ภาพของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีชมพูอ่อนในชุดขาวเปื้อนเลือด คลุมทับด้วยเสื้อตัวนอกสีเลือดหมูและผูกผ้ารัดเอวไว้อย่างหลวมๆ ส่งผลให้บ่าวรับใช้ที่เดินสวนไปมาอย่างขวักไขว่ต่างพากันเหลียวคอมองตาม ดวงตาของพวกเขาเบิกโตราวกับไข่ห่าน ปากอ้ากว้างจนแหย่นิ้วเข้าไปได้สามนิ้ว
“ทะ...ท่านเจ้าเมือง”
“เหตุใดจึงได้แต่งตัวรุ่มร่ามเยี่ยงนี้ แล้วนั่น...เลือดใคร”
“ท่านเจ้าเมืองบาดเจ็บหรือ!”
“มาดยั่วยวนของท่านเจ้าเมือง ข้า...ฮื้อ! ข้าจะเป็นลม...”
ตึง! ตึง!
ร่างของสาวใช้สองนางที่ทิ้งตัวลงกับพื้นราวกับใบไม้ร่วงส่งผลให้ร่างเล็กที่กำลังเดินอย่างมุ่งมั่นชะงัก เธอขมวดคิ้วเหลียวหลังไปมองท่าทางอันแปลกประหลาดของพวกเขา ไม่รู้ตัวเลยว่ายามหันเอี้ยวคอ คอเสื้อที่พันทบอย่างไม่เป็นระเบียบก็เผยอออกเล็กน้อย อวดเรียวคอขาวผ่องและเนินอกซึ่งแต่เดิมซ่อนรูป แม้หญิงสาวจะตัวเล็กทว่าสัดส่วนทุกอย่างกลับกลมกลึงพอเหมาะ
พรวด!
คราวนี้เซียงรื่อถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อเลือดกำเดาสีแดงฉานทะลักออกมาจากจมูกของบ่าวบุรุษที่อยู่ใกล้ตัว
“เฮ้อ!” หญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าพร้อมกับถอนหายใจ เธอต้องมาเห็นฉากเลือดสาดเข้าอีกแล้วหรือนี่
การแต่งกายแบบนี้ในโลกความเป็นจริงไม่ถือว่าโป๊เปลือยแต่อย่างใด ผู้คนใส่สายเดี่ยวเอวลอย กางเกงขาสั้นอวดเรียวขาสวยถือเป็นเรื่องปกติ การ์ตูนเรื่องนี้เป็นแนวกำลังภายใน-แฟนตาซีแต่ก็อิงขนบธรรมเนียมแบบยุคสมัยโบราณเป็นหลัก ในระหว่างอ่านเธอเองก็ทราบดี แต่พอต้องมาใช้ชีวิตอยู่จริงๆ มันก็เป็นการยากที่จะปรับตัวหรือเปลี่ยนความเคยชินได้ทันที
เรื่องนี้เธอเองก็อับจนปัญญา คาดว่าไม่ช้าไม่เร็วคงมีคนดูออกว่าท่านเจ้าเมืองของพวกเขาเปลี่ยนไปจากเดิม
แต่ในระหว่างที่พยายามสวมเครื่องแต่งกายที่แสนยุ่งยาก เซียงรื่อได้คิดแผนรับมือมาแล้วบางส่วน
พลังไร้รูปในเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ พระเอกและนางเอก...รวมถึงตัวร้ายอย่างฝูหมิงเองมีพลังไร้รูปที่ใช้ในการโจมตีอย่างรุนแรง ส่วนพระรองนั้นเป็นพลังไร้รูปในรูปแบบของม่านพลังป้องกัน
แต่ท่านเจ้าเมืองหมอกอสูรมีพลังไร้รูปที่ต่างออกไป เป็นพลังที่หาได้ยากชนิดที่เรียกว่าแทบจะมีเพียงหนึ่งเดียวในโลก
...พลังแห่งการรักษา
หลายร้อยปีก่อน มนุษย์กับสัตว์อสูรทำสงครามครั้งใหญ่ เหล่าผู้มีสายเลือดครึ่งคนครึ่งสัตว์อสูรและสัตว์อสูรถูกสังหารตายเป็นจำนวนมาก ผู้ที่หนีรอดมาได้ต่างได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลเซียงซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเทพอสูรกระรอกหยกชมพูผู้มีพลังไร้รูปในการรักษา เมื่อหาที่ซ่อนตัวและสร้างนครลับกลางหุบเขาแห่งนี้ได้สำเร็จ ผู้คนจึงแต่งตั้งให้ตระกูลเซียงเป็นเจ้าเมืองปกครองมาจนถึงทุกวันนี้
ทว่าต่อให้มีพลังในการรักษาอาการบาดเจ็บ ท่านเจ้าเมืองกลับไม่สามารถใช้มันกับตัวเองได้ นี่ถือเป็นข้อเสียอันใหญ่หลวงที่ทำให้ผู้สืบสายเลือดของเทพอสูรกระรอกหยกต่างถูกใช้ประโยชน์จนล้มตายไปเรื่อยๆ เหลือแค่เซียงรื่อเป็นทายาทคนสุดท้าย
ในมหานครแห่งนี้มีหมอซึ่งมีสายเลือดอสูรเช่นเดียวกัน แต่การรักษาด้วยยาและสมุนไพรย่อมเทียบไม่ได้กับพลังที่สามารถรักษาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่า
การที่คนรอบข้างต่างสรรเสริญยกย่องท่านเจ้าเมืองถึงขั้นคลั่งไคล้ก็ด้วยเหตุผลนี้ ในสายตาของพวกเขา...พลังไร้รูปของเซียงรื่อนั้นเปรียบเสมือนพลังของเทพเซียนผู้วิเศษ เปรียบดั่งเสาหลักที่พึ่งพิงทางจิตใจในอีกรูปแบบหนึ่ง
ดังนั้นเซียงรื่อจึงคิดว่า ต่อให้ข้ารับใช้หรือคนที่อยู่ใกล้ชิดจะสงสัย... พวกเขาก็คงไม่กล้าทำอะไรที่จะเป็นอันตรายต่อเธอ ขอเพียงแค่เธอมีเหตุผลมารองรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปก็พอ
“ข้าปวดหัว” เซียงรื่อบ่นพลางปิดเปลือกตาลงครึ่งหนึ่ง ใบหูทรงสามเหลี่ยมบนศีรษะกับพวงหางนุ่มฟูทางด้านหลังขยับเล็กน้อยขณะที่เจ้าตัวหันไปทางสาวใช้ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง “พวกเจ้ามาแต่งตัวให้ข้า”
เธอวางมาดใช้น้ำเสียงมีอำนาจอย่างเต็มที่ ลักษณะนิสัยเหล่านี้เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของท่านเจ้าเมืองในการ์ตูน
ทว่าแทนที่ผู้ฟังจะขานรับด้วยสีหน้าเคารพยำเกรง ดวงตาของพวกนางกลับเปล่งประกายพริบพราว
อา...เธอเผลอลืมไปได้อย่างไรว่าตนกำลังอยู่ท่ามกลางคนเพี้ยน!
“...พวกข้าสามารถแต่งตัวให้ท่านได้จริงๆ หรือเจ้าคะ”
เซียงรื่อชักสีหน้ารำคาญ “มัวอืดอาดยืดยาดอยู่ไย พวกเจ้าที่เหลือ...สั่งให้คนเตรียมเกี้ยวมาหามข้าเสีย ข้าขี้เกียจเดิน”
“ท่านเจ้าเมืองจะไปไหนหรือขอรับ”
“หอเปี่ยมมิตร” เธอออกคำสั่ง “บอกอวิ๋นซูอย่าเพิ่งไปไหน หากยังไม่พบข้าก็ห้ามกลับบ้านโดยเด็ดขาด”
“ขอรับ! พวกเราจะรีบจัดการตามที่ท่านว่า”
เหล่าบ่าวไพร่ที่ยังหน้าแดงจากภาพวาบหวิวของนายหญิงค้อมศีรษะพลางก้มหน้าก้มตาแยกย้ายกันไปทำตามคำสั่ง ขณะที่หญิงสาวเดินทอดน่องตามสาวใช้ที่พาเธอไปแต่งตัวใหม่
หากจะให้นิยามนิสัยของท่านเจ้าเมืองไว้ในประโยคเดียวก็คงเป็น ‘สาวน้อยที่เก็บกดจนกลายเป็นคนเอาแต่ใจ’
ท่านเจ้าเมืองเป็นทายาทเพียงคนเดียวของสกุลเซียง นางต้องแบกรับหน้าที่การเป็นเสาหลักของนครหมอกอสูรและฝึกฝนพลังไร้รูปที่มีอย่างหนัก ความกดดันจากครอบครัวทำให้นางเกิดความเครียดและขาดความอบอุ่น ขณะเดียวกันเสียงเยินยอสรรเสริญของคนรอบข้างหลังจากได้รับตำแหน่งก็ทำให้นางทะนงในตัวเอง จนกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจ
ดังนั้นเมื่อย่างเข้าสู่วัยสาวเต็มตัว นางจึงรับทาสเข้ามาแล้วใช้กิจกรรมบนเตียงลดทอนความเหงาและปลดปล่อยความเครียดที่สั่งสมอยู่ในจิตใจออกมา
และแทนที่ผู้คนรอบกายจะช่วยกันเตือนหรือห้าม พวกเขากลับช่วยเหลือส่งเสริม หวังว่าวิธีนี้อาจจะช่วยให้สกุลเซียงมีทายาทมากขึ้น เพิ่มจำนวนคนที่มีพลังไร้รูปในการรักษาซึ่งเป็นประโยชน์แก่พวกเขา พอคิดมาถึงจุดนี้เธอก็เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าระหว่างท่านเจ้าเมืองกับชาวเมือง...ใครกันแน่ที่เห็นแก่ตัวมากกว่ากัน
เซียงรื่อคิดพลางเค้นยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน โชคดีที่อย่างน้อยก็มีคนๆ หนึ่งที่เธอมั่นใจว่าเขาปรารถนาดีกับท่านเจ้าเมืองจากใจจริง
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ท่านเจ้าเมือง”
เสียงของสาวใช้ทั้งสองดึงสติของเธอกลับมา ครั้นก้มหน้ามองชุดสีม่วงซึ่งเป็นสีเดียวกับดวงตาเจ้าของร่าง เซียงรื่อก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เมื่อครู่นี้เธอเอาแต่เหม่อคิดเรื่องอื่นจนเผลอลืมที่จะศึกษาวิธีการแต่งชุดจากพวกนางไปเสียสนิท ช่างเถิด...ไว้ค่อยเรียนรู้เอาตอนถอดออกก็น่าจะพอไหว
นิ้วเรียวของเซียงรื่อเคลื่อนมาเสยเรือนผมสีชมพูเงางามที่ยาวจนถึงสะโพก แม้มันจะสวยดี แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับการไว้ผมยาวก็อดรู้สึกรำคาญนิดๆ ไม่ได้
“ถักเปียให้ข้า”
“เจ้าค่ะ ท่านเจ้าเมืองอยากได้เปียเดียวหรือว่าสองเปียดีเจ้าคะ” อีกฝ่ายถามอย่างกระตือรือร้น
“เปียเดียวพอ”
เธอกล่าวจบก็มองดูเงาสะท้อนของสาวใช้ด้านหลังผ่านทางกระจกทองเหลือง ริมฝีปากบางอ้าออกน้อยๆ เมื่อพบว่านางขยับมืออย่างคล่องแคล่ว เพียงพริบตาเดียวก็สามารถถักเปียให้เธอจนแล้วเสร็จ มิหนำซ้ำยังนำบุปผาสีขาวดอกเล็กๆ มาประดับให้ราวกับช่างทำผมสำหรับเจ้าสาว
เซียงรื่อกะพริบตาสองครั้ง อดสงสัยไม่ได้ว่าแค่การถักเปียจำเป็นต้องพิถีพิถันเพียงนี้เชียวหรือ
“ทำไมต้องประดับบุปผา”
คำถามดังกล่าวเรียกให้สาวใช้สองนางหันมามองหน้ากัน ก่อนที่คนด้านขวาจะกล่าวขึ้นมาอย่างนอบน้อม “ท่านเจ้าเมืองไม่ได้พบคุณชายอวิ๋นมาสามเดือนแล้ว”
ผู้ฟังเอามือกอดอก ยังคงไม่เข้าใจความหมายที่นางต้องการจะสื่อ “แล้วอย่างไร”