วันต่อมา…
@ วัดใหม่
บ่ายวันนี้ที่วัดมีงานศพของคนในหมู่บ้าน หมอกยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเคย หลังจากอบเชยเริ่มเข้าเรียนมอต้น หมอกไม่ได้ทำแค่อาชีพสัปเหร่อเพียงอย่างเดียว เขาเลิกหาของป่าขาย เปลี่ยนมาปลูกไม้ประดับขายแทน พื้นที่เพาะปลูกพันธุ์ไม้ก็คือป่าช้าเก่าที่เขาดูแลอยู่ ที่นั่นไม่มีผู้คนแวะเวียนเข้าไป แม้แต่พระเณรหรือแม่ชีก็ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะเดินผ่าน ลำพังเงินจากอาชีพสัปเหร่อนั้นไม่พอส่งเสียหลานสาวให้ได้เรียนหนังสือสูง ๆ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ยิ่งสมัยนี้โลกขับเคลื่อนด้วยเงินตรา ผู้เป็นลุงเลยต้องขยันทำงานเพื่อนหลานสาวจะได้ไม่น้อยหน้าใคร โชคดีที่กระแสของไม้ประดับมาแรง ทำให้หมอกมีรายรับมากขึ้น ไม่ขัดสนเงินทองเหมือนเมื่อก่อน
“ไอ้หมอก ทำไมเอ็งไม่ไปหางานหาการในเมืองทำวะ งานนี้ก็ให้คนแก่เขาทำไป จะได้ตามไปดูนังเชยที่มหาลัยด้วย” เสียงป้าแต๋วคนข้างบ้านเอ่ยขึ้นเมื่อเจอหน้าเขาพอดี วันนี้แกมาช่วยงานศพที่วัดเหมือนกับป้า ๆ ยาย ๆ คนอื่น ๆ
“คนแก่ที่ว่าคือผัวป้าน่ะเหรอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นพร้อมมองหน้าคนอายุมากกว่า ร่างใหญ่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเลือกที่จะเดินหนีไปเงียบ ๆ อย่างที่เคยทำ
ป้าแต๋วไม่รู้ว่าหมอกทำอาชีพอื่นด้วย ป้าไม่ได้รู้รายละเอียดรายรับรายจ่ายของบ้านเขา แกทึกทักไปเองว่าสัปเหร่อนั้นรายได้ดีจึงอยากให้สามีตัวเองทำ เพราะเห็นหมอกมีเงินส่งหลานสาวเรียนมหาลัย มีเงินออกรถ และอบเชยเองก็มีเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่ มีโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ใช้อย่างที่เด็กสาวในหมู่บ้านไม่ค่อยมีกัน
ในหมู่บ้านน้อยคนนักจะได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยถ้าพ่อแม่ไม่มีเงินจริง ๆ ส่วนใหญ่เรียนจบมอต้นมอปลายก็แต่งงานมีลูกกันหมด อาชีพหลักของคนที่นี่คือรับจ้างรายวัน นี่คือสังคมของที่นี่ หมอกกับชบานั้นโตมาอย่างนี้ แต่เขาเลี้ยงอบเชยให้ต่างออกไป
หลังจากชบาจากไปคนในหมู่บ้านก็ลือกันว่าหมอกเปลี่ยนไปราวกับคนละคน เขาหมกมุ่นกับงานในป่าช้า เริ่มห่างจากกลุ่มเพื่อนในหมู่บ้าน จนทุกวันนี้เขาใช้ชีวิตกับอบเชยแค่สองคน นอกจากพระในวัดกับแม่ชีแล้ว หมอกก็ไม่เคยออกไปพบปะใครเลย
“หรือมันจะเป็นบ้าเพราะน้องมันตายวะ” กลุ่มหญิงสูงวัยนั่งจับกลุ่มคุยกันในศาลาวัด
“ข้าว่ามันไม่ได้บ้าหรอก มันอาจจะเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า”
“พวกเอ็งจะเดาทำไมวะ มันจะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ อย่าไปยุ่งกับมันเลย เอ็งเคยมองตามันไหม ข้าเผลอมองทีไรขนลุกทุกที”
“เออใช่ ตานี่แข็งอย่างกับคนโดนผีเข้า”
“หลานสาวมันก็พอกัน กลับมาอยู่บ้านทีไร ตกดึกมาหมาในหมู่บ้านเห่าหอนกันจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ยังดีนะที่มันกลับมาแค่เสาร์อาทิตย์ ช่วงปิดเทอมมันก็ไปอยู่กับแม่ชีเลยสบายหูหน่อย”
“หรือพวกมันจะโดนผีสิงวะ ไม่ก็เจ้ากรรมนายเวรตามติด”
กลุ่มคนที่นั่งจับกลุ่มคุยกันไม่รู้เลยว่ามีสิ่งที่ตามองไม่เห็นกำลังฟังอยู่ ร่างกำยำของเจ้าที่แกร่งยืนฟังแล้วก็นึกตาม นี่เป็นเพียงข่าวลือที่ใส่สีตีไข่หรือเรื่องจริงกันแน่ แต่บริวารเขาบอกว่าเด็กนั่นฝันร้ายตอนกลางคืนบ่อย หรือมันจะเกี่ยวกับเรื่องที่อบเชยกลับมาอยู่บ้านแล้วหมาเห่าหมาหอนกัน
วูบ~
เรือนร่างกำยำของเจ้าที่แกร่งปรากฏกายขึ้นหน้าบ้านหลังหนึ่ง ดวงตาสีมืดกวาดมองไปรอบ ๆ ก็พบว่ามีศาลเจ้าที่หลังน้อยตั้งอยู่ ม่านอาคมของเจ้าที่ประจำบ้านทำให้ร่างใหญ่เข้าไปข้างในไม่ได้ แม้จะมีตำแหน่งสูงสุดและมีพลังวิญญาณที่แกร่งสุดในแถบนี้ แต่ก็ไม่สามารถเดินผ่านม่านอาคมที่เปรียบเสมือนประตูบ้านที่ล็อกกุญแจเอาไว้ได้
“อ้าว? นั่นท่านวสันต์ใช่ไหมครับ” เสียงเย็นยะเยือกของเจ้าที่หนุ่มเอ่ยถามเมื่อรับรู้ถึงพลังวิญญาณของผู้มาเยือน ร่างครึ่งท่อนบนลอยออกมานอกรั้ว ถามไถ่คนตรงหน้า “ท่านวสันต์มาที่นี่มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“พอดีเพิ่งออกจากสมาธิน่ะ ก็เลยมาสำรวจหมู่บ้านหน่อย” คนถูกถามตอบกลับ
“มิน่าล่ะ ผมรู้สึกถึงพลังที่แกร่งมาก ๆ จากท่านเลย”
“ขอบคุณครับ ว่าแต่สบายดีไหม หมู่บ้านเรามีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นอีกหรือเปล่า” เจ้าที่แกร่งถามคนตรงหน้า
“เรื่องแปลก ๆ ที่ว่าหมายถึงเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเหรอครับ”
“ใช่”
“ไม่มีหรอกครับ หลังจากเรื่องนั้นเงียบลง เจ้าที่ในหมู่บ้านเราก็พากันออกตรวจหมู่บ้านบ่อย ๆ มีแต่ป่าช้าใหม่กับป่าช้าเก่าที่ทางท่านวสันต์เป็นคนดูแลอยู่นั่นแหละที่พวกเราไม่ได้เข้าไป อีกอย่างแถวนั้นวิญญาณเกเรเยอะ กลัวไปแล้วจะมีปัญหากันเปล่า ๆ” เจ้าที่หนุ่มเริ่มเล่าถึงการทำงานของเจ้าที่และผีบ้านผีเรือนในหมู่บ้านให้คนตรงหน้าฟัง
เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนมีใครบางคนลักลอบเข้ามาในหมู่บ้าน วิญญาณนั้นแข็งแกร่งจนใครต่อใครต่างหวาดกลัว บ้างก็ว่าเป็นวิญญาณก่อการร้ายที่เคยพยายามล้มเจ้าแห่งภพชาติคนเก่า แต่ทำไม่สำเร็จจึงถูกไล่ล่า และหนีเข้ามาหลบซ่อนในหมู่บ้านนี้ แต่แล้วจู่ ๆ กลิ่นอายวิญญาณร้ายนั่นก็หายไป เหล่าเจ้าที่และผีบ้านผีเรือนรวมถึงวิญญาณอื่นช่วยกันออกตามหาแต่ก็ไม่เจอ
เจ้าแห่งภพชาติที่ว่าคือวิญญาณที่เป็นใหญ่ในโลกวิญญาณ เป็นวิญญาณที่มีพลังแข็งแกร่งเหนือใคร วสันต์หรือท่านปู่ของขุนพลกับขุนศึกก็เคยลงท้าชิงตำแหน่งนี้ แต่ไม่ผ่านเพราะตอนนั้นเขาอ่อนแอเกินไป
“ว่าแต่ท่านถามแบบนี้…” เจ้าที่หนุ่มขมวดคิ้วเมื่อจู่ ๆ ก็รู้สึกใจคอไม่ดี
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกครับสบายใจได้” คนแกร่งกว่าเอ่ย “วันนี้ผมไปวัดมา ได้ยินคนในหมู่บ้านลือเรื่องแปลก ๆ เลยมาถามท่านดูน่ะ” ที่เลือกถามเจ้าที่บ้านนี้ก็เพราะผู้อาศัยของเขาเป็นแม่ค้าที่ตลาดสด ทั้งยังมีงานอดิเรกเป็นการสอดส่องเรื่องราวของเพื่อนบ้านน่ะสิ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือป้าแต๋วคนข้างบ้านสัปเหร่อหนุ่มแกชอบเสือกเรื่องคนอื่นนั่นเอง
“อ๋อ ถ้าเป็นข่าวลือที่ผู้อาศัยบ้านผมพูดล่ะก็ ไม่มีอะไรหรอกครับ” เจ้าที่หนุ่มรู้ทันทีเลยรีบบอกไป “คนเราก็พูดไปเรื่อย ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นเลย”
“ถ้างั้นผมก็สบายใจ” คนแกร่งกว่าพยักหน้าให้ สองเจ้าที่คุยกันต่อครู่หนึ่งจึงแยกย้ายกัน แต่เรื่องฝันร้ายของอบเชยก็ยังกวนใจเขาอยู่
วสันต์เข้ามาในบ้านหลังข้าง ๆ ซึ่งเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง ใต้ถุนบ้านมีร่องรอยของล้อรถยนต์ขับเข้าออก มีเปลสีขาวแดงผูกติดเสาบ้านเอาไว้ และมีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดคู่กับจักรยานทรงแม่บ้าน
ป๊อก! ป๊อก!
เสียงของแข็งกระทบพื้นไม้ มือเรียวข้างหนึ่งถือมีดเล่มน้อยผ่าเสี้ยนไม้ให้เล็กลง หลานสาวคนสวยกำลังทำมื้อเย็นรอลุงอยู่มุมหนึ่งของบ้านที่แบ่งออกเป็นห้องครัว อีกประเดี๋ยวก็ถึงเวลาที่หมอกจะกลับมาแล้ว
ดวงตาสีมืดของเจ้าที่แกร่งมองแผ่นหลังบางของร่างเล็กอยู่ไม่ไกลนัก กลุ่มควันสีดำลอยอยู่เหนือศีรษะทุยก่อนจะค่อย ๆ จางหายไปแล้วเด่นชัดขึ้นมาอีก น่าแปลกตอนที่เด็กสาวอยู่ในป่าช้าเข้ากลับไม่เห็นมัน
“ไปทำอะไรไว้เขาถึงได้แช่งชักขนาดนี้” เสียงเย็นยะเยือกพึมพำเมื่อมองไปที่กลุ่มควันสีดำเหนือศีรษะทุย
มีแต่เจ้าที่ระดับสูงเท่านั้นที่จะมองเห็นกลุ่มควันนี้ เหล่าบริวารของเขาและผีอื่นนั้นไม่มีใครมองเห็น แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับคนที่มองเห็นมัน ใครต่อใครในโลกคนเป็นล้วนแล้วแต่เคยสาปแช่งใครไว้ หรือเคยโดนสาปแช่งเองมาแล้วทั้งนั้น ถึงเจ้าที่ระดับสูงจะมองเห็นแต่พวกเขาก็ปล่อยผ่านไป มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกเขา ใครทำอะไรไว้ก็จัดการกันเอาเอง คนในโลกวิญญาณจะมายุ่งเรื่องของคนเป็นก็ไม่สมควร
“ถึงจะอยากช่วยแต่ก็ทำไม่ได้หรอก ใครแช่งไว้ก็ต้องเป็นคนแก้” เสียงเย็นยะเยือกพึมพำต่อ นี่ไม่ใช่คำสาปแช่งที่คนในชาตินี้แช่งเธอไว้ แต่มันติดมากับเธอตั้งแต่ชาติที่แล้ว “แต่ถ้าให้แวะมาปลุกทุกคืนก็ได้อยู่หรอก”