เมื่อได้ขี้เลื่อยมาแล้วฝูเฟยเมี่ยวก็จัดการผสมกับน้ำตาลทรายแดง รำละเอียด แป้งและน้ำสะอาด คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นนำไปนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อราซึ่งอาจจะมีติดมา จากนั้นนำมาบรรจุในถุงซึ่งเย็บจากผ้าเคลือบน้ำมันซึ่งกันน้ำได้เหมือนกับถุงพลาสติก
“เฮ้อ!ทำไงได้ยุคนี้มันไม่มีถุงพลาสติกนี่นา แต่…ผู้ใดจะคิดทำสิ่งนี้ขึ้นมาได้ล่ะ หากไม่เคยรู้จักถุงพลาสติกมาก่อน อิอิ” ฝูเฟยเมี่ยวใส่เชื้อเห็ดที่เป็นสปอร์สีขาวที่นางได้เก็บเอาไว้ นางทำไปก็ยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี หากว่าโครงการเพาะเห็ดหลินจือของนางนั้นประสบความสำเร็จด้วยดีคงสามารถสร้างฐานะให้ร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว เพราะการดำรงชีวิตในยุคใดๆ มันก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น มีเงินก็เท่ากับมีโอกาส เงินสามารถสร้างโอกาสให้แก่เราได้ นี่คือสิ่งที่นักปั้นมือทองตั้งใจจะสอนลูกทั้งสองเมื่อเขาโตขึ้น แต่เงินนั้นก็ต้องเป็นเงินที่ได้มาโดยสุจริตวิธีด้วย
หลังจากใช่เชื้อลงไปในถุงที่ตัดเย็บจากผ้าเคลือบน้ำมันแล้วฝูเฟยเมี่ยวก็จัดการใส่ข้อกลวงของลำไม้ไผ่ขนาดเล็ก เอาไว้ทำเป็นจุกนั่นเอง จากนั้นก็มัดปิดถุงให้สนิท
“อีกหนึ่งเดือนสินะเชื้อเห็ดถึงจะเดิน” นางพึมพำคนเดียวในขณะที่เรียงถุงเชื้อเห็ดไว้ในโรงเรือนเห็ดเป็นชั้นๆ วันนี้นางทำก้อนเชื้อเห็ดได้ทั้งหมด 200 ก้อน นั่นหมายความว่าหากเพาะเห็ดหลินจือได้สำเร็จเพียงครึ่งหนึ่ง นางก็จะมีเห็ดหลินจือไปขายถึง 100 ดอก คิดเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลยทีเดียว และที่ที่นางจะไปขายก็คือ…ร้านขายยาในเมือง อาจจะเป็นเมืองเซี่ยหรือเมืองไท่ซุนที่เป็นเมืองหลวงของแคว้นต้าเฉิงก็ได้
“เฮ้อ!เสร็จซะที ต่อไปก็แค่รอดูว่าเส้นใยเห็ดจะขึ้นดีหรือไม่ ต้องขอบคุณตัวเราที่วันนั้นติดตามเด็กๆ ไปถ่ายทำรายการด้วยเลยได้ความรู้เอามาใช้ในชาติภพนี้”
ความรู้เรื่องการเพาะเห็ดหลินจือนี้ฝูเฟยเมี่ยวได้มาตอนที่ไปดูเด็กในสังกัดถ่ายทำรายการเกี่ยวกับการเกษตร ตอนนี้เห็ดหลินจือแดงกำลังได้รับความนิยม ราคาแพง เป็นที่ต้องการของตลาด ฝูเฟยเมี่ยวไปดูเขาถ่ายทำหลายที่จนเข้าใจถึงขั้นตอนวิธีการเพาะเห็ด การสร้างโรงเรือนและหัวใจของการเพาะเห็ดหลินจือด้วย
‘คุณสมบัติของโรงเรือนที่ดีคือเก็บความชุ่มชื้นได้ดี และการเพาะเลี้ยงเห็ดหลินจือนั้นใช้เวลา 75-90 วันก็เก็บเกี่ยวได้’
“เอาล่ะ อีกไม่เกิน 90 วันเราจะรวยแล้ว” ฝูเฟยเมี่ยวพูดไปยิ้มไปในขณะที่ให้อาหารจิ้งหรีดกับจิ้งโกร่ง (หรือจี้โปม, จิป่ม)
“ท่านแม่เจ้าคะ ตอนนี้จิ้งหรีดของเราโตขึ้นเยอะเลยเจ้าค่ะ” หนูน้อยฝูฟางหรงเอ่ยอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าตอนนี้พวกนางมีจิ้งหรีดเยอะแยะไปหมด
ฝูเฟยเมี่ยวยิ้มเมื่อเห็นบุตรสาวช่วยนางเลือกใบเหลืองๆ แก่ๆ ออกจากหญ้าและผักที่จะใช้เป็นอาหารของจิ้งหรีดและจิ้งโกร่ง นางจะสอนให้ลูกรู้จักเรียนรู้และทำงานตั้งแต่ยังเด็ก
“อีกไม่นานเราก็จะมีจิ้งหรีดและจิ้งโกร่งกินกันจนพุงปลิ้นไปเลยจ้ะ ฟางหรง”
“ข้าดีใจจังเลยเจ้าค่ะ ข้าอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ” หนูน้อยยิ้มแก้มแทบปริเมื่อนึกถึงของกิน
ฝูเฟยเมี่ยวมองดูจิ้งหรีดที่กำลังเริ่มโตอย่างอิ่มเอมใจ ตอนนี้นางเลี้ยงจิ้งหรีดในราง 5 รางและในโอ่งรั่วอีก 2 ใบ จำนวนจิ้งหรีดหากนับจริงๆ นั้นมีหลายพันตัว แค่กินนั้นกินไม่หมดหรอก หญิงสาวนึกไปถึงว่านางจะต้องขายด้วย แต่…จะขายที่ไหนดีล่ะ ในหมู่บ้านนั้นคนมีกำลังซื้อน้อย หากขายก็ต้องขายราคาถูกๆ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นขายในเมืองแล้วอาจจะขายได้ราคาสูงขึ้น
“อาเมี่ยว อาเมี่ยว อยู่หรือไม่?” เสียงร้องเรียกดังโหวกเหวกนั้นดังมาจากรั้วหน้าบ้าน
“ผู้ใดมา ไปดูซิ” ฝูฟางหรงนั้นวิ่งนำหน้าเมื่อได้ยินคำสั่งจากมารดา ฝูเฟยเมี่ยวนั้นเดินตามบุตรสาวมาติดๆ
“อ้อ…อาเมี่ยว เจ้าอยู่จริงๆ ด้วย”
“ท่านลุงจาง” หญิงสาวเอ่ยเบาๆ พลางค้อมศีรษะให้เป็นการทักทายผู้มีอาวุโสกว่า
“ได้ยินมาว่าเจ้าอยากเข้าไปในเมือง พอดีข้ากับลูกจะเข้าไปเมืองเซี่ยพรุ่งนี้เผื่อเจ้าอยากจะติดเกวียนไปด้วย”
ลุงจางผู้นี้นั้นมีทั้งเกวียนและรถม้า เขาคือคนที่มีอันจะกินผู้หนึ่งในหมู่บ้าน ธุระของเขาก็คือการนำของมีค่าที่รับจำนำจากชาวบ้านแล้วหลุดจำนำเข้าไปขายในเมือง หากมีคนอยากติดเกวียนหรือรถม้าของเขาเข้าไปในเมืองด้วยเขาจะคิดค่าบริการครั้งละ 50 อีแปะ นับว่าไม่เลว
จางลู่ชินเป็นคนมีหัวทางการค้าเช่นเดียวกับเถ้าแก่เหวย แต่เขาไม่ถึงกับหน้าเลือดเท่ากับเถ้าแก่เหวย พวกเขาทำการค้าขายเช่นกัน ดังนั้นคนทั้งคู่จึงเปรียบเสมือนคู่แข่งกันกลายๆ แข่งว่าใครจะเหนือกว่าและรวยที่สุดในหมู่บ้านเฉียงไฉ่แห่งนี้
“อืม…ดีจริงเจ้าค่ะท่านลุงจาง ข้าคิดอยากจะไปซื้อของในเมืองพอดี เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะเอาลูกไปฝากป้าเจินไว้ แล้วจะเดินทางกันยามใดรึเจ้าคะ”
“พรุ่งนี้ปลายยามเหม่า (05.00-06.59น.) เจอกันที่บ้านข้า จะมีคนในหมู่บ้านอีกสองคนเดินทางไปกับเราด้วย”
“อ้อ ดีเลยเจ้าค่ะ”
เย็นวันนั้นฝูเฟยเมี่ยวตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ไว้สำหรับลูกทั้งสอง รวมทั้งอาหารการกินของฝูฟางหรงด้วย ซึ่งนางทำไก่ย่างและตับไก่ย่างเอาไว้ให้ เมื่อวันก่อนลุงเจินเข้าป่าไปดักสัตว์ เขาได้ไก่ป่ามาสามตัว จึงแบ่งมาให้นางที่บ้านหนึ่งตัว นับว่าเป็นเพื่อนบ้านที่เกื้อกูลกันดียิ่งนัก
ตอนเช้ามืดหญิงสาวรู้สึกคัดตึงเต้านม น้ำต้มหัวปลีและน้ำต้มขิงนี่มีสรรพคุณดีจริงๆ น้ำนมของนางมามาก จนฝูเฟยหลงกินนมจนอิ่มแปล้แล้วน้ำนมก็ยังไม่หมดเต้า ฝูเฟยเมี่ยวจึงบีบนมใส่ในขวดกระเบื้องที่นึ่งอย่างดีแล้วสำหรับเก็บไว้ให้ฝูเฟยหลงกินตอนตื่น นางคาดว่าการเดินทางไปกลับเมืองเซี่ยนั้นคงไม่กินเวลาเลยยามอู่ (11.00-12.59น.)
“เฮ้อ!ลำบากนิดนึงนะ ก็ยุคสมัยนี้มันไม่มีขวดนมขายนี่นา”
เด็กทารกในยุคสมัยนี้ล้วนกินนมจากเต้า ไม่ได้กินนมจากขวดเหมือนเด็กจากยุคสมัยที่นางจากมา กระนั้นฝูเฟยเมี่ยวก็ยังพอจะหาทางแก้ไขได้
‘คัพฟีด อย่างไรล่ะ ชั้นจำได้ ตอนที่ไปดูนางเอกดาวรุ่งลูกสาวแม๊ถ่ายละครฉากหนึ่ง ตอนนั้นนางแสดงเป็นพยาบาลกำลังสอนแม่ป้อนนมเด็กโดยใช้แก้วยา เด็กก็กินได้นะ’ ฝูเฟยเมี่ยวลิงโลดเมื่อนึกขึ้นได้ว่านางได้เคยดูการฝึกใช้แก้วขนาดเล็กๆ ป้อนนมเด็กที่ภาษาทางการแพทย์เรียกว่าคัพฟีด (cup feed)
รุ่งเช้าฝูเฟยเมี่ยวนำลูกทั้งสองมาฝากป้าเจินพร้อมกับขวดกระเบื้องที่มีฝาปิดมิดชิด พร้อมด้วยถ้วยกระเบื้องเล็กๆ อีกหนึ่งใบ
“ท่านป้าเจิน ข้าขอฝากฟางหรงและอาหรงไว้สักครึ่งวันด้วยนะเจ้าคะ วันนี้ข้าจะเข้าไปที่ตลาดเมืองเซี่ย ไปดูลู่ทางทำมาค้าขายเจ้าค่ะ นี่อาหารของฟางหรง มีข้าวผัดและไก่ย่างตับย่างเจ้าค่ะ” ป้าเจินมองตามมือของฝูเฟยเมี่ยวแล้วไปสะดุดกับขวดกระเบื้องนั้น
“แล้วนั่นอะไร?”
“อ้อ นั่นคือนมเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งบีบออกหลังจากป้อนนมอาหลงเสร็จเมื่อเช้านี้เอง หากว่าอาหลงตื่นขึ้นมาแล้วร้องอยากกินนม ให้ป้าเจินทำเช่นนี้นะเจ้าคะ ทำเหมือนป้อนน้ำเด็กเลยเจ้าค่ะ เพียงแต่ต้องประคองคออาหลงให้ดี จากนั้นเอียงถ้วยเข้ามาใกล้ๆ ปากอาหลง จากนั้นอาหลงจะใช้ลิ้นแลบออกมาเลียนมช้าๆ เมื่อเช้าข้าลองทำดูแล้ว อาหลงก็ให้ความร่วมมือดีเจ้าค่ะ” ฝูเฟยเมี่ยวมองดูบุตรชายที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ด้วยสีหน้าที่กังวลอยู่บ้าง เพียงแค่การอธิบายแต่มิได้ลองทำให้ดูป้าเจินจะสามารถทำได้หรือไม่นะ การดูแลเด็กทารกนั้นเป็นเรื่องละเอียดและละเอียดอ่อนยิ่ง เพราะเด็กทารกยุคนี้ล้วนแต่ดูดนมจากเต้าทั้งสิ้น คงจะยังไม่มีผู้ใดป้อนนมลูกด้วยวิธีนี้กระมัง
ป้าเจินยิ้มละไม
“วางใจเถิด เมื่อก่อนข้าก็เคยช่วยพี่สาวเลี้ยงลูก หัวนมนางบอด ลูกดูดนมยากจึงต้องบีบนมใส่ถ้วยเช่นนี้ แล้วจึงให้เด็กกินนมจากถ้วย ป้อนน้ำ ป้อนนมจากถ้วยข้าล้วนเคยทำมาแล้วทั้งสิ้น เจ้าช่างปราดเปรื่องยิ่งนักอาเมี่ยวที่คิดวิธีนี้ได้” หญิงชราเอ่ยชม
ฝูเฟยเมี่ยวยิ้มแห้งๆ นางอยากจะหัวเราะแหะๆ พลางร้องตะโกนว่า
‘มิใช่ว่าข้าคิดได้เองหรอกเจ้าค่ะ แต่ข้าเคยไปดูเขาถ่ายละครมาเลยจำได้ขึ้นใจ’
หญิงสาวอยากนึกขอบคุณสวรรค์ที่ส่งนางมาเกิดใหม่ยังไม่พอ ยังส่งป้าเจินมาเป็นกัลยาณมิตรอีกด้วย นางนึกไม่ถึงว่าวิธีการป้อนนมจากถ้วยนั้นจะเป็นวิธีที่ผู้คนใช้กันมาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณแล้ว
‘จริงสินะ ยุคสมัยไหนก็มีสตรีที่หัวนมบอดด้วยกันทั้งสิ้น’
ปลายยามเหม่า (05.00-06.59น.)
หลังจากที่ทุกคนมาพร้อมกันแล้วก็ถึงเวลาออกเดินทาง เมืองเซี่ยนั้นอยู่ห่างจากหมู่บ้านเฉียงไฉ่ 50 ลี้ ใช้เวลาเดินทางขาไปหนึ่งชั่วยาม ขากลับอีกหนึ่งชั่วยาม ค่าโดยสารที่ทุกคนต้องจ่ายคือ 50 อีแปะ
“ถึงแล้ว ตลาดกลางเมืองเซี่ย เดี๋ยวทุกคนมาเจอกันตรงนี้ตอนปลายยามซื่อนะ จะได้กลับถึงบ้านแต่หัววัน (ยามซื่อ = 09.00-10.59น.) ” จางลู่ชินเอ่ยบอก
ตอนนี้ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำธุระของตนเอง ฝูเฟยเมี่ยวนั้นเดินเข้าโรงเตี๊ยมและร้านอาหารเพื่อไปถามว่าพวกเขารับซื้อจิ้งหรีดและจิ้งโกร่งหรือไม่
“รับสิ ถ้ามีเยอะอ่ะนะ ที่ข้าเคยเห็นก็คือชาวบ้านก็เอาเข้ามาขายบ้าง เพียงแต่มีจำนวนไม่มากเท่าไหร่เพราะจิ้งหรีดกับจิ้งโกร่งนั้นหายาก แต่ลูกค้าก็ชอบกินเสียด้วยซี ยิ่งเป็นของหายากพวกเขายิ่งชอบ”
“ถ้าเจ้าหามาได้ให้รีบเอามาให้ร้านข้าก่อนเลย ห้ามเอาไปขายที่อื่นเข้าใจหรือไม่?”
“เอ่อ…แล้วหลงจู๊ให้ราคาเท่าไหร่เจ้าคะ?” ฝูเฟยเมี่ยวคิดว่าตนเองนั้นต้องทำการรอบคอบ ต้องตกลงราคากันเอาไว้ก่อน
หลงจู๊ทำท่านึก
“จิ้งหรีด 1 จิน 100 อีแปะ จิ้งโกร่ง 1 จิน 150 อีแปะเป็นอย่างไร?” หลงจู๊โรงเตี๊ยมแรกเอ่ยตอบ
“จิ้งหรีด 1 จิน 200 อีแปะ จิ้งโกร่ง 1 จิน 300 อีแปะเป็นอย่างไร เจ้าพอใจหรือไม่?” หลงจู๊โรงเตี๊ยมแห่งที่ 2 ตอบ
“จิ้งหรีด 1 จิน 250 อีแปะ จิ้งโกร่ง 1 จิน 350 อีแปะ” เถ้าแก่ร้านอาหารร้านแรกตอบ
“จิ้งหรีด 1 จินให้ 200 อีแปะ จิ้งโกร่ง 1 จินให้ 400 อีแปะ” เถ้าแก่ร้านอาหารร้านที่ 2 ตอบ เขารู้ว่าจิ้งโกร่งนั้นอร่อยและหายากกว่าจิ้งหรีดมากนัก
ฝูเฟยเมี่ยวยกยิ้มอย่างพอใจ ราคาที่ทั้งโรงเตี๊ยมและร้านอาหารเสนอมานั้นนับว่าไม่เลว แต่ราคาที่นางต้องการคือ
“ตอนนี้ข้าคิดว่าจะสามารถหาจิ้งหรีดและจิ้งโกร่งมาส่งให้ท่านได้มากถึง 10 จิน แต่ราคาที่ข้าต้องการคือ จิ้งหรีด 1 จิน ราคา 300 อีแปะ จิ้งโกร่ง 1 จินราคา 500 อีแปะ อีกไม่เกิน 15 วันข้าจะนำจิ้งหรีดมาให้ดูก่อนว่าทางนี้ถูกใจหรือไม่ ไม่ถูกใจ ไม่ซื้อหา ไม่ว่ากันเจ้าค่ะ”
หลงจู๊โรงเตี๊ยมและเถ้าแก่ร้านอาหารทำท่าอึกอักเล็กน้อย ไม่เคยมีผู้ใดนำจิ้งหรีดและจิ้งโกร่งมาขายให้พวกเขาเกิน 2 จินหรอก เพราะเป็นของหายาก พวกเขาต่างรับปากนางอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ย่อมได้ ราคานั้นไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงเจ้ามีของมาขายเถอะ ใครๆ ก็รู้ว่าจิ้งหรีดกับจิ้งโกร่งนั้นหายาก หวังว่าจะมิใช่การคุยโม้ให้ข้าเสียเวลาเท่านั้นนะ”
ฝูเฟยเมี่ยวลอบยกยิ้ม นางนึกบ่นในใจ
‘ก็ใครบอกว่าข้าไปหาจับหรือหาขุดมาเล่าเจ้าค่ะ ข้าเลี้ยงเจ้าค่ะ เป็นฟาร์มเลย’
“ได้แน่นอนเจ้าค่ะ อีกไม่เกิน 15 วันเจอกัน”