“ฮัดจิ้ว!”
“คิดไว้แล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้”
“เอ๊ะ?”
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะดีกว่านะคะ”
ภคมนสบมองเสื้อที่เจ้าหล่อนยื่นมาให้สลับกับสบมองใบหน้าของเจ้าหล่อนที่ฉายแววยิ้มออกมาอย่างสดใส
เธอก้มลงสำรวจเสื้อผ้าของตนเองว่ามันแปลกไปที่ตรงไหน ก่อนจะพลันเบิกตาโพล่งขึ้นมาจนเต็มดวงอย่างเข้าใจถ่องแท้แล้วว่าเจ้าหล่อนตัดสินใจส่งเสื้อมาให้แก่กันเพราะเหตุอันใด ตอนนี้เสื้อเชิ้ตสีดำที่เธอสวมใส่มาตั้งแต่ตอนแรกบัดนี้ได้เปลี่ยนไปกลายเป็นลายพร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทั้งสีส้มสีขาว หรือจะสีต่าง ๆ ที่ละเลงเป็นเส้นจนเต็มไปหมด ซึ่งมันเกิดมาจากขนของน้องแมวที่เข้ามาคลอเคลียเธออยู่ตลอดทั้งวันนั่นเอง
“นั่งไปแค่ชั่วโมงกว่า ๆ ยังเป็นขนาดนี้เลยค่ะ ถ้ายังไม่รีบเปลี่ยนเสื้อตอนนี้ฉันคิดว่ามันจะต้องมีมากกว่านี้แน่ ๆ”
“นั่นสินะคะ”
เธอยกมือขึ้นมาเกาหัวอย่างนึกทำอะไรไม่ถูก
ต่อจากวันนี้ไปที่ร้านแห่งนี้จะไม่ได้เห็นว่าเธอสวมเสื้อสีดำอีกแล้วแต่จะเป็นสีขาวแทน เพราะในตู้ของเธอก็ล้วนแล้วแต่มีเสื้อผ้าเพียงแค่สองสีนี้ทั้งสิ้น เพราะสีขาวและสีดำนั้นมันง่ายต่อการแต่งตัวในความคิดของเธอ
ผิดกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าของเธอลิบลับที่วันนี้ใส่เสื้อสีชมพูพาสเทลรับกับเอี้ยมสีเขียวขี้ม้าที่มีลายโลโก้ของร้านประดับ และถ้าจำไม่ผิดเหมือนเมื่อวานนี้เจ้าหล่อนจะใส่เสื้อสีครีมรับกับกางเกงสีน้ำตาลเข้มเป็นตีมเดียวกัน ว่าไปแล้วเจ้าหล่อนจะต้องมีเสื้อผ้าหลากหลายสีสันอยู่ในตู้เสื้อผ้าเป็นแน่แท้
“ขอบคุณมาก ๆ นะคะ”
เธอเอ่ยบอกอีกครั้งพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบเสื้อที่เจ้าหล่อนส่งมอบมาให้
เธอคลี่ดูเล็กน้อยก็เห็นว่าเสื้อตัวนี้เป็นแบบเดียวกันกับที่เจ้าหล่อนสวมใส่อยู่ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นสีชมพูพาสเทลแถมยังมีลายโลโก้ของร้านที่เอี้ยมของเจ้าหล่อนบังเอาไว้ให้เธอไม่สามารถมองเห็นได้
รอยยิ้มแหย่ ๆ ถูกส่งไปให้กับคนตรงหน้าผิดกับเจ้าหล่อนลิบลับที่ยกยิ้มราวกับภูมิใจนำเสนอเสียนี่กระไร
แต่มันก็ยังดีกว่านั่งดมขนน้องแมวที่ติดอยู่เต็มเสื้อของเธอแหละนะ...
ภคมนผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นการขออนุญาตไปเปลี่ยนเสื้อภายในห้องน้ำ ซึ่งเจ้าหล่อนก็ไม่ได้ว่าอะไรและยกยิ้มออกมาจาง ๆ อย่างเข้าใจถึงภาษากายของเธอดี
เธอไปเพียงไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับที่เธอนั้นอุ้มเจ้าแมวที่ชื่อฉัมกลับเข้ามาภายในร้านด้วย ซึ่งคราวนี้เจ้าแมวตัวนี้ไม่ได้มาเกี่ยวติดอะไรกับเสื้อของเธอแล้ว แต่เพียงแค่เจ้าฉัมนั้นทำท่าเหมือนกับส่งสัญญาณให้เธอเปิดประตูร้านให้กับมัน
ซึ่งเธอที่ได้เห็นการออดอ้อนเดินถูขาไปมาของน้องแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะก้มตัวลงไปหิ้วน้องกลับเข้ามาด้วย และยังได้รับเสียงครางครืด ๆ ที่น้องส่งเสียงออกมาตลอดทางอีกด้วยต่างหาก ซึ่งเธอได้ไปศึกษามาแล้วว่าที่น้องส่งเสียงออกมาแบบนั้นเป็นเพราะว่ากำลังรู้สึกดีจึงแสดงออกมาให้เหล่ามนุษย์อย่างเธอนั้นได้รับรู้
“คราวนี้ไม่ได้เล็บติดอีกแล้วใช่ไหมคะ?”
“พอดีเห็นน้องด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ตรงประตูน่ะค่ะเลยอุ้มเข้ามาด้วย”
“จริง ๆ เลยนะเจ้าฉัม”
เจ้าหล่อนว่าออกมาอย่างเอ็นดูพร้อมกับลุกขึ้นจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามและเดินมานั่งลงอยู่บริเวณหัวโต๊ะด้านข้างกับที่เธอนั่งอยู่
ภายในร้านแห่งนี้มีขนาดไม่ได้ใหญ่มากนักถ้าเทียบกับพื้นที่ด้านนอก และโต๊ะทุกชุดก็ล้วนแล้วแต่ต้องนั่งพื้นทั้งสิ้นเพื่อให้สะดวกต่อการเล่นกับน้องแมวที่จะเดินไปเดินมาอยู่ตลอดทั้งวัน
หญิงสาวเอื้อมมือมาลูบหัวทุยของเจ้าฉัมที่อยู่บนตักของเธอและส่งเสียงครืด ๆ ออกมาอย่างรู้สึกสบายเมื่อได้รับการปรนิบัติจากคนที่นั่งอยู่เคียงข้างกับเธอ เจ้าหล่อนยกยิ้มเสมอเมื่อยามที่ได้พูดคุยกับเจ้าแมวที่เดินไปเดินมาอยู่ภายในร้าน และก็ยิ่งยิ้มกว้างเมื่อได้สัมผัสตัวของเจ้าแมวเหล่านี้ บ่งบอกแก่กันได้เป็นอย่างดีอีกครั้งว่าเจ้าหล่อนรักแมวฝูงใหญ่ฝูงนี้ของหล่อนมากมายขนาดไหน
และที่เธอรู้ว่าเจ้าหล่อนยกยิ้มให้กับน้องแมวทุกตัวที่เดินผ่านไปผ่านมา...ก็เป็นเพราะว่าตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมานั้น เธอไม่อาจจะละสายตาออกจากเจ้าหล่อนอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
งานการที่ตั้งใจหอบเอามาทำด้วยก็ไม่เป็นอันคืบหน้า ตอนเข้ามางานมีแค่ไหน...จนถึงตอนนี้แล้วงานของเธอก็ยังคงมีอยู่เท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ตึกตัก ตึกตัก
จากรอยยิ้มที่อยู่ไกล ๆ แต่พอได้มาเห็นใกล้ ๆ แบบนี้แล้วมันไม่ดีต่อหัวใจของเธอเอาเสียเลย
ทุกท้วงท่าของเจ้าหล่อนรวมไปจนถึงทุกคำพูดที่เจ้าหล่อนเอ่ยออกมาเพื่อพูดกับเจ้าสี่ขาบนตักของเธอนั้นอยู่ในสายตาของเธอทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น
แม้จะมีกรอบแว่นหนาบดบังใบหน้าของเจ้าหล่อนเอาไว้กว่าครึ่ง แต่ความน่ารักของเจ้าหล่อนก็ยังทะลุออกมาจากแว่นให้เธอได้มองเห็นและสัมผัสมันได้ทุกตารางนิ้ว
ดูเผิน ๆ จากระยะของเธอทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าผิวหน้าของเจ้าหล่อนดีมากจนเธออยากที่จะถามถึงวิธีการดูแลรักษา แล้วไหนจะริมฝีปากอมชมพูราวกับแต่งแต้มลิปสติกอยู่ตลอดเวลานั่นอีก...เหมือนว่ามันจะเป็นกลิ่นสตรอว์เบอร์รีหรือเปล่านะ?
“ภักดี...อ้อนเหรอคะ?”
“ฮะ?”
ตึกตัก ตึกตัก
เธอได้สติพลันสะดุ้งโหยงพร้อมกับหัวใจที่สั่นไหวอย่างหนักหน่วงเมื่อได้ยินประโยคนั้นออกมาจากริมฝีปากของเจ้าหล่อน
นี่หล่อนเรียกเธอหรือ...แล้วรู้จักชื่อเล่นของเธอได้อย่างไรกัน?
ไม่สิ ไม่สิ เมื่อกี้เจ้าหล่อนถามว่าเธอ...อ้อนอย่างนั้นหรอกหรือ?
“คือ คือว่า...”
เธอกำลังพยายามหาคำพูดมากมายเพราะยังไม่แน่ใจนักว่าเจ้าหล่อนหมายถึงเรื่องอะไรกันแน่
หรือว่าหล่อนจะรู้แล้วว่าเธอแอบมองอยู่ตลอด ละ...แล้วเจ้าหล่อนจะรู้ด้วยหรือเปล่านะว่าตอนนี้เธอรู้สึกกับเจ้าหล่อนอย่างไร?
คำถามแบบนั้นมันต้องการคำตอบแบบไหนกันนะ!
“คือว่าฉัน...”
“นี่เจ้าภักดีค่ะ ส่งเสียงทักทายพี่เขาสิคะ เมี๊ยว”
“เมี๊ยววววววววววว!”
“เอ๊ะ?”
เธอพยายามตั้งสติและสบมองเจ้าแมวตัวสีขาวหน้าไหม้ตัวหนึ่งที่เจ้าหล่อนอุ้มขึ้นมาที่ตรงหน้าของเธอ
“ภักดี? แมว?”
“ก็นี่ไงคะป้ายชื่อน้อง...น้องชื่อภักดีค่ะ”
เจ้าหล่อนไขข้อสงสัยพร้อมกับที่ปล่อยแมวลงสู่พื้น
เจ้าภักดีที่ได้รับการแนะนำตัวเมื่อสักครู่นั้นรีบเดินหน้าเข้ามาออดอ้อนเธอในทันใดอย่างน่ารักน่าชัง และดูน้องเหมือนจะขี้อ้อนมาก ๆ อีกด้วยต่างหาก แถมยังชอบส่งเสียงร้องออกมายาว ๆ ราวกับกำลังเรียกร้องให้คนสนใจตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าภักดีพึ่งคลอดได้ไม่นานมานี้เองค่ะ แม่ของน้องคาบน้องมาทิ้งเอาไว้ที่หน้าคาเฟ่ ก่อนจะพบว่าแม่ของน้องโดนยาเบื่ออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากคาเฟ่ของฉัน ฉันเลยตั้งชื่อของน้องว่าภักดี เพื่อให้เกียรติแก่แม่ของน้องที่รักและภักดีต่อลูกก่อนที่ตนเองจะจากโลกไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ”
เจ้าหล่อนใบหน้าเศร้าหมองลงมาถนัดตาเมื่อได้เอ่ยเล่าถึงเรื่องที่น่าเศร้าใจ
“จริง ๆ แล้วแถว ๆ นี้ยังมีแมวจรอีกเยอะเลยค่ะที่กลัวและไม่กล้ามาอยู่ นี่ฉันก็คอยบอกน้องแมวในร้านนะคะ ว่าถ้าเขาออกไปเล่นแล้วเจอแมวจรตัวอื่น ๆ ด้วย...ก็ให้พาพวกเขากลับมาที่ร้านของเราได้เลย”
“แล้วพวกน้อง ๆ ฟังภาษาคนรู้เรื่องเหรอคะ?”
“ฮ่า ๆ อันนี้ฉันก็ไม่แน่ใจนะคะ แต่ก็มีน้องแมวที่ไม่มีปลอกคอมาเพิ่มทุกวัน”
“จริงสินะ คุณใส่ปลอกคอสลักชื่อให้กับน้องแมวทุกตัวเลยนี่น่า”
“น้อง ๆ จะได้รู้สึกอบอุ่นเหมือนกับอยู่ที่บ้านของตัวเองน่ะค่ะ แล้วก็ฉันจะได้รู้ด้วยว่าแมวที่ไม่มีปลอกคอ...เป็นน้องแมวที่เด็ก ๆ ของฉันไปพามาใหม่”
เจ้าหล่อนเล่าเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ออกมาพร้อมกับแววตาที่เป็นประกายสุกใสและรอยยิ้มที่เต็มใบแบบนั้นออกมาได้อย่างไรกันนะ?
เธอสัมผัสได้แต่ความสุขในตัวของเจ้าหล่อน ไม่รู้สึกถึงความทุกข์ใด ๆ เลยที่ถึงแม้การมีน้องแมวมาเพิ่มมากขึ้น มันก็จะยิ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับเจ้าหล่อนที่ต้องรับผิดชอบ
ในวันนี้ที่เธอมานั่งได้หนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ แล้วไม่มีแม้แต่รถสักคันที่จะขับเข้ามาจอดเทียบ ไม่มีแม้แต่ใครสักคนที่จะเข้ามาใช้บริการ แถมที่นี่ยังเปิดแอร์เย็นฉ่ำเพื่อน้องแมวทั้งหลายอีกด้วยต่างหาก เดือน ๆ หนึ่งแล้วเจ้าหล่อนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายขนาดไหน...แต่ทำไมหล่อนถึงยังยิ้มได้อย่างมีความสุขขนาดนี้กัน
แล้วเธอที่มีชีวิตดี ๆ แบบที่เป็นอยู่นี้...ทำไมถึงยังเอาแต่ทุกข์ระงมเฝ้ารอคนที่จากไปอย่างไม่มีวี่แววว่าจะหวนกลับคืนกันล่ะ?
“ว่าแต่เมื่อกี้ฉันเห็นเหมือนคุณตกใจกับชื่อของน้องแมว...”
“เอ่อ...”
ก็เพราะว่ามันเป็นชื่อเล่นของเธออย่างไรล่ะเธอถึงได้ตกใจ!
แถมยังถามคำถามที่ทำเอาเธอไปไม่เป็นอีกด้วยต่างหาก...คนสติดี ๆ ที่ไหนมันจะไม่ตกใจกันล่ะ!
“เพราะว่าฉันชื่อภักดีค่ะ”
“เอ๋!”
ดูเหมือนคนที่ตกใจจะไม่ใช่เธอแล้วล่ะ
เจ้าหล่อนใบหน้าขึ้นเป็นสีแดงฉ่าให้เธอพอเข้าใจได้อยู่ว่ามันเป็นเพราะอะไร หล่อนคงจะคิดย้อนไปถึงคำถามของตัวเองเมื่อครู่สินะ...ว่ามันเป็นคำถามที่ฟังดูแล้วน่าเขินอายขนาดไหน
“คือฉัน คือว่า...”
“ว่าแต่คุณล่ะคะชื่ออะไร?”
เธอที่ไม่อยากจะให้หล่อนหวนย้อนกลับไปพูดถึงมันอีกจึงเปลี่ยนเรื่องไป ซึ่งหล่อนก็ดูโล่งใจอยู่ไม่น้อยเพราะหล่อนเองก็คงไม่อยากจะพูดถึงมันเหมือนกันกับเธอ
“ภักดี...อ้อนเหรอคะ?”
คำถามบวกกับน้ำเสียงของเจ้าหล่อน...สลัดมันออกจากสมองไม่ได้เลยแฮะ
“ฉันชื่อนิวารินค่ะ คุณเรียกสั้น ๆ ว่าวารินก็ได้นะคะ ส่วนคุณ...ภักดีใช่ไหมคะ?”
อ่า...เสียงของหล่อนตอนเรียกชื่อกันน่ะ น่าฟังเป็นบ้าเลย
“ค่ะ ฉันภคมน เรียกชื่อเล่นก็ได้ค่ะ ภักดี”
“ถ้าอย่างนั้น...ฉันขอฝากตัวด้วยนะคะคุณภักดี”
เจ้าหล่อนยกยิ้มออกมาเจือจางและผงกศีรษะให้กันเล็กน้อย
ยังคงมีความเขินอายอยู่ในคำพูดอยู่ ซึ่งเธอสัมผัสได้ถึงมัน แต่มันก็เข้าใจได้ล่ะนะ...เพราะเธอเองก็ยังคงทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกันเมื่อย้อนกลับไปนึกถึงคำถามนั้น ที่ถึงแม้จะถามแมวที่ชื่อเหมือนกันกับเธอก็เถอะ
และเธอไม่เคยรู้มาก่อนนะเลยว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าของเธอคนนี้...จะเรียกชื่อเล่นของเธอได้ไพเราะน่าฟัง และน่าจดจำเสียงของเจ้าหล่อนเอาไว้ใส่ในเมมโมรี่หัวสมองของเธอตั้งมากมายขนาดนี้
ทุกปณิธานที่เคยตั้งใจเอาไว้คงต้องพังทลายลง...เธอยกธงขาวและจะยอมทำตามหัวใจของตัวเองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
บางทีครั้งนี้...มันก็อาจจะดีกว่าครั้งที่ผ่านมา
“ยินดีที่ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการนะคะ...คุณวาริน”