ้างคนให้คอยเข้ามาดูแลบ้าน แม้ตอนแรกป้าเคยเปรย ๆ ว่าอยากจะปล่อยเช่า แต่เพราะมีข่าวเรื่องผู้เช่าชักดาบแถมยังสุมขยะไว้เต็มบ้านอยู่ไม่น้อย เรื่องนี้จึงต้องชะลอไปก่อน
คนทั้งสี่ใช้เวลาเดินทางด้วยเครื่องบินเพียงชั่วโมงกว่า ๆ ก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ครั้นออกจากเกตมาได้ อันรดาก็ถามลูกสาวตัวน้อยว่า “เอลลี่ลูกกำลังมองหาอะไรอยู่จ๊ะ?” เพราะเด็กหญิงมองซ้ายมองขวากระสับกระส่าย เฝ้ามองทุกคนที่ผ่านไปมา เหมือนจะหาอะไรสักอย่างมากกว่ามองด้วยความตื่นเต้นกับสถานที่ซึ่งไม่เคยเห็น
เอลลี่หน้าตาคล้ายเธอ เด็กหญิงมีผมหยักศกสีดำล้อมกรอบหน้าเล็ก ๆ ส่งผลให้เธอดูน่ารักราวกับนางฟ้าตัวน้อย
ครั้นได้ยินคำถาม เธอจึงเขย่ามือของอันรดาซึ่งจับจูงเธออยู่พร้อมพูดว่า “แม่คะ พ่อจะมารับเราไหมคะ”
อันรดารู้สึกจุกในลำคอทันที เธอหันไปหาอรพิชาที่กำลังอุ้มอชิอยู่ ถึงได้เห็นว่าป้าอรพิชากลอกตาใส่ ฝ่ายอชิก็ดูเหมือนจะรอคอยคำตอบจากเธอเช่นกัน
“พ่อของพวกลูกเดินทางไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศจ้ะ” เธอพยายามดึงความสนใจของสองพี่น้องด้วยการพูดว่า “ดูสิลูก ว่ามีใครรอรับพวกเราอยู่ คุณย่าทวดของลูก ๆ จ้ะ”
อันรดาพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย เอลลี่แทบจะถลาออกไปทันที ถ้าไม่ใช่เพราะเธอจับมือเด็กหญิงไว้ เอลลี่คงแปลงร่างกลายเป็นขีปนาวุธลูกน้อย ๆ พุ่งเข้าหาเดือนอุษาเป็นแน่
“คุณย่าทวดคะ! คุณย่าทวดสวัสดีค่ะ!” เอลลี่เรียกอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปล่งประกายแห่งความสุข เมื่ออันรดายอมปล่อยมือ เธอก็กระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของเดือนอุษาทันควัน
เดือนอุษาตอนนี้อายุเจ็ดสิบสองปีแล้ว ไม่สามารถเดินทางระยะไกลได้ แต่ก็แข็งแรงตามวัย หญิงชราถึงกับน้ำตาไหลเมื่อได้กอดเด็กหญิงตัวน้อย เดือนอุษามองไปที่อันรดาและเอื้อมมือไปหาเธอ “รดาย่าคิดถึงหนูมาก คิดถึงหนูเหลือเกิน”
“หนูก็คิดถึงคุณย่ามากเหมือนกันค่ะ” อันรดาตอบก่อนจะเดินเข้าไปกอดคุณย่า