เสียงเอ็ดอึงนั้นแทรกลึกเข้าไปปลุกสติให้ลู่ชิงเยี่ยนค่อยๆ กลับคืนมาสายตาของเด็กสาวกวาดไปรอบห้องเพื่อหาผู้เป็นพี่สาวก่อนเป็นอันดับแรกเมื่อไม่พบก็แตกตื่นเสียขวัญไปหมดแทบหายเมาเป็นปลิดทิ้ง ยิ่งเห็นบุรุษในชุดองครักษ์ที่นางจดจำได้ว่าเขาคนนี้เป็นคนของว่าที่พี่เขยกำลังยืนหันหลังกำลังชะโชกกายไปที่หน้าต่างแล้วตะโกนบางประโยคที่นางพอจะจับใจความได้คล้ายเรียกบอกบางสิ่งกับหย่งเลี่ยงโหวพลางยื้อยุดฉุดดึงอันใดสักอย่างที่หนักไม่น้อยลู่ชิงเยี่ยนางก็ยิ่งเพิ่มความกังวลใจสูงลิ่วเร่งตะเกียกตะกายกำลังจะเตรียมชะโงกกายไปดูที่ด้านล่างทว่า...
“ตุ๊บ!...โครม!...”
“ท่านโหว!!!”
เสียงองครักษ์ผู้นั้นตะโกนก้องยังไม่สิ้นดีก็มีเสียงของหนักหล่นไปที่พื้นด้านล่างจากนั้นก็เป็นเสียงกรีดร้องของผู้คนแสนจะอึงมี่ลู่ชิงเยี่ยนนางขยี้ตาจนแจ่มชัดแล้วชะโงกหน้ามองลงไปยังพื้นด้านล่าง
“ท่านโหว...พี่ถิงจือ!”
สองมือเล็กยกขึ้นปิดปากดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วเบิกโพลงเสียขวัญอย่างยิ่งกับภาพของร่างสองร่างที่นางคุ้นตาทั้งคู่ผู้หนึ่งนั้นนอนสงบนิ่งที่พื้นอีกผู้ค้างอยู่บนหลังคาของรถม้าอันคุ้นตานางรู้สึกเหมือนทุกสิ่งรอบกายพลันหยุดนิ่งแม้นแต่ลมหายใจของตนเองก็ดูเหมือนนางหยุดการหายใจเข้าและออกเอาไว้ครู่หนึ่งจนหูได้ยินท่านองครักษ์ร่างใหญ่สบถบ้างสิ่ง
ลู่ชิงเยี่ยนจึงเบียดกายวิ่งสุดฝีเท้าแซงหน้าองครักษ์ร่างใหญ่ลงบันไดชนิดไม่กลัวว่าจะก้าวพลาดตกลงไปคอหักตายเพราะใจของนางมันนำหน้าไปรอที่ชั้นหนึ่งนานแล้วนั่นเอง
“พี่ถิงจือ...ท่านโหว...นี่มันเกิดอันใดขึ้น?”
พอลงมาถึงชั้นหนึ่งนางก็พุ่งกายแทรกฝ่าผู้คนในหอชุ่ยฟางที่แวะมากินมาดื่มมากเรือนร้อนไปหาพี่สาวก่อนเป็นอันดับแรกพอนางทรุดกายลงนั่งกลางสายฝนอันหนักหนาภาพของลู่ถิงจือที่ดวงตานั้นยังเบิกโพลงแขนข้างหนึ่งหักผิดรูปขาทั้งสองข้างก็มีสภาพไม่ต่างกัน
“พี่สาว...เสี่ยวลี่ เสี่ยวจาง นี่คือ...นี่มันคืออันใดกัน?”
นางถามไปพลางก็พยายามจะขยับจับร่างของลู่ถิงจือ อย่างคนสติหลุดลอยก็เมื่อครู่พวกนางยังกินข้าวร่วมกัน พูดคุยหยอกล้อ ภาพรอยยิ้มของพี่สาวนั้นติดตามิรู้เลือนหายแล้วภาพตรงหน้านี้มันคือสิ่งใดกันเล่า?
เด็กสาวนั่งโง่งมคุกเข่ากลางสายฝนโดยมิอาจทำสิ่งใดถูกจะขยับก็คิดไปว่าลู่ถิงจือนั้นอาจเจ็บปวดหูสองข้างนั้นก็อื้ออึงไปหมดมิได้สนใจเสียงของผู้คนรอบกายเลยว่าร่างของอีกคนที่ค้างอยู่บนรถม้านั้นโชคดียิ่งนักที่ยังไม่สิ้นลมเช่นสตรีซึ่งตกลงมากระแทกพื้นโดยตรงมิมีสิ่งใดรองรับกายเช่นท่านโหวหนุ่ม
ซุนจื่อเรียกหาพ่อบ้านหวังและหมอหลวงพลางส่งคนในปกครองของตนเองไปรายงานถึงตำหนักฮองเฮาอย่างเร่งด่วนเพราะทราบดีว่าน้องชายผู้นี้เยี่ยฮองเฮานั้นทรงรักใคร่และเมตตาเกินพี่น้องคนอื่น ถึงร่างสูงใหญ่จะมีลมหายใจอยู่ ทว่ากระดูกหลายแห่งหักผิดรูปจนคนซึ่งผ่านความตายมานับครั้งไม่ถ้วนนั้นยังอดจะใจหายเสียมิได้
“พี่ถิงจือ...”
มือเรียวสั่นระริกยื่นออกไปแตะที่ใบหน้าซึ่งเคยงดงามล่มปฐพีแต่บัดนี้กลับดูบิดเบี้ยวยากจะหาความงดงามเจอสายฝนที่เทกระหน่ำราวท้องฟ้ารั่วนั้นสาดซัดจนกายอรชรเปียกปอนแต่ลู่ชิงเยี่ยนนางกลับไปรับรู้ถึงความหนาวเหน็บเลยสักนิด คล้ายร่างกายของตนนั้นมาด้านชาไปหมด
“ถิงจือ!/เสี่ยวจือ!”
เสียงอันคุ้นเคยทำเอาเด็กสาวผวาเยือก แล้วจากนั้นเสียงกรีดร้องเสียงด่าทอพร้อมตบตีก็ดังกลบน้ำฝนที่กำลังสาดซัดรุนแรงไปจนสิ้น!
“นังเลือดชั่วเจ้าทำอันใดอาจือนางอสรพิษเจ้าสังหารบุตรสาวของข้าตายเสียเถอะชิงเยี่ยน!”
ลู่ฮูหยินที่แน่ใจแล้วว่าบุตรคนเดียวที่นางรักดังแก้วตาดวงใจสิ้นลมไปหลายเค่อแล้วก่อนนางจะมาถึงก็ตรงเข้าไปกระชากเส้นผมนุ่มแล้วฟาดฝ่ามือใส่ใบหน้ากลมสดใสไม่ออมแรง
“ไม่...ท่านแม่ใหญ่ชิงเยี่ยนมิทราบว่ามันเกิดอันใดขึ้นเจ้าค่ะ...ชิงเยี่ยนไม่ทราบอันใดเลย...โอ๊ย!”
...เผียะ!...ตุบตับ!...เผียะ!...เผียะ!...
“หยุด!”
ซุนจื่อที่จัดการส่งกายที่บาดเจ็บสาหัสของเยี่ยหย่งชุนขึ้นรถม้าคันโตของจวนหย่งเลี่ยงโหวเสร็จก็หันมาเจอความชุลมลที่ลู่ฮูหยินกำลังตบตีเด็กสาวนางหนึ่งที่ไม่รู้ความอันใดทั้งสิ้นเช่นลู่ชิงเยี่ยนก็อดจะสอดเท้าเข้าไปห้ามปรามเสียมิได้ก็ในเมื่อเขารู้แจ้งถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าทั้งหมดเช่นท่านโหวผู้เป็นนาย
ถึงในเหตุการณ์ตอนที่ลู่ถิงจือและเยี่ยหย่งชุนเกือบจะตกลงมาจากชั้นสามเขาจะมาแทบไม่ทันทว่าเขามีสติปัญญาย่อมเดาได้ไม่ยากว่าที่แท้เด็กสาวที่นอนกองสิ้นสภาพนางไม่รู้สิ่งใดจริงมิได้โกหกทั้งสิ้น
“เอาเวลาที่จะทุบตีคนเร่งเก็บศพก่อนจะมิถูกต้องกว่าหรือไรส่วนความจริงเป็นเช่นข้าก็คงไม่อยู่นิ่งเฉยเป็นแน่ยิ่งฮองเฮากับฝ่าย่อมคงยากจะปล่อยวางเพราะท่านโหวบาดเจ็บแทบสิ้นชีวิตเช่นนี้”
เขาเองไม่เข้าใจมารดาเช่นลู่ฮูหยินเลยสักน้อยศพบุตรสาวนอนตายอนาถเป็นที่หน้าอุจาดตาสตรีเฒ่าโง่งมกลับไม่สนใจเอาแต่ทุบตีลูกเลี้ยงสาวน้อยอวดชาวบ้านอย่างไม่รักษากิริยาฮูหยินเอกของไท่เว่ย
...ไม่แปลกใจว่าบุตรสาวได้นิสัยย่ำแย่มากเช่นนี้มาจากผู้ใด...
“หุบปาก!!!”
แต่สตรีเฒ่านางจะคิดได้หรือก็เปล่าทั้งเพไม่สำนึกไม่พอกลับหันมาตะคอกซุนจื่ออย่างไม่ไว้หน้าตำแหน่งรองหัวหน้าองครักษ์หลวงอีกต่างหาก
...ไม้แก่เกินจะดัดได้จริงแท้...
“ตงซาน หม่าจิ้ง มาควบคุมคุณหนูรองกับสาวใช้และคนบังคับรถม้าไปคุมขังเอาไว้ที่คุกหลวงของกรมอาญาเดี๋ยวนี้”
มีเพียงวิธีนี้ถึงจะพอช่วยเด็กสาวตัวเล็กผู้ไม่รู้ความกับสองสาวใช้และหนึ่งบ่าวชายผู้บังคับรถม้าเอาไว้ไม่ให้ช้ำในตายเสียก่อนที่เขาจะได้ลงมือสอบสวนหาความจริงจากเรื่องที่เกิดในวันนี้ไปได้
“ต้องล่วงเกินไท่เว่ยแล้ว”
เพราะเช่นไรลู่ไท่เว่ยก็เป็นบิดาของลู่ชิงเยี่ยนเขาต้องขออนุญาตอีกฝ่ายเสียก่อนซึ่งลู่ไท่เว่ยก็เพียงโบกมือเป็นสัญญาณว่าอนุญาตให้พาคนไปได้คล้ายคนใกล้จะสิ้นแรงหยัดยืน ลู่ฮูหยินฮึดฮัดขัดใจที่จะระบายความแค้นกับลูกเลี้ยงและสาวใช้ทั้งสองยังไม่สาแก่ใจก็ถูกพรากคนไปเสียแล้วแต่ขัดใจเท่าใดสามีของนางเขาอนุญาตไปแล้ว
ลู่ชิงเยี่ยนกับเสี่ยวลี่เสี่ยวจางที่มีสภาพยับเยินถูกสององครักษ์’ ต้อน’ ให้ไปขึ้นรถม้าอีกคันสำหรับตรงไปยังกรมอาญา ซึ่งตัวของลู่ชิงเยี่ยนนางยังหันกลับไปมองสภาพศพของพี่สาวอีกครั้ง
ภายในใจก็ถามตนเองว่ามันเกิดอันใดขึ้น นางพลาดอันใดไปพี่สาวจึงต้องมาจบชีวิตลงเช่นนี้ แล้วหย่งเลี่ยงโหวมาปรากฏตัวที่ห้องรับรองพิเศษในหอชุ่ยฟางได้อย่างไรคำถามเหล่านี้มันวนเวียนอยู่ในศีรษะจนไปถึงคุกแห่งกรมอาญาเด็กสาวทรุดกายลงกอดเข่านั่งสงบนิ่งทั้งที่อาภรณ์ยังเปียกปอน
น้ำตาอุ่นค่อยๆ ไหลรินโทษตนเองไปแล้วเก้าส่วนว่าดูแลพี่สาวไม่ดี เพราะหากนางไปคิดดื่มสุราจนเมามายก็อาจจะทันได้ห้ามปรามลู่ถิงจือไม่ให้คิดสั้นได้ ดูเอาเถิดเพียงนางเมามายหลับไปหนึ่งตื่นทั้งพี่สายกับก้อนแป้งน้อยกลับจากไปไกลเสียแล้ว
เด็กสาวคิดไปอย่างคนไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าที่แท้หากไม่ใช่เยี่ยหย่งชุนเข้ามาช่วยเอาไว้ได้ทันป่านนี้ศพที่นอนตายอนาถแสนอุจาดตาคงเป็นลู่ชิงเยี่ยนไปแล้วหาใช่สตรีใจคออำมหิตเช่นลู่ถิงจือเช่นนี้
“เอ่อ...คุณหนูรองมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่เจ้าค่ะ”
เป็นเสี่ยวจางที่ออกปากถามเด็กสาวมอมแมมซึ่งนั่งกอดเข่าร้องไห้เงียบด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจก็คนทั้งจวนไท่เว่ยผู้ใดมิแจ้งใจบ้างว่าคุณหนูรองนั้นทั้งรักและเคารพคุณหนูใหญ่ยิ่งกว่ามารดาเลี้ยงและอาจมากกว่ามารดาแท้จริงที่ตายไปนานแล้วเสียอีก รัก ห่วงใย และเคารพ ขนาดเสี่ยวลี่ที่จริงต้องเป็นสาวใช้ของลู่ชิงเยี่ยนแต่ตลอดมานางกลับยกสาวใช้ของตนเองให้พี่สาวได้รองมือรองเท้าแล้วนางกลับไปดูแลทำทุกสิ่งด้วยตนเองดังมิใช่คุณหนูผู้หนึ่งในจวนไท่เว่ยเสียอย่างนั้น
“ข้าไม่รู้...ไม่รู้จริงๆ”
นางมิได้โกหก เพราะที่จำได้ภาพสุดท้ายก็คือพี่สาวของนางเติมสุราให้แก่นางจากนั้นทุกสิ่งก็มืดไปเลยจนมารู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อได้ยินเสียงท่านองครักษ์ผู้นั้นตะโกนโวยวายเสียงก้อง ส่วนสองสาวใช้ก็ได้แต่มองหน้ากันเพราะขนาดคุณหนูรองที่อยู่กับคุณหนูใหญ่ยังไม่รู้แล้วพวกนางที่เพิ่งมาถึงยังไม่ทันได้ขึ้นไปหาผู้เป็นนายทั้งสองลู่ถิงจือก็หล่นลงมาอยู่ตรงหน้าพวกนางเสียแล้วจะไปแจ้งใจได้เช่นไรกัน
...คราวนี้พวกนางกับคุณหนูรองเห็นทีคงลำบากแล้วจริงๆ ...
แล้วข่าวที่หย่งเยี่ยงโหวกับคุณหนูลู่คนโตตกลงมาจากหน้าต่างหอชุ่ยฟางลงมาจนผู้หนึ่งตายผู้หนึ่งยังไม่แน่ชัดก็กระจายไปทั่วมหานครเทียนเฉิง เพียงไม่ถึงสองชั่วยามเพราะแน่นอนข่าวที่ดูรูปการณ์แล้วจะมีเงื่อนงำส่องไปในทางชู้สาวเช่นนี้มักไปไวกว่าไฟไหม้ฟางเสียอีก
ยิ่งอีกหนึ่งวันต่อมาข่าว’ วงใน’ ที่เชื่อถือได้นั้นก็ออกมาว่าคุณหนูใหญ่ลู่นั้นนางตายไปพร้อมเด็กในครรภ์เรื่องร่ำลือจึงกระฉ่อนไปหมดด้วยทุกคนย่อมรู้หย่งเลี่ยงโหวผู้เป็นเจ้าบ่าวเขาไปอยู่ไกลถึงไห่โจวย่อมมิใช่บิดาของเด็กอยู่แล้วเป็นแน่ ในร้านน้ำชาจึงถกเถียงกันเห็นเป็นสนุกซึ่งก็เป็นไปตามสัญญาณของมนุษย์ทั่วไปที่เห็นความทุกข์ของผู้อื่นเป็นเรื่องเล่าสนุกสนาน
“พี่สาว ก้อนแป้งน้อยมากินอาหารเหล่านี้กันนะ ชิงเยี่ยนตั้งใจทำมาให้พวกท่านสองแม่ลูกเลยทีเดียว”
หลังจากถูกปล่อยตัวออกมาจากคุกหลวงเพราะสอบสวนปากคำก็ไม่ได้ความลู่ชิงเยี่ยนก็แอบกลับจวนโดยเข้าทางด้านหลังแล้วไปทำอาหารที่พี่สาวชอบมาเซ่นไหว้หลุมศพที่สุสานของสกุลลู่ในอีกหกวันต่อมา เด็กสาวคุกเข่าอยู่ตรงหน้าป้ายหลุมศพ
ในใจของเด็กสาวนั้นก็ยังติดค้างตรงที่ว่ามันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ในช่วงที่ตนเองเมาจนคอพับหลับไปเมื่อหกวันก่อน ซึ่งหากนางทราบความจริงเกรงว่าคนที่ไม่เคยยอมใครนอกจากจะไม่จุดธูปเซ่นไหว้พร้อมเผากระดาษเงินกระดาษทองไม่พอ นางอาจจะเอากระโถนของบิดาเอาของเสียมาราดหลุมศพแก้แค้นเสียเป็นแน่ แต่นางไม่รู้จึงมีแต่ความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ ที่ตนเองไร้น้ำยาปกป้องพี่สาวกับหลานน้อยไม่ได้