เดิมทีจางเหมาคิดว่าหากจางเหนียนได้แต่งเข้าจวนของแม่ทัพหลี่คงดีไม่น้อย ทว่าชายวัยกลางคนก็ไม่กล้าคาดหวังไว้สูงนัก เพราะตามหลักแล้วเขาควรหาคู่หมายให้บุตรสาวคนโตซึ่งปีนี้อายุสิบเจ็ดปีเสียก่อน
ในระหว่างที่บุรุษผู้มาร่วมงานจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่มุมหนึ่ง ด้านสตรีซึ่งเป็นแขกเองก็หาใช่ว่าจะน้อยหน้า น้ำชาและขนมถูกเปลี่ยนและเติมอยู่หลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มีทักษะทางด้านการเจรจาพูดคุยย่อมหนีไม่พ้นเพศมารดา
“ดูนั่นสิๆ” ฮูหยินตระกูลอื่นที่ได้มาร่วมงานเลี้ยงหันมาเรียกกัน ใช้พัดปิดปากแล้วพยักพเยิดไปทางชายหนุ่มโดดเด่นทั้งสองที่ยืนคุยอยู่กับเจ้าคฤหาสน์
“อา... คุณชายจากเป๋ยหลี่กับหนานหลี่ปรากฏตัวที่งานเลี้ยงพร้อมกัน เป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งนัก”
บุรุษทั้งสองแซ่หลี่ ทว่าไม่ได้มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดหรือเป็นเครือญาติ มันเป็นเพียงความบังเอิญที่คนจากสกุลหลี่ทั้งสองกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในเมืองหลวง เพื่อป้องกันมิให้เกิดความสับสน ชาวบ้านจึงเริ่มใช้สรรพนามเรียกแทนทั้งสองตระกูลนี้ว่าเป๋ย[1]หลี่กับหนาน[2]หลี่ เนื่องจากจวนของเสนาบดีหลี่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหลวง ส่วนจวนแม่ทัพหลี่ตั้งอยู่ทางทิศใต้
“งานนี้ดูท่าใต้เท้าจางจะได้บุตรเขยเป็นคนตระกูลหลี่สมใจ” ผู้เปิดบทสนทนาหัวเราะเสียงเบา
“วันนี้เป็นงานปักปิ่นของคุณหนูรองสกุลจาง หรือผู้ที่คุณชายทั้งสองหมายปองจะเป็น...”
“หึๆๆ คุณหนูรองแห่งสกุลจางงดงามก็จริง ทว่าเรื่องคุณสมบัติอื่นๆ...เจ้าเองก็ทราบดี”
ฮูหยินทั้งสองได้ทีก็ส่งเสียงหัวเราะกันอย่างดูแคลน ชื่อเสียงของจางเหนียนค่อนข้างเป็นที่รู้จักของคนในเมืองหลวงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นข่าวในทางที่ไม่ค่อยดีนัก
“คุณสมบัติอื่นๆ... ทำไมหรือ”
เสียงหวานหยดย้อยที่พร้อมกับเงาร่างอรชรของผู้พูด ส่งผลให้สตรีวัยสี่สิบที่กำลังกระซิบกระซาบต่างพากันหน้าซีดเผือด
“อะ...อา ฮูหยินสาม”
สตรีวัยสามสิบห้า ผิวพรรณใบหน้าดูอ่อนเยาว์กว่าวัยที่แท้จริงคลี่ยิ้มอ่อนโยน เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวน ซีเซี่ยซึ่งมักจะพักผ่อนอยู่แต่ในห้องจึงมาร่วมงานเลี้ยงอย่างกระตือรือร้น
แม้จางเหมาจะค่อนข้างอัปลักษณ์ ทว่าฮูหยินทั้งหมดของเขาล้วนแล้วแต่งดงาม ซีเซี่ยมีบุคลิกสง่างามและบริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับเทพธิดา การแต่งกายด้วยอาภรณ์สีฟ้าอ่อนยิ่งขับให้ลักษณะเฉพาะตัวเหล่านั้นโดดเด่น
ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือว่าตั้งใจ แต่วันนี้ทั้งเจ้าคฤหาสน์สกุลจางกับซีเซี่ยต่างก็แต่งกายด้วยผ้าสีเดียวกัน ทำให้ดูเหมือนเป็นคู่รักที่ใกล้ชิดสนิทสนม
เนื่องจากพี่สาวแท้ๆ ของฮูหยินสามมีตำแหน่งเป็นฮูหยินใหญ่ที่เสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นผู้คนในคฤหาสน์จึงค่อนข้างให้ความเคารพยำเกรง... สูสีกับฮูหยินรองที่แต่งเข้ามาก่อน
“น้องหญิงสาม เจ้าเองก็มาถึงแล้วหรือ”
ครั้นพูดถึงโจโฉ...โจโฉก็มา
ซีเซี่ยหันไปส่งยิ้มให้ผู้มาใหม่ “คารวะ พี่รอง”
“คารวะ ฮูหยินรอง” แขกทั้งสองเองก็ทักทายเช่นเดียวกัน
จ้าวชวนเดินเฉิดฉายเข้ามาในวงสนทนาของฮูหยินทั้งสาม ใบหน้าที่อาบเสน่ห์ดุจนางปีศาจจิ้งจอกเริ่มปรากฏริ้วรอยตามวัยที่เพิ่มพูนแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมจนหนา ริมฝีปากแดงสดคลี่ยิ้มอวดฟันขาวเรียงตัวสวย อาภรณ์ที่สวมใส่เป็นสีชมพูฉูดฉาดราวกับเป็นแม่งานเสียเอง
ที่ผ่านมาซีเซี่ยกับจ้าวชวนเปรียบเสมือนน้ำกับไฟ ทุกครั้งที่พบปะกันต่อหน้าแขกเหรื่อก็มักจะทำให้ผู้คนรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ คุณหนูเด็กสาวคนใดขวัญอ่อนหน่อยก็มักจะชอบเป็นลมจับไข้ เนื่องจากต้านรับกลิ่นอายเชือดเฉือนกดดันจากพวกนางไม่ไหว
สตรีก็คือสตรี หากเมื่อใดที่บุรุษมีคู่ครองมากกว่าหนึ่งก็มักจะเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นวังหลังหรือครอบครัวไหนก็ล้วนเหมือนกันหมด
“วันนี้ที่คฤหาสน์จัดงานเลี้ยง ย่อมเป็นธรรมดาที่เจ้าบ้านต้องตื่นเช้าเพื่อออกมาต้อนรับแขก เดิมทีข้ารีบมาเพราะเกรงว่าพี่รองจะไม่มีคนช่วยดูแลแขก แต่นึกไม่ถึงว่า...จะเป็นข้าที่มาถึงก่อนเป็นคนแรก” ซีเซี่ยยังคงรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่าน้ำเสียงนุ่มนวลที่กล่าวออกมากลับเปรียบเสมือนเข็มเล็กๆ ที่ทิ่มแทงอีกฝ่ายให้แสบคัน
มุมปากของจ้าวชวนกระตุกบางเบา ทว่านางไม่จำเป็นต้องโมโหโทสะ ยิ่งวันนี้มีแขกสำคัญและจางเหมาเองก็อยู่ที่นี่ด้วยก็จำต้องรักษาภาพลักษณ์ให้ดี “ใช่ ข้ามาช้าเล็กน้อยเพราะกำลังเลือกชุดให้ลี่เอ๋อร์ นี่เป็นงานแรกที่นางได้มีโอกาสพบแขกมากมาย จึงรู้สึกตื่นเต้นและประหม่า มารดาอย่างพวกเรามีแค่ต้องสนับสนุนและให้กำลังใจ เจ้าว่าจริงหรือไม่”
ฮูหยินรองเจตนาใช้คำพูดเป็นทำนองให้คนเข้าใจผิดว่างานนี้เป็นงานเปิดตัวจางลี่ซึ่งเป็นบุตรสาวของตน ทั้งที่เป็นวันเกิดของจางเหนียน
“ข้าไม่มีโอกาสได้พบคุณหนูสามนานแล้ว ปีนี้...นางอายุสิบสี่ปีแล้วใช่หรือไม่” ฮูหยินผู้มาร่วมงานหัวเราะเสียงแห้ง ก่อนจะเบนสายตาไปทางซีเซี่ยที่ยืนยิ้มน้อยๆ ต่อให้ฮูหยินรองกับฮูหยินสามซึ่งมีสามีเดียวกันจะไม่ถูกกัน ทว่านางก็ไม่อยากผิดใจต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
“นึกไม่ถึงว่าฮูหยินฉือจะจำลี่เอ๋อร์ของข้าได้ ล่าสุดที่ได้พบหน้าคงผ่านมาได้สามปีแล้วกระมัง”
แม้ว่าบุตรีของจ้าวชวน จางลี่ปีนี้จะอายุเพียงสิบสี่ ทว่าผู้เป็นมารดาก็กระตือรือร้นที่จะหาคู่หมายให้บุตรสาวของตนเองไม่แพ้ผู้อื่น
ต่อให้งานนี้จะเป็นพิธีปักปิ่นของจางเหนียนก็ไม่เป็นไร... ในเมื่อสุดท้ายนางตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้บุตรสาวของตนโดดเด่นเฉิดฉายที่สุดอยู่ดี
จ้าวชวนคิดพลางก้มหน้ามองถ้วยชา เหยียดยิ้มอย่างไม่ยี่หระ
“แต่ถึงอย่างไร ตัวเอกของวันนี้ก็ต้องเป็นคุณหนูรองแน่นอนอยู่แล้ว” แขกอีกคนหนึ่งรีบพูดเอาใจซีเซี่ยอย่างไม่น้อยหน้า
วันนี้เป็นพิธีปักปิ่นของจางเหนียน การกล่าวเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง
สีหน้าของซีเซี่ยดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ใจหนึ่งข้าก็ดีใจที่เหนียนเอ๋อร์โตเป็นสาว แต่อีกใจหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหาย ด้วยวัยของนาง...อีกไม่นานคงต้องแต่งงานออกเรือน”
“เกิดเป็นสตรี สักวันก็ต้องแต่งงาน” จ้าวชวนเปรย “แต่ว่า...ลูกเขยที่เพียบพร้อมนั้นมีน้อย เกณฑ์การคัดเลือกย่อมดูจากศาสตร์กุลสตรีสี่แขนง[3] ข้าคิดว่าด้วยทักษะของคุณหนูรองคงไม่ต้องรีบร้อนมากนักกระมัง”
คำพูดถากถางจากฮูหยินรองทำให้ซีเซี่ยกำมือที่วางบนตักแน่น เจ็บใจเพราะคำพูดที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ
สำหรับจางเหนียนแล้ว อย่าว่าแต่ศาสตร์กุลสตรีสี่แขนงเลย กระทั่งศาสตร์กุลสตรีหนึ่งแขนงครึ่งก็ยังถือว่าทำไม่ดี เรื่องนี้ทำให้ผู้เป็นแม่กังวลใจยิ่งนัก กลัวว่าต่อไปภายภาคหน้านางไม่อาจได้คู่ครองที่ดี ทั้งยังถูกผู้อื่นดูหมิ่นรังแก
“เหนียนเอ๋อร์ยังเด็กนัก ยังมีเวลาฝึกฝนอีกหลายปี ตามธรรมเนียมแล้วคุณหนูใหญ่ควรมีคู่หมายเป็นตัวเป็นตนเสียก่อน ข้าเองก็อยากให้บุตรสาวอยู่เป็นเพื่อนข้านานขึ้นอีกหน่อย” ซีเซี่ยกล่าวเสียงเรียบเรื่อย แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ สมกับที่สั่งสมประสบการณ์มาหลายปี
จ้าวชวนส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเมื่อคำพูดเหน็บแนมของตนไม่สามารถทำร้ายฮูหยินสามได้มากเท่าที่ควร ยกน้ำชาหอมกรุ่นดื่มดับกระหาย
ในจังหวะนั้นเอง สาวใช้สองคนก็วิ่งตื่นเข้ามาในงานเลี้ยง ครั้นสบตากับซีเซี่ยและจ้าวชวน พวกนางต่างคนก็ต่างวิ่งเข้าไปป้องปากกระซิบบอกสตรีทั้งสองอย่างรีบร้อน
ครั้นได้ฟังคำรายงาน ฮูหยินรองและฮูหยินสามแห่งสกุลจางก็เบิกตากว้าง ผุดยืนขึ้นจากเก้าอี้โดยพร้อมเพรียงกัน
“ฮูหยินทั้งสอง ข้าขอตัวสักครู่” ซีเซี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล ก่อนจะค้อมศีรษะแล้วรีบเดินตามสาวใช้ออกไป ส่วนจ้าวชวนนั้นยืนอึ้งอยู่พักใหญ่ ครั้นได้สติก็ซอยฝีเท้าเร็วตามหลังซีเซี่ยไปติดๆ
เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ผู้คนในงานเลี้ยงมองตามอย่างสนอกสนใจ จางเหมาเองก็ค่อนข้างประหลาดใจกับการกระทำอันไร้มารยาทของภรรยาทั้งสอง แต่คาดว่าน่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น
ไวเท่าความคิด ชายร่างท้วมก็หันไปกระซิบบอกกับข้ารับใช้ส่วนตัวของตนเอง
“บอกให้บ่าวไพร่คอยกันท่าไม่ให้คนออกจากงาน แล้วส่งคนตามพวกนางไปดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
อีกฝ่ายพยักหน้าเสร็จก็ถอยตัวออกห่าง เร่งทำตามคำสั่งของจางเหมาขณะที่ผู้เป็นนายกลับไปต้อนรับแขกเหรื่อต่อ ทำทีราวกับว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
[1] **แปลว่า เหนือ
[2] **แปลว่า ใต้
[3] ศาสตร์กุลสตรีสี่แขนง ประกอบไปด้วย ฉิน ฉี ซู ฮว่า (****) หมายถึง เล่นดนตรี หมากล้อม เขียนอักษร และวาดภาพ ทั้งสี่อย่างนี้ถือเป็นบรรทัดฐานของปัญญาชนนักปราชญ์ หากอิสตรีนางใดสามารถศึกษาศาสตร์เหล่านี้ได้แตกฉานก็เท่ากับมีคุณสมบัติพรั่งพร้อมมากเท่านั้น