สอง
แค่การหยอกเย้ากับน้องสาว
ครึ่งชั่วยามก่อนหน้านั้น
“คุณหนู เรายังไม่ไปกันอีกหรือเจ้าคะ”
ชิวชิวเห็นว่างานเลี้ยงเริ่มแล้ว และอีกไม่นานก็จะถึงเวลาพิธี ทว่านายของตนกลับนั่งอ่านหนังสือบนตั่งอย่างเอื่อยเฉื่อย ไร้ความตื่นเต้นหรือกระตือรือร้นใดๆ
ดวงตาดอกท้อเคลื่อนจากตัวอักษรในหนังสือมาสบตาสาวใช้ประจำตัว “รออีกหน่อย”
วันนี้จางเหนียนถือว่าเป็นตัวเอกของงาน หากนางต้องการเป็นจุดสนใจก็ต้องปรากฏตัวให้ช้าเข้าไว้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนดังที่ผู้เป็นสาวใช้ว่า
ชิวชิวประหลาดใจกับท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งนางและสาวใช้ในเรือนแห่งนี้ต่างรู้กันดีว่าคุณหนูรองเป็นคนขี้เหงามากเพียงไร
นับตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัยเด็กสาว จางเหนียนก็ไม่ค่อยได้ออกจากเรือนพักของตนเอง โอกาสที่จะได้พบปะผู้คนจากนอกคฤหาสน์จึงมีน้อย กระทั่งพี่น้องต่างมารดาที่ได้พบในเดือนหนึ่งยังนับครั้งได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงกระตือรือร้นทุกครั้งที่มีการจัดงาน แม้จะออกไปพบหน้าผู้คนแล้วถูกติฉินนินทาก็ไม่หวั่น
มิหนำซ้ำ...พิธีปักปิ่นวันนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่ ‘คนผู้นั้น’ จะมาร่วมงาน
ชิวชิวคิดว่าคุณหนูของตนคงมัวแต่คิดถึงพิธีปักปิ่นจนเผลอลืมเรื่องนี้ไป ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยเตือนอีกฝ่ายด้วยความหวังดี
“แต่ว่า... วันนี้คุณชายหลี่อาจจะมาร่วมงานก็ได้นะเจ้าคะ”
กึก!
ผู้ที่นั่งอ่านตำราด้วยท่าทีเกียจคร้านชะงักงัน สองมือบางที่กุมหนังสือเกร็งแน่นจนสั่นเทา
หลังจากตายแล้วย้อนเวลากลับมาถึงสี่รอบ จางเหนียนก็เกือบลืมไปแล้วว่าตนเองเคยชมชอบบุรุษดังกล่าว
ผู้ที่ชิวชิวเอ่ยถึงคือบุตรชายจากตระกูลหนานหลี่ หลี่เฉิงถิง
หลี่เฉิงถิงอายุมากกว่านางห้าปี เป็นสหายกับพี่ชายของนางมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเขาจึงมักจะมาเที่ยวเล่นที่คฤหาสน์สกุลจางเป็นประจำ และเนื่องจากจางอวี้ติดนางมาก นางจึงพลอยได้รับโอกาสเที่ยวเล่นและใกล้ชิดกับเขาไปด้วย
การที่จางเหนียนปลาบปลื้มในตัวหลี่เฉิงถิงนั้นไม่แปลก เพราะนอกจากพี่ชายแล้ว เขาก็เป็นบุรุษคนเดียวที่นางรู้จักและสนิทสนมเป็นอย่างดี
ครั้นนึกย้อนถึงอดีตอันสวยงามในวันวาน ใบหน้างามพริ้มของจางเหนียนกลับระบายด้วยรอยยิ้มขื่นขม
ในชีวิตแรกนางที่สูญเสียพี่ชายกับมารดาได้แต่งงานกับหลี่เฉิงถิงสมใจปรารถนา ภายใต้เงื่อนไขที่บิดากำหนดไว้ว่า...หลี่เฉิงถิงจะต้องแต่งงานกับจางลี่ด้วยอีกคน
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นความทุกข์ตรมอย่างแสนสาหัส จวบจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของชีวิตที่ถูกพรากไปอย่างน่าอเนจอนาถ
“คุณหนู!”
เสียงร้องอย่างตกใจของชิวชิว ส่งผลให้จางเหนียนชะงัก เพิ่งรู้ตัวว่าน้ำตาไหลออกมาจากดวงตา
“คุณหนูร้องไห้ทำไมเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร” นางตอบเสียงเรียบพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเบาๆ “หน้าข้าเปื้อนหรือไม่”
ชิวชิวมองดวงตาฉ่ำวาวของหญิงสาวอย่างเป็นห่วง กวาดสำรวจใบหน้าอันไร้ที่ตินั่นแล้วส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่เปื้อนเจ้าค่ะ”
“ดี” ในที่สุดจางเหนียนก็หยัดกายยืนขึ้น “เอาผ้าคลุมมาให้ข้า”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทยื่นผ้าขาวผืนโปร่งส่งให้หญิงสาว
จางเหนียนกลัดปลายผ้าเข้ากับเครื่องประดับบนศีรษะของนางอย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังจัดให้สวยงามราวกับเป็นชุดเดียวกันกับอาภรณ์สีนวลที่สวมใส่
เนื่องจากชีวิตที่สามนางตัดสินใจหนีออกจากคฤหาสน์สกุลจาง ทำงานรับจ้างสารพัดรวมถึงการปักเย็บผ้าเพื่อหารายได้ประทังชีวิต จนสุดท้ายสามารถเก็บเงินซื้อโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งแถบชายแดน ดังนั้นทักษะการเย็บปักของนางจึงเก่งขึ้นมาก ทั้งที่ก่อนหน้านี้แม้กระทั่งเข็มยังไม่กล้าจับเพราะกลัวถูกเข็มตำ
หญิงสาวยกยิ้มนิดๆ เมื่อนึกถึงสภาพแวดล้อมที่บีบบังคับคุณหนูในห้องหอที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อให้กลายเป็นคนที่ฮึดสู้ชีวิตขึ้นมา
สี่ครั้ง... นางต้องเผชิญหน้ากับความตายถึงสี่ครั้ง
ครั้นร่างบอบบางก้าวเดินไปถึงหน้าบานประตู แววตาที่เคยสั่นไหวของหญิงสาวก็กลับคืนสู่ความราบเรียบ
หลังจากก้าวออกไปจากห้องนี้ ก็คือสมรภูมิรบของจริง
แต่ชีวิตที่ห้านี้ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา นางมีเป้าหมายในการปกป้องพี่ชายกับมารดา ความปรารถนาที่จะปกป้องใครสักคนมันรุนแรงมากกว่าการเอาชีวิตรอด ในเมื่อไม่มีสิ่งใดจะรับประกันได้ว่าหากนางตายอีกครั้งจะได้รับโอกาสย้อนเวลากลับมาที่ช่วงเวลานี้เหมือนเดิม นางก็มิอาจปล่อยให้เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นโดยเด็ดขาด
“ไปกันเถิด”
ชิวชิวซึ่งยืนนิ่งอยู่นานพลันได้สติ มองแผ่นหลังที่ตั้งตรงของจางเหนียนก็สัมผัสได้ถึงความหนักแน่นเด็ดขาด แลดูทรงพลังจนน่าเลื่อมใส
เรือนที่จางเหนียนพักอาศัยอยู่ในส่วนที่สามของคฤหาสน์ การจะเดินทางไปยังเรือนใหญ่ซึ่งเป็นเรือนรับรองในการจัดงานเลี้ยงจำเป็นต้องเดินผ่านระเบียงทางเดินซึ่งตัดผ่านสวนและบ่อน้ำขนาดใหญ่ ทอดยาวไปจนถึงลานกว้างหน้าเรือนรับรองซึ่งบัดนี้น่าจะมีแขกเหรื่อมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น
สตรีในชุดสีกลีบบัวก้าวเดินอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ดวงตาทอดมองภาพของสวนพฤกษาเขียวขจีสดใสอย่างผ่อนคลาย ปอยผมที่หลุดออกมาจากทรงเกล้าสูงขยับไหวไปมาตามจังหวะการขยับตัว
ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังชื่นชมความงามที่เกิดจากการใช้เงินตรามหาศาลในการทำนุบำรุงมาถึงห้ารุ่น หางตาพลันเหลือบเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างตรงเสาตรงหัวมุมระเบียงทางเดินเข้าเสียก่อน
“อา...” จางเหนียนพึมพำ ริมฝีปากสีแดงสดคลี่ยิ้มกว้าง
จางลี่ น้องสาวที่น่ารัก...ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน
ภาพของอิสตรีที่กลั่นแกล้งนางตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นสาวสะพรั่งวาดผ่านห้วงคำนึง
ตั้งแต่การกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ อย่างการปรุงอาหารให้เค็มและเผ็ดจัดในระหว่างที่ร่วมโต๊ะอาหารพร้อมหน้าทั้งครอบครัว แกล้งเอาเศษกระเบื้องที่แตกใส่รองเท้า ทำให้นางบาดเจ็บจนไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นกับพี่ชายในงานเทศกาล จนกระทั่งมันทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อพวกนางแต่งเข้าจวนแม่ทัพหลี่พร้อมกัน
จางเหนียนสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ต่อให้ในอดีตนางเคยมองว่าจางลี่เป็นน้องสาวที่ชั่วช้าร้ายกาจ ทว่ายามนี้อีกฝ่ายเป็นเพียงสตรีวัยสิบสี่ ต่อให้มีเล่ห์เหลี่ยมอย่างไรก็มิอาจเทียบเคียงจางเหนียนซึ่งใช้ชีวิตมามากกว่าไม่ได้อยู่ดี
อีกทั้งแผนการและลูกไม้ตื้นๆ ที่อีกฝ่ายคิดลงมือทำในยามนี้ก็เคยผ่านสายตานางมาแล้วทั้งนั้น
อย่างเช่นวันนี้ จางลี่ตั้งใจมาดักก็เพื่อให้นางกลับไปเปลี่ยนชุดใหม่ที่เรือนเป็นเหตุให้ไปร่วมงานไม่ทันฤกษ์พิธีปักปิ่น ทำลายชื่อเสียงอันดีที่นางควรได้รับในวันเกิดจนพินาศย่อยยับ
แต่ขออภัยด้วยน้องสาว เพราะคราวนี้ผลที่ออกมาจะไม่เหมือนดังที่เจ้าคิด!
จางเหนียนหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน ส่งผลให้ชิวชิวที่เดินก้มหน้ารั้งท้ายเอาหน้าผากโขกบนแผ่นหลังบางเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย! คุณหนูรอง” ชิวชิวร้องลั่น “ท่านหยุดเดินทำไมเจ้าคะ”
“ข้าคิดว่าน้องหญิงสามคงอยากเล่นซุกซนเพื่อฉลองวันเกิดให้ข้า” จางเหนียนกระซิบกระซาบกับคนสนิทพลางพยักพเยิดไปทางชายกระโปรงสีเปลือกทับทิมที่แพลมออกมาจากเสาไม้ต้นหนึ่งของระเบียงทางเดิน
จางลี่เลือกชุดที่มีสีสันสดใสเช่นนี้ ช่างไม่ให้เกียรตินางซึ่งเป็นเจ้าของวันเกิดแม้แต่น้อย
“คะ...คุณหนูสามหรือเจ้าคะ” ชิวชิวสะดุ้งตัวอย่างขลาดเขลา ที่ผ่านมานางเองก็ถูกจางลี่กับสาวใช้เรือนนั้นกลั่นแกล้งมาไม่น้อย เอวที่เคยถูกหยิกยังเขียวไม่หาย
“คุณหนู พวกเราเดินอ้อมไปดีไหมเจ้าคะ”
นางหันไปเลิกคิ้วใส่ “ไยจึงต้องเดินอ้อมด้วย”
“ก็...” ชิวชิวกลืนน้ำลายดังอึก “วันนี้คุณหนูรองแต่งตัวมางามมาก ข้าเกรงว่าคุณหนูสามจะอารมณ์ไม่ดี”
สาวใช้ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ ว่าขืนเดินผ่าน มีหวังพวกนางคงถูกกลั่นแกล้งจนยับเยินแน่
“ชิวชิว ยิ่งแต่งตัวมางามก็ต้องโอ้อวด มิเช่นนั้นจะแต่งตัวงามมาเพื่ออันใด” นางเอ็ดชิวชิวอย่างไม่ใส่ใจนัก
“แต่ว่า...”
“เจ้าเดินตามข้ามาเงียบๆ ก็พอ”
น้ำเสียงจริงจังของจางเหนียน ส่งผลให้ชิวชิวก้มหน้ารับคำแต่โดยดี “เจ้าค่ะ คุณหนู”
ด้านหนึ่งสองนายบ่าวกำลังพูดคุยกระซิบกระซาบ คุณหนูสามแห่งคฤหาสน์สกุลจางซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังเสาก็เฝ้ารออย่างตื่นเต้น
เพียงแค่นึกถึงสีหน้าของจางเหนียนที่คงร้องไห้แจเมื่อถูกรังแก นางก็ทั้งรู้สึกสนุกและสะใจเป็นอย่างยิ่ง
ช่วยไม่ได้... ในเมื่อฮูหยินสามเป็นฮูหยินที่ท่านพ่อโปรดปราน จางเหนียนซึ่งมีใบหน้าคล้ายคลึงกับซีเซี่ยเกิดมาโง่งมแต่กลับพลอยเป็นที่รักของท่านพ่อไปด้วย ทั้งที่มารดาของนางแต่งเข้ามาก่อนแท้ๆ!
หากไม่มีซีเซี่ยกับจางเหนียน... ท่านแม่ของนางก็คงไม่ทุกข์ใจถึงเพียงนี้!
นอกจากเรื่องนี้แล้ว จางเหนียนยังเป็นมารความรัก คิดจะมาแย่งชิงความรักจากหลี่เฉิงถิง บุรุษที่นางพึงใจอีก!
จางลี่คิดพลางกรีดเล็บที่ยาวเข้ากับเสาไม้ สบตาสาวใช้ซึ่งถือถาดน้ำชายืนหลบอยู่หลังเสาอีกต้น นางซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพื่อคอยแอบดูจางเหนียน หากเห็นนางกำลังจะเดินผ่านเมื่อใดก็ต้องส่งสัญญาณเตือนให้สาวใช้ของตนเองให้นางทำทีเป็นการเดินชนกันโดยบังเอิญ เอาให้ตัวจางเหนียนเปรอะเปรื้อนและเหม็นไปด้วยกลิ่นน้ำชา!
เด็กสาวในชุดสีเปลือกทับทิบยกมือปิดปาก กลั้นเสียงหัวเราะจนไหล่สั่นเทิ้ม
“น้องหญิงสาม”