ตอนที่ 4 คนดีไป คนชั่วก็มา ( 1)

2316 Words
พอคนดีไป คนชั่วก็มา ใต้หล้านี้ช่างสมดุลยิ่งนัก “นี่ มีผู้ใดอยู่หรือไม่ หายหัวไปไหนกันหมด?” เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังมาจากด้านนอก ฝูฟางหรงเยี่ยมหน้าออกไปมองทางหน้าต่างก่อนจะเอ่ยเสียงเบาๆ กับผู้เป็นมารดา “ท่านป้าใหญ่มาเจ้าค่ะ ท่านแม่” พูดจบเด็กน้อยก็รีบไปหลบหลังผู้เป็นมารดาซึ่งกำลังให้นมน้องอยู่ ฝูเฟยเมี่ยวรู้ได้ในทันทีว่า ‘ป้าใหญ่’ ที่ฝูฟางหรงหมายถึงนั้นก็คือ ฉีเจียวเหม่ย พี่สาวคนโตของฉีห่าวซวนนั่นเอง ฉีเจียวเหม่ยเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ชอบเอาเปรียบผู้อื่น ยิ่งเห็นว่าผู้ใดโง่เขลา หัวอ่อน อ่อนแอ เอาเปรียบและรังแกได้ง่ายยิ่งได้ใจ สมแล้วที่เป็นพี่สาวของฉีห่าวซวน “เดี๋ยวแม่จะออกไปดูเอง ตอนนี้น้องหลับแล้ว ฟางหรง เจ้าอยู่ดูน้องที่นี่ หากน้องตื่นและร้องให้รีบไปเรียกแม่ เข้าใจหรือไม่?” น้ำเสียงของฝูเฟยเมี่ยวนั้นอ่อนโยนยิ่งนัก “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่” ทางด้านนอกเรือน “นี่ พากันหายหัวไปไหนกันหมด อาเมี่ยว อาฟางหรง หายหัวไปไหน ตอนนี้ข้าวในนาสุกเหลืองแล้วนะ หากไม่รีบเกี่ยวปะเดี๋ยวข้าวก็ร่วงกันหมดพอดี นี่…มีใครอยู่มั้ย?” ฝูเฟยเมี่ยวเดินลงบันไดมา นางยืนเอามือเท้าสะเอวพลางจ้องหน้าผู้มาเยือน “มีอะไรหรือ?” ฉีเจียวเหม่ยรู้สึกหงุดหงิดที่คนบ้านนี้ไม่รีบวิ่งออกมาต้อนรับตนเองเช่นเคยจนลืมสังเกตถึงความเปลี่ยนไปของสีหน้าและท่าทางของน้องสะใภ้ ไม่สิ…ต้องเรียกว่าอดีตน้องสะใภ้สิถึงจะถูก เพราะน้องชายเฮงซวยของนางได้บอกเลิกกับฝูเฟยเมี่ยวไปแล้ว “ชิชะ เจ้ายังจะกล้ามาถามอีกหรือว่ามีอันใด ก็ข้าวในนาของเจ้านั่นอย่างไรล่ะ สุกเหลืองจวนจะร่วงหมดอยู่แล้ว หากไม่รีบเก็บเกี่ยวเดี๋ยวก็ร่วงหมดหรอก รีบๆ เกี่ยวซะ อ้อ…แล้วอย่าลืมนำข้าวเปลือกไปให้ข้ากึ่งหนึ่งเช่นทุกปีด้วยล่ะ” ฝูเฟยเมี่ยวยืดแผ่นหลังขึ้นตรงพลางเชิดหน้า “เหตุใดต้องแบ่งไปให้ท่านกึ่งหนึ่งด้วยเล่า?” ฉีเจียวเหม่ยชะงัก เหตุใดสตรีหัวอ่อนและอ่อนแอตรงหน้าจึงกล้าพูดเช่นนี้กับนาง แต่ไหนแต่ไรมาฝูเฟยเมี่ยวนั้นไม่เคยต่อปากต่อคำ บอกให้ทำอะไรก็ยอมตามหมด “ก็…เจ้าก็แบ่งมาให้ข้าทุกปี ถึงแม้ว่าตอนนี้อาซวนน้องชายของข้าจะเลิกรากับเจ้าไปแล้วก็เถอะ แต่อย่างไรเด็กสองคนนั่นก็เป็นหลานข้า พวกเขาต้องแสดงความกตัญญูต่อข้าซึ่งเป็นป้า” “โดยการแบ่งข้าวที่เก็บเกี่ยวแล้วไปให้ท่านกึ่งหนึ่งเช่นนั้นหรือ?” ฝูเฟยเมี่ยวลอยหน้าลอยตาถามออกไป “ใช่ ต้องเป็นเช่นนั้น ทันทีที่เจ้านวดข้าวเสร็จให้รีบเอาข้าวเปลือกไปส่งให้ข้าที่บ้านเลย อย่าช้าล่ะ ข้ารอกินข้าวใหม่อยู่” ฉีเจียวเหม่ยทำเป็นเกรี้ยวกราด “ฮะๆๆๆ ฮ่า” ฝูเฟยเมี่ยวระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ฉีเจียวเหม่ยที่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติถึงกับหน้าถอดสี นี่มันอันใดกัน หรือว่าอดีตน้องสะใภ้ของนางนั้นเสียใจเรื่องที่ถูกสามีทอดทิ้งจนวิปลาสไปแล้ว “ฉีเจียวเหม่ย เจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดหรือ จึงจะมาบังคับขู่เข็ญเอาข้าวจากนาของข้าได้ เจ้าบอกว่าเด็กสองคนนี้เป็นหลานของเจ้า ขอถามหน่อย เจ้าเคยมาดูดำดูดีพวกเขาบ้างหรือไม่ ตอนข้าคลอดลูกคนเล็กเจ้าได้มาคอยสอดส่องดูแลหรือแม้แต่ถามข่าวคราวหรือไม่ แม้แต่ว่าเด็กที่คลอดออกมานั้นเป็นเด็กผู้หญิงหรือว่าเด็กผู้ชายเจ้ายังไม่รู้เลย เช่นนี้ยังจะกล้าอ้างว่าตนเองเป็นป้าได้อีกหรือ ช่างไม่ละอายปากตนเอง เจ้ากับน้องชายอดีตสามีเฮงซวยของข้านี่เลวกินกันไม่ลงจริงๆ ฮ่าๆๆๆ” ฉีเจียวเหม่ยไม่นึกว่าตนขุดมันกลับได้ขิงเผ็ด หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมตุ๊ต๊ะถึงกับมือไม้สั่น “จะ…เจ้า…เจ้า…เจ้ามันสตรีแพศยา เจ้ากล้าพูดเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร อย่างไรเสียเด็กสองคนนั้นก็แซ่ฉี แม้ข้าจะดูดำดูดีหรือไม่ก็ตาม ข้าก็เป็นป้า และพวกเขามีหน้าที่ต้องตอบแทนบุญคุณ มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นคนอกตัญญูเช่นเจ้า ฝูเฟยเมี่ยว ฮื่ย!” ฉีเจียวเหม่ยปากสั่นคอสั่น นางนึกไม่ถึงเลยว่าอดีตน้องสะใภ้ผู้โง่เขลาและอ่อนแอผู้นี้จู่ๆ ก็เกิดปีกกล้าขาแข็งขึ้นมา “แพศยา หมายถึง สิ่งใด หากหมายถึงผู้ที่มีสามีหรือภรรยาอยู่แล้ว แต่กลับระริกระรี้อยากไปหาคู่ใหม่นั้น เห็นทีคำว่าแพศยานั้นควรจะใช้กับฉีห่าวซวนมากกว่า หึ!ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้นแหละ บุรุษที่มีภรรยาและลูกแล้ว ครั้นพอสอบเข้ารับราชการได้ก็ทิ้งภรรยาและลูกไป จุดประสงค์ก็เพื่อจะไปหาภรรยาใหม่ ข้าจะคอยดูนะว่าข้าพูดผิดหรือไม่ที่กล่าวว่า ฉีห่าวซวนนั้นเป็นบุรุษแพศยา” ฝูเฟยเมี่ยวลอยหน้าลอยตาพูดแทงใจดำของพี่สาวอดีตสามี นางขยับก้าวเข้าไปหาคู่สนทนา ฉีเจียวเหม่ยซึ่งตั้งตัวไม่ติดกับการเปลี่ยนแปลงของอดีตน้องสะใภ้ในครั้งนี้ถึงกับถอยกรูด “นะ…นี่ นี่เจ้าหยุดนะ หยุดกล่าวหาทำให้อาซวนเสื่อมเสียเดี๋ยวนี้นะ ตอนนี้เขาได้รับราชการเป็นขุนนางแล้วเจ้ารู้หรือไม่ หากเจ้ายังพูดพล่อยๆ ข้าจะบอกให้เขาสั่งให้คนของทางการมาจับเจ้าไปขัง” ฉีเจียวเหม่ยนึกว่าคำขู่นี้จะใช้ได้ผลกับสตรีหัวอ่อนและอ่อนต่อโลกอย่างฝูเฟยเมี่ยว แต่นางดันคาดผิด ฝูเฟยเมี่ยวที่ควรจะรีบคุกเข่าเอาหัวโขกพื้นขอให้นางให้อภัยบัดนี้กลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังยิ่งกว่าเดิม “ฮ่าๆๆๆ นี่ถ้าข้าไม่กลัวว่าลูกข้าจะตื่นข้าจะหัวเราะให้ดังกว่านี้ ฮ่าๆๆๆ” ฉีเจียวเหม่ยยิ่งหน้าถอดสีเข้าไปใหญ่ “นี่เจ้าหัวเราะสิ่งใด เจ้ามันบ้าไปแล้ว” “นี่ ฉีเจียวเหม่ย ข้าจะบอกอันใดให้ น้องชายของเจ้า อดีตสามีเฮงซวยของข้านั้นได้รับราชการก็จริง แต่…เป็นเพียงขุนนางชั้นผู้น้อย ขุนนางเล็กๆ ขุนนางขั้นต่ำน่ะ เจ้ารู้หรือไม่ หากเขาจะสั่งให้คนของทางการมาจับข้า ข้าก็จะเขียนฎีการ้องทุกข์ ระบายความในใจที่ถูกสามีผู้สอบเข้ารับราชการได้ทอดทิ้ง ไม่เพียงทิ้งแต่เพียงข้า แต่ยังทิ้งลูกเล็กๆ อีกสองคนด้วย แล้วต่อไปเรื่องราวจะเป็นอย่างไรรู้หรือไม่ท่านป้าหน้าโง่ ฮ่องเต้ก็จะเรียกเขามาสอบสวน อ้อ..แล้วก็เรียกข้าไปด้วย จากนั้น…ฮ่าๆๆๆ” ฝูเฟยเมี่ยวเอามือปิดปากหัวเราะเบาๆ เพราะกลัวว่าเด็กสองคนที่อยู่บนเรือนจะตกใจ “จากนั้นอะไร?” ฉีเจียวเหม่ยตะคอกถาม “จากนั้น…ฮ่องเต้ก็จะลงโทษน้องชายของเจ้า อดีตสามีเฮงซวยของข้าโดยการปลดเขาออกจากการเป็นขุนนางขั้นต่ำกระจอกๆ นั่นอย่างไรล่ะ และไม่แน่ เขาอาจจะต้องได้รับโทษถูกคุมขังเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างคนอื่นๆ ต่อไป ฮ่องเต้ช่างทรงพระปรีชานัก ฮ่าๆๆๆ” คราวนี้ฉีเจียวเหม่ยหน้าซีดเผือด นางรู้สึกวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม นี่มันอันใดกัน ขุดมันกลับได้ขิงเผ็ด มาทวงข้าวเปลือกไม่ได้ข้าวเปลือก กลับได้คำหยามหมิ่นมาแทน นี่ผีร้ายมาสิงร่างอดีตน้องสะใภ้หน้าโง่ของนางหรืออย่างไร “ถึงกับพูดไม่ออกเลยหรือ ท่านป้าหน้าโง่ ที่เจ้าบอกว่าเด็กสองคนนั้นอย่างไรก็เป็นคนสกุลฉี ข้าจะบอกอันใดให้ อีกไม่กี่วันข้าจะเดินทางเข้าไปในเมือง ไปแจ้งแก่ทางการว่าข้าจะให้ลูกข้าทั้งสองคนนั้นใช้แซ่ฝูของข้า ไม่รู้จะใช้แซ่ฉีไปทำไม บิดาก็ทอดทิ้งไปแล้ว เท่ากับว่าเด็กสองคนนี้ไม่มีบิดา ต่อไปหากลูกข้าถามหาว่าบิดาหายไปไหน เห็นทีข้าต้องบอกว่า เขาโดนงูกัดตายแล้วล่ะ ฮ่าๆๆๆ พวกเขาจะได้ไม่ถามหาบิดาเฮงซวยเช่นนั้นอีกอย่างไรเล่า เจ้าว่าดีหรือไม่ ฉีเจียวเหม่ย?” ตอนนี้นางฉีเจียวเหม่ยที่โดนฝูเฟยเมี่ยวเดินหน้าประชิดใกล้เข้ามาถึงกับถอยหลังกรูดจนตกคันนาหัวคะมำ ฝูเฟยเมี่ยวระเบิดเสียงหัวเราะดังยิ่งกว่าเดิม “เจ้า เจ้ามันสตรีแพศยา เจ้ามาแช่งชักหักกระดูกอาซวนว่าเขาตายแล้วได้อย่างไร เจ้า…เจ้านี่มันปากไม่เป็นมงคลเอาซะเลย ฮื่ย!ข้าจะบอกอาซวนว่าไม่ให้ฝากเงินมาให้เจ้ากับลูกอีก ต่อไปนี้ต่างคนต่างอยู่ ถ้าจะตัดก็ตัดให้ขาด” ฉีเจียวเหม่ยที่มีรูปร่างท้วมเตี้ยอยู่แล้วจึงลุกขึ้นมาจากคันนาได้ยากยิ่ง นางต้องถอนหายใจตั้งหลายรอบกว่าจะพยุงร่างของตนให้ขึ้นมาได้ แต่ลุกขึ้นยืนได้ไม่นานก็ต้องทรุดลงไปนั่งกับพื้นอีกรอบ “เอ้า!เจ้าลงไปนอนเล่นบนรวงข้าวของข้าเช่นนั้นทำให้ข้าวข้าเสียหายหมด เดี๋ยวข้าก็ไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านซะหรอกว่าเจ้ามาทำลายข้าวของของข้า ระวังจะโดนค่าปรับนะ” ฝูเฟยเมี่ยวขู่ไม่จริงจังนัก นางแอบหันหน้าไปทางอื่นเพื่อหัวเราะเบาๆ “เจ้านั่นแหละที่ทำให้ข้าตกลงมาจากคันนา เจ้า…นัง..นังแพศยา ฮื่ย!” ฉีเจียวเหม่ยพยายามดันร่างท้วมๆ ของตนให้ลุกขึ้นอีกครั้ง ทว่าการทรงตัวบนดินโคลนที่ยากลำบากนั้นกลับทำให้นางล้มหัวคะมำไปอีก “ฮะๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ นี่เจ้ามาทำบ้าอะไรในนาของข้า ข้าวของข้าซึ่งสุกหมดแล้วเสียหายหมด เห็นทีข้าต้องขอความเป็นธรรมจากท่านหัวหน้าหมู่บ้านซะแล้ว อ้อ…ที่เจ้าบอกว่าจะบอกน้องชายเฮงซวยของเจ้าไม่ให้ฝากเงินมาให้ข้ากับลูกนั้นข้าไม่นึกแปลกใจและก็ไม่ได้คาดหวัง ขุนนางขั้นต่ำกระจอกๆ ผู้หนึ่งจะได้รับเบี้ยหวัดสักเท่าใดกันเชียว จะพอยาไส้หรือไม่ก็มิอาจรู้ได้ ไหนจะต้องใช้จ่ายในการเกี้ยวพาราสีสตรีอีก ฮ่าๆๆๆ เชิญเก็บเอาไว้เถอะ ข้ากับลูกมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินของเขาก็แล้วกัน” ตอนนี้นางฉีเจียวเหม่ยตะเกียกตะกายขึ้นมาบนคันนาด้วยสภาพที่ทุลักทุเล ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง นางทำทีเป็นเหยียดยิ้มออกมา อย่างไรเสียนางก็ต้องรักษาท่าทีเอาไว้ มิฉะนั้นอดีตน้องสะใภ้ตัวร้ายของนางจะได้ใจไปใหญ่ “ข้าจะคอยดู ว่าพวกเจ้าสามแม่ลูกนั้นจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ ปากดีและอวดดีเช่นนี้จะไปได้สักกี่น้ำ อาเมี่ยว เจ้าน่ะ ทั้งโง่เขลา ทั้งอ่อนแอ อีกทั้งยังไม่รู้หนังสือ ขี้คร้านจะต้องขายลูกไปเป็นทาสรับใช้ในเรือนของพวกเศรษฐีแล้วก็ขายเรือนร่างตัวเองไปเป็นนางคณิกาเพื่อแลกเงินกระมัง น้ำหน้าอย่างเจ้าคงทำได้แค่นั้นล่ะ หึหึ” ฉีเจียวเหม่ยทำเสียงหัวเราะตอนท้ายราวกับว่าตนเองนั้นเป็นผู้กุมชัยชนะเอาไว้ แต่แล้วเมื่ออีกฝ่ายเปิดปากพูด สตรีร่างท้วมเป็นต้องกำหมัดแน่น หายใจหอบกระเส่า “ข้าโง่เขลานั้นเป็นเรื่องจริง ข้าจึงไม่รู้ว่าหากต้องไปขายตัวเป็นนางคณิกานั้นต้องไปที่ใดหรือ รบกวนผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ในการขายเรือนร่างของตนเช่นท่านป้าฉีผู้ฉลาดปราดเปรื่องช่วยชี้แนะด้วยเถิด” ฝูเฟยเมี่ยวแสร้งทำเป็นยกมือขึ้นมาประสานกันคารวะสตรีร่างท้วมตรงหน้าที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดงเป็นการล้อเลียน “จะ…เจ้า เจ้า อาเมี่ยว เจ้าช่างร้ายกาจนัก ผีป่ามาเข้าสิงเข้าหรืออย่างไร วาจาจึงได้ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ดีแล้วล่ะที่อาซวนน้องชายของข้าตัดสินใจถูกเลิกรากับเจ้าไป” “หึ!วาจาที่ร้ายกาจ ต้องใช้กับคนที่ร้ายกาจ ใจดำอำมหิตอย่างเช่นพวกคนสกุลฉี ข้าคิดว่าเป็นข้าซะอีกนะที่โชคดีได้เลิกรากับบุรุษเฮงซวย เอาเปรียบสตรี ทอดทิ้งลูกและภรรยาอย่างน้องชายของเจ้า แต่เอ…เขาว่ากันว่า พวกขุนนางนั้นจะได้ดีหรือว่าตกต่ำมันก็ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงด้วยสิ หากว่าชื่อเสียงเสีย การจะได้ไต่เต้านั้นคงยาก เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน หากวันใดข้าว่างและนึกเบื่อๆ ข้าอาจจะเข้าเมืองไปร้องเรียนเรื่องอดีตสามีขุนนางชั่วช้าต่อท่านเจ้าเมือง หรือว่า…จะเข้าไปที่เมืองหลวง ขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ กราบทูลเรื่องที่ถูกสามีที่เป็นขุนนางขั้นต่ำกระจอกๆ ทอดทิ้งดี ท่านว่าอย่างไรล่ะ…ท่านป้าฉีผู้ฉลาดล้ำ ฮิฮิ” ฝูเฟยเมี่ยวหัวเราะไล่หลังพลางมองนางฉีเจียวเหม่ยกึ่งเดินกึ่งคลานไปบนคันนาของนางเพื่อกลับบ้านของตนไปอย่างน่าเสียดาย ‘แหม…ข้ากระแนะกระแหนไม่ทันได้สาแก่ใจเลย ก็เผ่นหนีไปซะแล้ว เอ…หรือว่านั่นจะมีคนมาอีกแล้ว’ ฝูเฟยเมี่ยวมองไปที่ประตูรั้วอีกฟากของคันนาก็เห็นสตรีร่างบางดั่งกิ่งหลิวเดินโซซัดโซเซมาแต่ไกล “หึ!ท่านป้ารองนั่นเอง มากันให้หมด ข้าจะได้เสียเวลาชำระความกันซะในวันเดียว จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอีกในวันหลัง”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD