เริ่มรู้สึกถึงพลังในกาย

1909 Words
หานรั่วหลานเพียงยกยิ้มขึ้น แต่รอยยิ้มครั้งนี้กลับไปไม่ถึงดวงตา นางกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนักว่า "นั่นน่ะสินะ ขยะอย่างหม่อมฉัน จะสั่นคลอนทั้งห้าแคว้นได้อย่างไรดี" ชั่ววูบหนึ่งฟางไทเฮารู้สึกถึงพลังมหาศาลบางอย่างกำลังถูกแผ่ออกมาจนพระนางรู้สึกหายใจไม่ออก ทันใดนั้นบุรุษชุดดำปกปิดใบหน้ามากกว่าสามสิบคน ก็ได้ปรากฏกายขึ้น พวกเขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าของหานรั่วหลาน "นายหญิง" หานรั่วหลานพยักหน้ารับ พร้อมกันกับที่นางได้จุดพลุลูกที่สองขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งสีของมันในคราวนี้เป็นสีเขียวที่สว่างไสวมากกว่าเดิม "ข้าเบื่อที่จะอยู่ภายใต้ปีกของผู้ใดอีกแล้ว นับตั้งแต่วันนี้ ข้าจะอยู่ด้วยปีกของตัวข้าเอง" เฉินหลิวหยางย่อมรู้ว่า บุรุษชุดดำที่ปรากฏกายขึ้นตอนนี้ ย่อมมีปราณธาตุในขั้นที่ไม่ธรรมดา แต่ละคนอาจจะถึงขั้นขุนพลหรือแม่ทัพของแคว้นๆ หนึ่งเลยก็ว่าได้ "คิดว่านำเหล่าขยะด้วยกันมามากมายถึงเพียงนี้ แล้วจะสามารถต่อกรกับราชองครักษ์ของวังหลวงได้อย่างนั้นหรือ ความคิดช่างโง่เขลายิ่งนัก ไปจับตัวนางมา" บุรุษชุดดำเหล่านั้น แปรขบวนของตนเอง เคลื่อนไหวเพื่อตั้งรับอย่างมีหลักการ ทหารราชองครักษ์กรูกันเข้าไปหมายจะจับตัวหานรั่วหลานเอาไว้ แต่ไม่สามารถผ่านด่านบุรุษชุดดำเหล่านั้นไปได้ หนามแหลมมากมายผุดขึ้นมาจากพื้นดิน อย่างไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมกันกับที่ทุกย่างก้าวของพวกทหารราชองครักษ์ ก็ถูกปราณธาตุของบุรุษชุดดำจำนวนหนึ่ง โจมตี จนเกิดไฟลุกท่วมไปทั่ว กลุ่มหนึ่งถอย กลุ่มใหม่เข้ามาทดแทน อย่างมีระเบียบ ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวนั้น คือการส่งเสริมการโจมตี ของอีกฝ่ายให้รุนแรงยิ่งขึ้น เปลวเพลิงจากขนาดเล็ก เมื่อถูกปราณธาตุลมส่งเสริมทำให้กลายเป็นเปลวเพลิงขนาดใหญ่ลุกลามอาบทั่วราชองครักษ์บางคน จนไปนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น ใช้ระยะเวลาเพียงไม่นาน ก็เกิดหมอกควันสีขาวลอยขึ้นเป็นจำนวนมาก จนไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ เมื่อหมอกเหล่านั้นจางหายไป ก็ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า กลุ่มคนที่อยู่ในลานกว้างเมื่อสักครู่นี้ได้หายไปจนหมดสิ้น "นี่มันอันใดกัน เหตุใดนางจึงได้มีสมัครพรรคพวกที่มีความสามารถถึงเพียงนี้ ผู้ที่สามารถเรียก ทั้งลม ไฟ หรือหมอกควันมหาศาลเหล่านี้ได้ย่อมเป็น ผู้ที่มีปราณธาตุขั้นราชันย์ขึ้นไปเท่านั้น มันจะเป็นไปได้อย่างไร หากมีเพียงแค่คนสองคนข้ายังพอจะเชื่อได้ แต่นี่ทั้งหมด นั่นมีปราณธาตุที่แข็งแกร่งทุกคน…เป็นไปไม่ได้" เฝิงซื่อวิ่งออกมาด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก นางได้ยินเสียงการต่อสู้เมื่อสักครู่นี้เช่นกัน 'นางหนีไปเช่นนี้ย่อมต้องทิ้งทรัพย์สมบัติทั้งหมดเอาไว้' เฝิงซื่อเป็นสตรีที่มีความโลภอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เรื่องการช่วงชิงทรัพย์สมบัติของผู้อื่นนั้น นางว่องไวกว่าที่ผู้ใดจะทันได้คาดถึง "ไทเฮาเพคะคนของนางยังอยู่เราสามารถใช้คนของนาง มาเป็นตัวประกันให้นางกลับมาได้" เมื่อนางเดินเข้าไปกระซิบประโยคนี้กับฟางไทเฮา หญิงชราจึงรีบเอ่ยสั่งราชองครักษ์ของตนเองที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ให้พาตนไปยังตำหนักของหานรั่วหลานในทันที แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นในตอนนี้กลับเป็นเพียงความว่างเปล่า นางกำนัลที่เคยเดินขวักไขว่กันให้ทั่วทั้งตำหนัก หรือแม้แต่บ่าวรับใช้ของนาง ก็หายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงคนของเฉินหลิวหยาง ที่มีท่าทีมึนงงเช่นกัน ด้วยไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น "เหตุใดจึงเหลือคนอยู่แค่เพียงหยิบมือ คนของนางจิ้งจอกนั่นหายไปไหนหมด" บ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่กวาดลานกว้างภายในตำหนัก ซึ่งเป็นคนที่เฉินหลิวหยางส่งมาให้มาอยู่ภายในตำหนักนี้ คุกเข่าลงยังเบื้องหน้าของผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง "เมื่อไม่กี่เค่อก่อนไม่ทราบว่าเกิดอันใดขึ้น อยู่ดีๆ หลังจากที่นางกำนัลและบ่าวรับใช้บางส่วน เห็นพลุไฟสีแดงที่ถูกจุดขึ้น พวกเขาก็มีท่าทีแปลกไป และเมื่อเห็นพลุไฟสีเขียว ในลำดับต่อมา พวกเขาทั้งหมดก็ตรงเข้าไปในตำหนัก และปิดประตูเอาไว้อย่างแน่นหนา ข้าน้อยรู้สึกสงสัย จึงได้ตามมาแอบดู กลับพบเพียงความว่างเปล่า พวกเขาทั้งหมดหายไปได้อย่างไรไม่ทราบ ด้วยเวลาเพียงเท่านั้น กระหม่อมเองก็ไม่รู้ ว่าพวกเขาทำได้อย่างไร" "หากไม่ใช่ยอดฝีมือ หรือผู้ที่มีปราณธาตุขั้นราชันย์ก็คงจะไม่สามารถทำได้กระมัง" การนับลำดับขั้นของผู้คนในยุคสมัยนี้เริ่มจาก ขั้นกำเนิด ซึ่งจะแบ่งออกเป็นสามขั้น คือขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย เมื่อผ่านขั้นต้นกำเนิดขั้นปลายมาได้แล้ว ก็จะเข้าสู่ปราณธาตุระดับปฐพี ซึ่งระดับนี้ก็จะถูกแบ่งออกเป็นสามระดับเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้ว ผู้คนโดยส่วนมาก จะหยุดชะงักอยู่ที่ขั้นปฐพีนี้ เพราะหากต้องการก้าวผ่านปราณธาตุในขั้นนี้ไปได้ จะต้องใช้หินวิญญาณจำนวนมหาศาล แน่นอนว่าชาวบ้านธรรมดาคงไม่สามารถหาซื้อหินวิญญาณที่มีราคาแพงเหล่านั้นมาเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของตนเอง ให้ก้าวล่วงไปถึงขั้นจอมราชันย์ได้ ซึ่งหากจะให้นับทั่วทั้งแคว้นต้าหยางนี้เห็นจะมีผู้ที่ถือครองปราณธาตุขั้นราชันย์ขั้นปลายอยู่ไม่ถึงพันคนด้วยซ้ำ เพราะเมื่อฝึกมาถึงตรงนี้ นอกจากจะต้องใช้หินวิญญาณจำนวนมากแล้วบางคนยังไม่สามารถทนรับพลังมหาศาลเหล่านั้นได้ จนต้องตกตายไปในขณะก้าวข้ามก็มี ซึ่งคนของหานรั่วหลานส่วนใหญ่นั้น มีปราณธาตุราชันย์อยู่ในขั้นปลาย ซึ่งกำลังจะก้าวล่วงเข้าสู่ขั้นมหาจักรพรรดิ์แทบทั้งสิ้น พวกเขาถูกฝึกให้รับมือกับความเจ็บปวด และความทุกข์ยากลำบากมาตั้งแต่เล็ก และยังถูกเคี่ยวกรำจากการฝึกหนักของหานรั่วหลานมาทุกวิธี นั่นจึงทำให้คนเหล่านี้สามารถก้าวมาอยู่ราชันย์ขั้นปลายได้ โดยที่ไม่มีผู้ใดบาดเจ็บล้มตายไปเสียก่อน และแน่นอนว่านางกำลังหาวิธี เพื่อให้คนของตนเอง ก้าวข้ามไปอีกขั้น นอกจากกองกำลังลับของนางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนางกำนัลหรือบ่าวรับใช้ทั้งหมดที่นางชุบเลี้ยง ก็มีพลังปราณธาตุอยู่ในขั้นราชันย์แทบทั้งสิ้น แม้แต่อัจฉริยะอย่างหานเฟิงอี้ ยังอยู่ขั้นราชันย์ขั้นกลาง เพียงเท่านั้น แต่เพราะนางมีปราณธาตุสองสายในตัว จึงทำให้นางเหนือกว่าผู้ที่อยู่ในขั้นเดียวกัน "หายไปหมดโดยใช้เวลาแค่ไม่กี่เค่อ มันจะเป็นไปได้อย่างไร หากจะทำเช่นนั้นได้ หมายความว่าพวกนางจะต้องทิ้งของมีค่าทุกอย่างเอาไว้" เฝิงซื่อพึมพำออกมา เมื่อสรุปความน่าจะเป็นที่จะเป็นไปได้ เพื่อตรวจสอบข้อสันนิษฐานของตนเอง นางจึงได้เดินไปสำรวจข้าวของภายในห้องอย่างลืมตัว "จริงด้วยของมีค่าทุกอย่างยังอยู่ที่นี่ นางไม่ได้เอาสิ่งใดไปเลย" ความละโมบทำให้นางเผลอยิ้มออกมา จนเผยธาตุแท้ให้กับเฉินหลิวหยางได้เห็น อาจจะเพราะฟางไทเฮากำลังอยู่ในอารมณ์กรุ่นโกรธ จึงไม่ได้สังเกตความจริงในข้อนี้ "เจ้าอย่าได้คิดแตะต้องของมีค่าภายในตำหนักแห่งนี้แม้แต่เพียงชิ้น" เฉินหลิวหยางกดเสียงต่ำ บอกกับนางด้วยท่าทีไม่พอใจ "ท่านอ๋องคงจะเข้าพระทัยผิดแล้ว หม่อมฉันเพียงสำรวจดู ว่านางได้เอาสิ่งใดติดไม้ติดมือไปเท่านั้น หม่อมฉันหาได้มีใจคิดละโมบต้องการฉกฉวยสิ่งของผู้อื่นแต่อย่างใด" เฉินหลิวหยางไม่กล่าวสิ่งใดอีก เขาเดินไปสำรวจข้าวของภายในห้องสักครู่ก่อนที่จะพบว่า ข้าวของมีค่าอย่างอื่น ไม่ได้ถูกนำไปด้วยจริงๆ แต่ดูจากที่ข้าวของบางส่วนถูกวางระเกะระกะ ซึ่งน่าจะเป็นที่เก็บของมีค่า นางกำนัลและบ่าวรับใช้เหล่านั้น น่าจะหยิบจับไปด้วยความเร่งรีบ ด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้ พวกเขาทั้งหมดสามารถรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ ว่าต้องเอาสิ่งใดไป คล้ายกับถูกฝึกมาเป็นอย่างดี "นี่นางเป็นใครกันแน่…!? " เฉินหลิวหยางครุ่นคิดอะไรสักพัก เขาก็ได้เดินทางเข้าสู่วังหลวง พร้อมกับคำถามมากมาย หลังจากที่หานรั่วหลานถูกพาตัวออกมาจากตำหนัก ที่นางเคยคิดว่าเป็นที่พักพิงมาหลายปี ก็เกิดความรู้สึกสลดใจ แต่เมื่อคิดถึงคำพูดและการกระทำทั้งหมดของฟางไทเฮาแล้ว หญิงสาวก็ได้เกิดแรงฮึดสู้ขึ้นมา นางกวาดตามองคนของตนเองโดยรอบ ภายในสถานที่ลับ ที่นางได้สร้างขึ้น เพื่อเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ซึ่งหญิงสาวมิคาดคิดว่าตนเองจะได้ใช้มัน "จากนี้ไปดูเหมือนว่า ข้าจะมีงานให้พวกเจ้าทำ และอาจจะเป็นงานที่เสี่ยงอันตราย มีผู้ใดอยากถอนตัวหรือไม่ ข้าจะไม่กล่าวโทษพวกเจ้า และยังจะให้เงินจำนวนหนึ่ง ให้พวกเจ้าติดตัวไป เพื่อที่จะได้มีชีวิตที่สุขสบาย ข้าไม่ต้องการบังคับผู้ใด ให้ทำงานสุ่มเสี่ยงเพื่อตนเองโดยไร้ซึ่งความเต็มใจ หากมีผู้ใดต้องการจะถอนตัวก็ให้ก้าวออกมา ความเงียบพลันปรากฏขึ้นชั่วขณะ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าผู้ใดจะยอมขยับกายก้าวเดินออกมาแต่พวกเขากลับคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน "ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต หากเพื่อนายหญิงแล้ว พวกเราพร้อมที่จะทำตามโดยไม่มีเงื่อนไข" "ดีมาก…!!!" นางทอดมองกลุ่มคนนับร้อยคนที่อยู่ยังเบื้องหน้าด้วยสายตาแห่งความปลื้มปิติ พวกเขาเปรียบเสมือนพี่น้อง ที่ร่วมลำบากผ่านความทุกข์ยากมาด้วยกันกับนาง พวกเขาเองก็ทอดมองมาที่นาง ด้วยสายตาเทิดทูนบูชายิ่ง หากไม่มีหญิงสาวผู้นี้ไม่รู้ว่าชีวิตพวกเขาตอนนี้ จะเป็นขยะที่ไร้ค่าเช่นไร หญิงสาวเดินเข้ามาในห้องพัก และไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาปรนนิบัติดูแล นางรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในกาย "หรือว่าโดนปราณธาตุของไทเฮาเมื่อสักครู่นี้แล้ว จะทำให้พลังธาตุของข้าตื่นขึ้นนะ" หญิงสาวอดที่จะหวังเล็กๆ ไม่ได้ ว่าตัวนางเองหาได้เป็นขยะไร้ค่า เพียงหนึ่งเดียวทั้งห้าแคว้นนี้ ที่ไม่มีปราณธาตุถือกำเนิดขึ้นมาในร่างกาย แต่เมื่อหญิงสาวลองขยับกาย เพื่อที่จะเดินพลังกลับต้องตกใจจนหน้าขาวซีด "สวัสดีค่ะคุณลูกค้า ช็อปออนไลน์ยินดีให้บริการ" ..........................
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD