หลังจากเอาตะกร้าใส่หน่อไม้และฟักทองมาเก็บที่บ้านแล้ว ฝูเฟยเมี่ยวก็รีบไปรับลูกทั้งสองจากบ้านของป้าเจินทันที
“ขอบพระคุณท่านป้าเจินมากนะเจ้าค่ะ นี่เจ้าค่ะ หน่อไม้สดๆ จากในป่า ข้าโชคดีวันนี้ได้ของกลับมาทำอาหารให้ฟางหรงเยอะเลย” ใบหน้าของนางขณะที่พูดนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ป้าเจินยื่นมือไปรับเอาหน่อไม้สองหน่อจากมือของฝูเฟยเมี่ยวพลางเอ่ยขอบอกขอบใจ
“ไม่เป็นไร มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน ขอบใจเจ้ามากนะ”
หลังจากพาลูกทั้งสองกลับมาบ้านแล้ว ฝูเฟยเมี่ยวก็เอาบุตรชายคนเล็กใส่เปลไกวให้นอนต่อ พร้อมกับกำชับบุตรสาวคนโต
“เจ้าคอยดูน้องอยู่บนเรือนนะ หากน้องร้องให้รีบร้องเรียกแม่ เดี๋ยววันนี้แม่จะนึ่งฟักทอง และผัดหน่อไม้ให้กินกับข้าวสวย”
ฝูฟางหรงมีท่าทางดีอกดีใจ นางไม่ได้กินข้าวสวยหุงใหม่ๆ หอมๆ นานมากแล้ว ปีนี้แม่ได้ข้าวมากกว่าทุกปี เพราะไม่ต้องนำไปแบ่งให้ท่านป้าใหญ่
“ท่านแม่ ข้าจะรอกินเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้กินฟักทองมานานแล้ว” เด็กน้อยพูดไปก็ชะโงกหน้ามองน้องชายที่นอนหลับปุ๋ยในเปลไป
ฝูเฟยเมี่ยวดึงฝูฟางหรงเข้ามากอด ก่อนที่จะหอมหน้าฝากเด็กน้อยเบาๆ
“ต่อไปเจ้าและอาหลงจะได้กินทุกอย่างที่อยากกิน ต่อไปจะมีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่ มีผ้าห่มอุ่นๆ ห่ม แม่สัญญา”
ฝูฟางหรงดีใจยิ่งนักเมื่อได้ยินสิ่งที่มารดาพูด นางเชื่อว่าต้องเป็นตามนั้นแน่เพราะระยะหลังๆ มานี้เด็กน้อยรู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่ามารดาของตนได้เปลี่ยนไป กลายเป็นสตรีที่เก่งขึ้น ถึงขนาดกล้าต่อปากต่อคำกับท่านป้าทั้งสอง
กลิ่นหอมๆ ของฟักทองนึ่งและผัดหน่อไม้ทำให้ฝูฟางหรงแทบจะวิ่งลงเรือนไปหามารดา
“ท่านแม่ หอมเหลือเกินเจ้าค่ะ” เด็กน้อยร้องตะโกนออกไปเสียงดัง ยิ่งกลิ่นข้าวใหม่ที่หุงจนสุกแล้วส่งกลิ่นหอมเย้ายวนชวนน้ำลายไหล ฝูฟางหรงแทบจะกระโดดลงเรือนไปเลย
“เบาๆ สิเดี๋ยวน้องก็ตื่นหรอก นี่แม่กำลังยกอาหารขึ้นไปให้จ้าบนเรือน อย่าเสียงดัง” ฝูเฟยเมี่ยวนั้นมีฝีมือด้านการทำอาหารพอสมควร ด้วยเหตุที่สถานการณ์มันบังคับ เมื่อครั้งที่นางรับเด็กเข้าสังกัดจำนวนมาก ต้องให้ทั้งที่อยู่ ที่กินแก่พวกเขาในตอนที่มาเริ่มเรียนรู้และฝึกหัด นางต้องทำอาหารคราวละหม้อใหญ่ๆ ให้เด็กในสังกัดเหล่านั้นได้กิน เมื่อทำบ่อยเข้าก็เกิดการเรียนรู้และพัฒนาฝีมือ มีหลายครั้งที่นางแอบบ่นว่า หากเลิกเป็นผู้จัดการดาราแล้วจะไปเปิดร้านอาหารดีไหม
ฝูฟางหรงใช้ตะเกียบยังไม่คล่องนัก ฝูเฟยเมี่ยวจึงให้นางล้างมือให้สะอาดแล้วใช้มือกินข้าวแทน เด็กน้อยหยิบนั่นนี่ใส่ปากอย่างมีความสุข
“ท่านแม่ ทำไมท่านแม่ทำอาหารอร่อยจังเลยเจ้าคะ?” ฝูฟางหรงพูดพลางเคี้ยวตุ้ยๆ เด็กน้อยรู้สึกได้ว่าฝีมือการทำอาหารของมารดาของตนนั้นอร่อยกว่าที่เคยมาก
“คงเป็นเพราะแม่ใส่เครื่องปรุงเยอะขึ้น เมื่อก่อนเราต้องประหยัดมาก แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว” ใช่สิเมื่อก่อนเจ้าของร่างเดิมประหยัดมากถึงมากที่สุด เครื่องปรุงรสอาหารนี่แทบจะไม่เคยซื้อ นั่นเป็นเพราะว่าต้องการเก็บเงินไว้ให้สามี แต่พอฝูเฟยเมี่ยวนักปั้นมือทองเข้ามาอยู่ในร่างนางได้จัดการใช้เงินที่มีอยู่หาซื้อเครื่องปรุงอาหารทั้ง เกลือ น้ำตาล ซีอิ๊ว น้ำส้ม และของใช้ที่จำเป็นสำหรับลูกๆ ทั้งสองจนเงินหมดไปแล้ว 1 ตำลึง ตอนนี้นางและลูกๆ นั้นมีเงินเหลือเพียงแค่ 1 ตำลึงเท่านั้น แต่ไม่เป็นไร…เงินอย่างไรก็หาเพิ่มได้ เชื่อมือเจ้ฝูเฟยเมี่ยวเถอะ
ฝูฟางหรงกินอิ่มจนพุงกาง เด็กน้อยนั่งมองเศษฟักทองที่เหลือพลางถามมารดา
“ท่านแม่ เปลือกฟักทองที่เหลือนี้เราจะเอาไปทิ้งใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ฝูเฟยเมี่ยวยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยบอก
“เศษฟักทองนึ่งพวกนี้ยังมีประโยชน์ เราสามารถใช้เป็นอาหารของจิ้งหรีดได้ แม่เคยบอกเจ้าเอาไว้แล้วใช่หรือไม่ว่าเราจะเลี้ยงจิ้งหรีดกัน”
“จริงหรือเจ้าคะท่านแม่ จิ้งหรีดกินเปลือกฟักทองได้ด้วยหรือเจ้าคะ ข้าอยากเลี้ยงจิ้งหรีดเร็วๆ เจ้าค่ะ เหมือนเลี้ยงน้องหรือไม่เจ้าคะ ต้องเอาจิ้งหรีดใส่เปลไกวไหม?” เด็กน้อยถามออกไปตามประสาซื่อ
ฝูเฟยเมี่ยวแทบจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ชีวิตในวัยเด็กมักจะเต็มไปด้วยจินตนาการ ความอยากเรียนรู้ เป็นหน้าที่ของบิดามารดาที่จะปลูกฝังสิ่งดีๆ เข้าไปให้พวกเขา
“เราจะเลี้ยงจิ้งหรีดในโอ่งจ้ะ ต่อไปแม่จะทำรางสำหรับเลี้ยงจิ้งหรีดเพิ่ม พอมีจิ้งหรีดเยอะๆ เราก็จะเอาไปขาย แล้วนำเงินมาเก็บไว้ให้ฟางหรงและอาหลงอย่างไรล่ะ”
เด็กน้อยทำท่าทางตื่นเต้น
“เราจะขายจิ้งหรีดหรือเจ้าคะ เช่นนั้นพวกเราต้องได้เงินมาเยอะแน่เลยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่จ้ะ” ฝูเฟยเมี่ยวลูบหัวบุตรสาวคนโตเบาๆ อย่างรักใคร่เอ็นดู
เจ้าก้อนแป้งยังคงนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น ฝูเฟยเมี่ยวจูงมือบุตรสาวลงเรือนมาที่โองรั่ว 2 ใบ นางค่อยๆ เปิดผ้าตาข่ายออกและเอาเศษฟักทองนึ่งรวมทั้งหญ้าอ่อนสีเขียวๆ ใส่ลงไปด้วย
“จิ้งหรีดกินอะไรบ้างเจ้าคะท่านแม่?” เด็กน้อยถามอย่างกระตือรือร้น นางเคยเห็นแต่ผู้ใหญ่วิ่งไล่จับจิ้งหรีดตามชายป่าและทุ่งนา ไม่เคยเห็นผู้ใดเลี้ยงจิ้งหรีดมาก่อน
“จิ้งหรีดกินหลายอย่าง ทั้งหญ้า ฟักทอง ผลไม้ ปลาป่น รำข้าว พืชผักต่างๆ ล้วนเป็นอาหารจิ้งหรีดได้ทั้งหมด อ้อ…และจิ้งหรีดก็กินน้ำด้วย เดี๋ยวเราจะเตรียมน้ำไว้ให้พวกมันกัน” พูดจบฝูเฟยเมี่ยวก็นำจานเก่าที่บิ่นแล้ววางลงไปในโอ่งแล้วจึงเทน้ำใส่ลงไปในจาน นางให้บุตรสาวค่อยๆ วางใบหญ้าที่เก็บมาจากชายป่าลงไปในโอ่งให้จิ้งหรีดกิน เป็นการสอนให้ลูกได้เรียนรู้จากการลงมือทำ เด็กก็เปรียบเสมือนผ้าขาว หากเราอยากให้ผ้าผืนนั้นสวยงามก็ต้องเลือกแต่งแต้มเฉพาะสิ่งสวยงามลงไป
“ท่านแม่ ดูพวกมันแย่งกันกินใหญ่เลยเจ้าค่ะ มันคงชอบกินหญ้ากับฟักทองนะเจ้าคะ” ฝูฟางหรงเกาะขอบโอ่งดูอย่างตื่นตาตื่นใจ ตอนนี้นางมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตนเองแล้วสินะ
ฝูเฟยเมี่ยวระบายยิ้มขณะที่มองดูบุตรสาว ขณะนั้นท่านลุงเจินสามีของท่านป้าเจินเดินผ่านมาพอดี เขากำลังจะเข้าป่าจึงได้ร้องถามสองแม่ลูกที่กำลังดูจิ้งหรีดอย่างเพลิดเพลินว่า
“ข้าจะเข้าไปตัดต้นไผ่สักหน่อย เจ้าอยากได้อันใดหรือไม่?” ลุงเจินนั้นแบกมีดพร้าเล่มใหญ่ไว้บนบ่ามุ่งหน้าไปยังชายป่าซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปนัก เขานึกสงสารสามแม่ลูกที่ต้องต่อสู้ชีวิตอย่างยากลำบากโดยที่ผู้เป็นบิดานั้นไม่เคยคิดจะเหลียวแล ลุงเจินและป้าเจินพูดคุยกันว่าพวกเขาจะยื่นมือเข้ามาช่วยสามแม่ลูกนี้ตามกำลังความสามารถของพวกเขา ช่างเป็นเพื่อนบ้านที่ดีจริงๆ
“อ้อ…ท่านลุงเจิน หากไม่เป็นการรบกวนท่านมากนัก ช่วยตัดไม้ไผ่ลำใหญ่ๆ ไว้ให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากได้สักสามลำ เดี๋ยวข้าจะไปขนเอาเองเจ้าค่ะ”
“ได้ๆ” ลุงเจินพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าวตรงไปที่ชายป่า
อีกหนึ่งชั่วยามต่อมาฝูเฟยเมี่ยวที่ให้นมฝูเฟยหลงอิ่มแล้วจึงได้เอาเจ้าก้อนแป้งนั้นลงนอนในเปล ส่วนฝูฟางหรงนั้นนอนหลับอยู่ข้างๆ เปลของน้องชายนี่เอง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวและบุตรชายต่างพากันหลับแล้ว ฝูเฟยเมี่ยวจึงได้ค่อยๆ ย่องลงเรือนมา นางเดินมาที่โอ่งที่เลี้ยงจิ้งหรีดหญิงสาวเป็นต้องอุทานออกมา
“ท่านลุงเจินกับท่านป้าเจินช่างดีอะไรเยี่ยงนี้”
บนพื้นดินข้างๆ โอ่งจิ้งหรีดนั้นมีไม้ไผ่ลำใหญ่จำนวน 3 ลำวางไว้อยู่ ท่านลุงเจินนั้นเห็นว่าฝูเฟยเมี่ยวนั้นเป็นแม่ลูกอ่อนที่ค่อนข้างยุ่งจึงได้ตัดไม้ไผ่และแบกจากป่ามาให้นางถึงบ้าน ไหนๆ ช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด
“เราต้องหาทางตอบแทนน้ำใจของทั้งสองคนให้ได้” หญิงสาวปฏิญาณกับตนเอง
ฝูเฟยเมี่ยวค่อยๆ ใช้มีดตัดและผ่าลำไผ่ โชคดีที่สมัยวัยรุ่นตอนที่ยังค้นหาตัวตนไม่เจอนั้นนางได้สมัครเข้าเรียนที่เพาะช่าง จึงพอได้วิชาช่างต่างๆ มาบ้าง เพราะนอกจากวิชาที่สาขาตนเองเรียนแล้วฝูเฟยเมี่ยวก็มักจะแอบไปขอเรียนวิชาช่างกับเพื่อนในสาขาอื่นๆ ด้วย
ฝูเฟยเมี่ยวผ่าไม้ไผ่ออกเป็นสองซีก จากนั้นใช้อุปกรณ์ที่ดูค้ายไขควงปลายแหลมเจาะรูที่ลำไม้ไผ่ ทำเป็นที่ตอกตะปู นางไม่รู้ว่ายุคจีนโบราณนี้จะมีตะปูขายหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือนางสามารถทำตะปูเองจากไม้ไผ่ได้
‘ต้องขอบคุณวิชาสารพัดช่าง และขอบคุณตัวเราเองที่ตอนนั้นเกิดขยันอยากเรียนรู้ไปเสียหมด’ หญิงสาวนึกกระหยิ่มด้วยความภาคภูมิใจ
อีกหนึ่งชั่วยามต่อมารางไม้ไผ่สำหรับเลี้ยงจิ้งหรีดขนาดความยาวราวๆ1 จั้ง (2.5 เมตร) ความกว้างขนาดหนึ่งแขนผู้ใหญ่จำนวน 3 รางก็แล้วเสร็จ
“ทำแค่นี้เหนื่อยเป็นบ้าเลย ฮ่าๆๆๆ” ฝูเฟยเมี่ยวหัวเราะและยิ้มให้กับผลงานของตนเอง นานมากแค่ไหนนะที่นางไม่ได้ออกแรงเช่นนี้
ลำแสงที่อ่อนโรยของดวงอาทิตย์ในยามอัสดงบ่งบอกให้รู้ว่าอีกไม่นานราตรีกาลกำลังจะมาเยือน ฝูเฟยเมี่ยวก้มลงเก็บอุปกรณ์ช่างทั้งหมดไปเก็บบนเรือน ตอนที่เดินขึ้นไปเด็กทั้งสองคนเริ่มขยับตัวตื่นแล้ว
“ฟางหรง ตื่นเถิดลูก นี่จะค่ำแล้ว ลุกมากินข้าวกินปลาเสีย วันนี้เรากินข้าวกับผัดหน่อไม้และฟักทองเช่นเดิมไปก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะทำข้าวผัดและทำน้ำซุปให้กิน” นางพูดพลางช่วยพยุงบุตรสาวให้ลุกขึ้นนั่ง
“เจ้าค่ะท่านแม่ อาหารฝีมือท่านแม่อร่อยหมดทุกอย่างนั่นแหละเจ้าค่ะ” เด็กน้อยพูดพลางยิ้มแป้น นานมากแล้วสินะที่นางและมารดาไม่ได้กินข้าวอย่างอิ่มหมีพีมันเช่นนี้
“เช่นนั้นเจ้าเฝ้าน้องเอาไว้ เดี๋ยวแม่จะลงไปอุ่นอาหาร”
“เจ้าค่ะ”
คืนนั้นหลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว ฝูเฟยเมี่ยวก็เล่านิทานให้ฝูฟางหรงฟังในขณะที่ไกวเปลให้กับฝูเฟยหลงไปด้วย เด็กน้อยนั้นมีความสุขและรู้สึกสนุกสนานที่ได้ฟังเรื่องต่างๆ จากผู้เป็นมารดา นี่แสดงว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่เคยเล่านิทานให้ลูกฟังเลยหรือเปล่านะ แต่อาจจะเป็นเพราะนางนั้นหัวใจมิได้เบิกบานแจ่มใสเพราะต้องทำงานหนักและรับผิดชอบสิ่งต่างๆ มากมาย จึงไม่ค่อยมีเวลาให้บุตรสาวคนโตก็เป็นได้ น่าสงสารทั้งแม่และลูกนั่นแหละ แต่ไม่เป็นไรหรอก ต่อจากนี้เจ้ฝูเฟยเมี่ยวจะทำหน้าที่เป็นทั้งแม่และนักปั้นให้กับเด็กน้อยทั้งสองเอง
“ท่านแม่เจ้าคะ” จู่ๆ เด็กน้อยที่นอนหนุนตักมารดาก็เอ่ยขึ้น
“หืม…ว่าอย่างไรล่ะฟางหรง?”
“น้องต้องกินนมท่านแม่ไปถึงตอนไหนเจ้าคะ เมื่อไหร่น้องจะกินข้าวได้เหมือนข้า ข้าอยากให้น้องได้กินอาหารอร่อยๆ ฝีมือท่านแม่บ้างเจ้าค่ะ” เด็กก็พูดไปตามประสานั่นแหละ แต่ในคำพูดของฝูฟางหรงกลับมีบางสิ่งที่สะกิดฝูเฟยเมี่ยวขึ้นมา
ตอนนี้นางรู้สึกว่าน้ำนมของตนนั้นน้อยลงไป คงเป็นเพราะในยุคนี้ไม่มีเครื่องปั๊มนมให้ใช้ด้วย และบางคราที่เจ้าก้อนแป้งดูดนมไม่เกลี้ยงเต้านางก็มิได้บีบออกจนหมด ตอนนี้ฝูเฟยเมี่ยวเจอปัญหาอีกหนึ่งอย่างแล้ว ถ้าน้ำนมหมดจะเอานมที่ไหนให้ลูกกิน เด็กควรจะกินนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนมิใช่หรือ ในยุคนี้ไม่มีนมชงนมกระป๋องสำหรับเด็กทารกขายด้วยสิ แต่คนอย่างเจ้ฝูเฟยเมี่ยวไม่เคยหวั่นเกรงต่อปัญหาอยู่แล้ว