เวลา 23.30 น.
แม้ว่าสถานีรถไฟใต้ดินในเมืองเลนอร์จะเปิดทำการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ทว่า ผู้คนที่เดินทางสัญจรในเวลานี้มีไม่มาก บรรยากาศจึงค่อนข้างเงียบสงบเกินไปจนน่าวังเวง
โคลิน เลอ มิซาเอล ชายหนุ่มอายุ 25 ปี ผู้มีดวงตาสีดำ เรือนผมสีเงินโดดเด่น รูปร่างสูงโปร่ง กำลังเดินทางกลับบ้านหลังงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนร่วมงาน เขายืนกอดอกเอนหลังพิงผนังด้านในของรถไฟตู้สุดท้าย
ติ๊งต่อง สถานีโจเซฟีน - ชาร์ล็อต
เสียงประกาศดังขึ้นเมื่อขบวนรถไฟกำลังจะจอดเทียบชานชาลา โคลินมองปรายตามองไปรอบ ๆ ตู้รถไฟ เวลานี้มีเพียงเขายืนอยู่ลำพัง
ทันใดนั้น ภาพต่าง ๆ ที่เขาเห็นเริ่มเลือนราง โคลินเหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วถอนหายใจ
อีกแล้วเหรอ เขาลูบสร้อยที่มีจี้ดาบเงินห้อยอยู่แล้วเดินมานั่งเก้าอี้ข้างประตู หลับตาลงแสร้งทำเป็นง่วงเหงาหาวนอน
รถไฟใต้ดินแล่นออกไปยังปลายทางอย่างช้า ๆ เขาหวังว่าคืนนี้จะไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลใจมากนัก เพราะเมื่อสามคืนก่อนเพิ่งจะผ่านศึกอันหนักหน่วงมา อีกทั้งบาดแผลจากการต่อสู้ก็ยังไม่หายดี
แคร้ก แคร้ก
เสียงโซ่ตรวนกระทบกับเสาเหล็กฝั่งตรงข้าม โคลินสัมผัสได้ว่าสิ่งมีชีวิตจากมิติอื่นกำลังย่างกรายเข้ามาหาเขา
เฮ้อ เขาถอนหายใจอีกครั้ง
หากโคลินจะรู้สึกเหนื่อยล้าบ้างคงจะไม่ใช่เรื่องแปลก ในเมื่อหน้าที่ของเขาคือล่าวิญญาณร้าย แต่ช่วงนี้กลับเจอปีศาจไม่เว้นวันราวกับว่าตัวเขามีอะไรดึงดูดพวกนั้นเข้ามาหาอย่างไรอย่างนั้น
ประตูมิติของโลกต่าง ๆ จะคาบเกี่ยวกันในช่วงเวลา 00.29 – 04.59 น. ในคืนเดือนมืด ทั้งโลกมนุษย์ โลกวิญญาณ แดนปีศาจ ขุมนรกและสรวงสวรรค์ ซึ่งมนุษย์ธรรมดาไม่อาจรับรู้ได้
โดยปกติทั่วไปแล้วโลกมนุษย์จะมีเพียงแค่มนุษย์ วิญญาณ วิญญาณร้าย ยมทูตอาศัยอยู่เท่านั้น หากแต่บางเวลาอย่างช่วงคาบเกี่ยวจะมีปีศาจ ยมทูตเงาและทูตสวรรค์โผล่มาบ้างเป็นครั้งคราว
ขบวนรถไฟกำลังเข้าจอดที่สถานีกรีโบมงต์ โคลินขยับท่านั่งเพื่อเมินเฉยปีศาจที่กำลังจ้องเขาตาเป็นมัน เอนหัวพิงกับกระจกกั้นข้างเก้าอี้
แม้ว่าจะหลับตาอยู่แต่ก็ได้กลิ่นอายปีศาจลอยเข้ามาใกล้ ทั้งยังลมหายใจที่มันพ่นใส่หน้าเป็นระยะเริ่มทำให้โคลินแทบอดทนไม่ไหว
ปีศาจดวงตาสีเขียว ผิวหนังลื่น สามหางกำลังสำรวจชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ามันอย่างสนอกสนใจ พร้อมกับแลบลิ้นสองแฉกเรียวยาวเปียกชื้นเลียหน้าของโคลินเพื่อลิ้มรสเหยื่อรายใหม่ของมัน
ถ้าเป็นคนปกติธรรมดาคงไม่มีทางได้รู้ว่าชีวิตของตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย
แหยะ กลิ่นเหมือนชีสเน่า โคลินรู้สึกว่าสัมผัสของมันสยดสยองสกปรกอย่างไม่น่าเชื่อ เขากลั้นลมหายใจอดทนกับการยั่วโมโหของปีศาจตนนี้
ขณะกำลังนับหนึ่งถึงร้อยในใจ จู่ ๆ มันก็อ้าปากกว้างขบศีรษะของโคลินไปเกือบครึ่งแล้วค้างไว้อย่างนั้น
น้ำลายของมันไหลย้อยตามหน้าของโคลินอย่างช้า ๆ เปรอะเปื้อนเสื้อผ้าชุดโปรดของเขา
พลันหางทั้งสามเริ่มรัดคอ เอว แล้วก็ขาข้างหนึ่ง พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ก่อนจะพยายามแยกร่างของโคลินออกจากกัน
ฉับ ฉับ ฉับ
เสียงดาบเงินตวัดฟาดร่างปีศาจเป็นเศษเล็กเศษน้อย แล้วสลายหายไปในพริบตาเหลือไว้แต่คราบน้ำลายเหนียว ๆ เป็นของต่างหน้า
ติ๊งต่อง สถานีการ์ ดู นอร์
ทันทีที่ได้ยินเสียงประกาศ โคลินรีบพุ่งตัวออกจากรถไฟใต้ดินเพื่อกลับบ้านคิดจะล้างเนื้อตัวให้สะอาดเสียหน่อย กลับเจอปีศาจพันธุ์เดียวกันนับสิบนอกสถานีรถไฟ
เขาเดินก้มหน้าไม่มองพวกนั้น แต่โคลินมักจะดึงดูดปีศาจเข้าหาตัวอยู่เสมอ ครั้งนี้ ดวงตาสีเขียวนับสิบคู่จึงจ้องมองเขาพร้อมแสยะยิ้มหวานให้
เฮ้อ ไม่รู้ว่าวันนี้เขาถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้ว เขาหลับตาลงครู่หนึ่งแล้วเรียกดาบเงินมาถือไว้ข้างกาย
“เข้ามาเลย!” เขาตะโกนบอกพวกมัน เวลานี้ไม่จำเป็นต้องแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นอีกต่อไปแล้ว แสงสว่างจากดาบเงินกวัดไกวตามแรงของโคลิน ฟันเข้าที่ร่างปีศาจอย่างง่ายดาย
นับว่าคืนนี้โคลินยังพอมีโชคดีอยู่บ้าง แม้ว่าต้องประมือกับปีศาจจำนวนมาก หากแต่มันก็เป็นเพียงปีศาจระดับล่างเท่านั้น สติสัมปชัญญะแทบไม่มี ต่างจากตัวที่เขาพบเมื่อสามวันก่อน นอกจากปะทะฝีมือกันแล้วยังต้องปะทะฝีปากจนเจ็บคอเสียงแหบแห้งอีกต่างหาก
ฉับ
คมดาบครั้งสุดท้ายตัดที่คอของปีศาจสามหางจนร่างของมันสลายไป โคลินถอนหายใจเป็นรอบสุดท้ายก่อนจะเก็บดาบเงินไว้ที่เดิม
“หวังว่าคืนนี้คงจะไม่มีอะไรอีกแล้วนะ” เขาพึมพำกับตัวเอง พลางก้มมองนาฬิกาบอกเวลา 00.29 น. “ทำไมเวลาเดินช้าแบบนี้เนี่ยยยย!”
เสียงตะโกนอย่างสิ้นหวังของโคลินดังก้อง เขารีบวิ่งกลับบ้านของตัวเอง หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแขกไม่ได้รับเชิญเป็นหนที่สอง
เดิมทีแล้วผู้มีหน้าที่รับผิดชอบตามล่าปีศาจก็คือยมทูตเงาและทูตสวรรค์ เพราะปีศาจบางตนมีพลังไม่สิ้นสุดทำให้ยากจะต่อกร หากมนุษย์อย่างโคลินพุ่งเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ประเมินความสามารถของตัวเอง อาจจะทำให้ชีวิตสั้นลงก็เป็นได้
บ้านสามชั้นของโคลินถือเป็นเซฟโซนที่วิญญาณร้ายไม่อาจย่างกรายเข้ามาก่อความรำคาญได้ ส่วนปีศาจนั้นนับว่าไม่ต้องกังวลเพราะเวลานี้มันคงจะฮึกเหิมท้าทายยมทูตเงากับทูตสวรรค์อีกฟากหนึ่งของเมือง
โคลินอาบน้ำล้างตัวแล้วขึ้นมานอนบนเตียงนุ่มติดกับหน้าต่างกระจกบานใหญ่ทำให้เขามองเห็นดวงจันทร์กลมโตท่ามกลางหมู่ดาวบนท้องฟ้ากว้างใหญ่ แสงจันทร์ส่องใบหน้ารูปงามได้สัดส่วน
จู่ ๆ โคลินก็รู้สึกได้ว่ามีพลังบางอย่างแอบซ่อนตัวอยู่ในความมืด ทำให้นึกได้ว่าแม้จะอยู่ในบ้านของตัวเองก็ไม่อาจหลบมันได้พ้น
เงามืดปรากฏขึ้นใกล้ ๆ เขา ดูเหมือนปีศาจตนหนึ่งแต่มันไม่มีท่าทีว่าจะทำร้ายเขา โคลินค่อนข้างมั่นใจและบางทีมันอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่มีปีศาจตนใดเข้ามาใกล้บริเวณบ้านเขาก็ได้
สายตาจริงจังกำลังจ้องกลับไปที่เงามืดนั้น เรียกดาบเงินออกมาแล้วจิ้มไปเบา ๆ แต่ไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นสักนิด
“เฮ้อ ในเมื่อไล่แล้วไม่ไป งั้นก็อยู่เฝ้าบ้านหน่อยแล้วกัน ผมขอนอนสักงีบ ขอบคุณนะ” โคลินเอ่ยปาก ไม่ใช่ว่าเขาไว้ใจอะไรมันนักหนา แต่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดแล้ว ถ้ามันคิดจะฆ่าเขาละก็ คงไม่ปล่อยให้เขาโตมาจนถึงป่านนี้หรอก
พูดจบโคลินก็กอดหมอนข้างหลับตานอนอย่างสบายใจ พลันมีมือข้างหนึ่งเอื้อมมาลูบใบหน้าของโคลินอย่างแผ่วเบาโดยที่เขาแทบไม่รู้สึกตัว ก่อนจะผลุบหายไปในเงานั้นดังเดิม