ยี่สิบปีก่อน
พ่อกับแม่ของโคลินเริ่มสังเกตได้ว่าเขาป่วยง่าย ตัวร้อนจี๋ ขอบตาดำคล้ำ สีผิวซีดเซียว หากแต่เมื่อพบแพทย์แล้วกลับหาสาเหตุของอาการป่วยพวกนั้นไม่ได้
โคลินมักจะเก็บตัวเงียบ มีสีหน้าหวาดผวาตลอดเวลา บางครั้งร้องไห้ไม่ยอมหยุดราวกับกลัวอะไรบางอย่าง บางครั้งเหม่อลอยเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง นับวันนิสัยร่าเริงของเด็กน้อยวัยห้าขวบคนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป
พ่อกับแม่พาโคลินไปที่โบสถ์แห่งหนึ่งเพราะได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือของคุณพ่อบาทหลวงประจำโบสถ์ ในเมื่อลองทุกทางแล้วแต่ไม่อาจหาทางช่วยลูกชายตัวน้อยได้ พวกเขาจึงลองมาที่นี่ตามคำแนะนำของเพื่อนสนิท
“คุณพ่อคะ พอจะช่วยโคลินได้ไหมคะ” เลน่าผู้เป็นมารดาของโคลินเอ่ยปาก สีหน้าวิตกกังวลเป็นอย่างมาก
บาทหลวงหนุ่มผู้นี้มองโคลินด้วยสายตาอ่อนโยนพลางพยักหน้า “ตามมาเถอะ” เขาบอกกับทั้งสองคน น้ำเสียงสุภาพปลอบประโลมให้หายกังวล
เลน่าสบตากับกัสปาร์แล้วรีบอุ้มโคลินตามบาทหลวงไปด้วยสีหน้ามีความหวัง
บาทหลวงเซนถือกระเป๋าหนังสีดำออกมาจากตู้เก็บของศักดิ์สิทธิ์ วางไว้บนโต๊ะไม้ตัวใหญ่ก่อนจะหันไปหาเด็กน้อยที่นั่งกอดแม่ของเขา
“โคลิน ไม่ต้องกลัวนะ” เขาพึมพำสวดมนต์ภาษาโบราณที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน พลางแต้มขี้ผึ้งทำสัญลักษณ์บนหน้าผากของเด็กน้อย จากนั้นจึงพรมน้ำเสกตามพิธีกรรม “เสร็จแล้ว”
“เท่านี้เหรอครับ คุณพ่อ” กัสปาร์รู้สึกสงสัย นึกว่าจะมีพิธีกรรมมากมายเหมือนอย่างที่ได้ยินคนเล่าลือมา
“อื้ม” บาทหลวงพยักหน้าแล้วยิ้มให้ทั้งสองคน พร้อมมอบกำยานแฟรงคินเซนส์กับขวดแก้วเล็ก ๆ ข้างในมีผงสีขาวกลิ่นคล้ายกุหลาบให้ทั้งสองคน “นำขวดแก้วไปวางไว้ในห้องนอนของโคลิน แล้วจุดกำยานตลอดสามวันอย่าให้ขาด ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ โคลินจะปลอดภัย”
กัสปาร์พยักหน้าอย่างงง ๆ ในขณะที่เลน่าจะลองเชื่อเช่นนั้นเพราะหากเป็นวิธีที่ทำให้ลูกชายกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมได้ เธอก็จะลองทำ
“คุณพ่อครับ เป็นเพราะอะไรหรือครับ” สุดท้ายแล้วกัสปาร์ก็อดถามออกไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาเจอทั้งคนทรง คนทำพิธีจากหลายแห่ง
ทุกคนต่างก็บอกเช่นเดียวกันว่าโคลินจะหายดี ทว่า อาการกลับแย่ลงทุกครั้ง ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าของพวกนี้จะช่วยลูกเขาได้
“โคลินได้รับพรจากสวรรค์ให้ทำภารกิจบางอย่างบนโลกมนุษย์ เดิมทีพลังของเขาควรจะตื่นขึ้นเมื่ออายุได้ยี่สิบปี ดวงตามองเห็น
วิญญาณ พ่อเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เขาถึงรู้ตัวได้เร็วขนาดนั้น” บาทหลวงเซนลูบเรือนผมของเด็กตัวน้อย
เลน่าสังเกตเห็นลูกชายกำลังยิ้มให้บาทหลวงผู้นี้จึงสะกิดแขนของกัสปาร์ “คุณ ดูสิ”
“พิธีกรรมเมื่อครู่เป็นการผนึกพลังของเขา จนกว่าจะอายุครบกำหนด ปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตวัยเด็กให้สนุกสนานดีกว่า ช่วยกันเลี้ยงดูเขาด้วยความรักจะเป็นกำลังที่ดีช่วยให้เขาผ่านหนทางในวันข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง” บาทหลวงผู้นี้กำชับทั้งสองคนด้วยสีหน้าจริงจังราวกับต้องการฝากฝังหน้าที่สำคัญไว้กับพวกเขาสองคน
นับตั้งแต่นั้นมา เด็กน้อยโคลินก็อาการดีขึ้นอย่างที่เขาพูดไว้จริง ๆ และอาจจะดีขึ้นกว่าเดิมมากโข
“พ่อครับ! ช่วยผมด้วย” เสียงเจื้อยแจ้วของเขาดังมาจากยอดต้นไม้สูงสองเมตรหน้าบ้าน
กัสปาร์วิ่งออกมาหาเขาตามเสียงเรียก สีหน้าตื่นตระหนก แต่เมื่อได้เห็นว่าลูกชายของตัวเองเกาะยอดไม้แน่นก็หัวเราะออกมา ก่อนจะปีนไปรับเขาลงมาข้างล่าง
“วันหลังลูกจะปีนขึ้นไปอีกไหม” กัสปาร์หรี่ตามองเด็กดื้อ คิดว่าจะได้ยินคำว่า ไม่แล้วครับ แต่กลับผิดคาด
“อื้ม ไม่รู้สิครับ” สีหน้าของเด็กน้อยครุ่นคิด ไม่คิดว่าตัวเองทำสิ่งใดผิดไป “พ่อดูสิ อาเมเลียก็อยู่ข้างบนนะครับ” พูดจบเขาก็ชี้ไปที่ต้นไม้ข้างกัน
คนเป็นพ่อหันหน้าไปดูเห็นลูกสาวของตัวเองนั่งห้อยขาบนกิ่งไม้ใหญ่ก็แทบจะหัวใจตกไปอยู่ตาตุ่ม เข้าใจแล้วว่าโคลินกำลังเลียนแบบพี่สาวของเขา
“อาเมเลีย ลงมาเดี๋ยวนี้” กัสปาร์ทำเสียงดุ ครั้นลูกทั้งสองยืนนิ่งก็ถึงเวลาอบรมสั่งสอนยกใหญ่
“เข้าใจแล้วครับ” โคลินทำเสียงอ่อย ยื่นมือมาจับชายเสื้อของผู้เป็นพ่อ “ผมสัญญา”
กัสปาร์ลูบหัวเด็กน้อยพลางหันหน้ามาหาอาเมเลีย รอคำตอบของลูกสาว
“พ่อคะ สมัครชมรมปีนหน้าผาจำลองให้หนูได้ไหม” เธอกล่าวน้ำเสียงสดใส แววตาไม่ได้สลดแม้แต่น้อย “หนูสัญญา ไม่ปีนต้นไม้แล้ว จริง ๆ นะคะ”
“ก็ได้ ๆ” สุดท้ายแล้วกัสปาร์ต้องยอมใจอ่อน อย่างน้อยที่ชมรมก็มีระบบความปลอดภัยมากกว่าต้นไม้หน้าบ้าน
“อาหารเย็นเสร็จแล้ว!” เลน่าส่งเสียงบอกทุกคน กลิ่นหอมกรุ่นของซอสมะเขือเทศ เชดด้าชีส มอสซาเรลล่าชีสรวมถึงเครื่องเคียงต่าง ๆ โชยออกมานอกบ้านทำน้ำลายสอ จนทุกคนอดใจไม่ไหวรีบวิ่งเข้าบ้านนั่งประจำที่ของตัวเองอย่างรวดเร็ว
แล้วเย็นวันนั้นก็ผ่านไปอย่างช้า ๆ ชีวิตประจำวันของโคลินเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นภายในครอบครัวที่ทุกคนมีให้กัน เด็กน้อยจึงร่าเริงสดใสอย่างที่เคยเป็น
จนกระทั่งสองปีต่อมา โคลินเริ่มมีอาการเดิมอีกครั้งและเหมือนจะรุนแรงมากกว่าเท่าตัว
กัสปาร์กับเลน่ารู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งคู่จึงรีบพาเขากลับมาที่โบสถ์แห่งเดิม
“คุณพ่อคะ มีวิธีอื่นอีกไหมคะ” เธออ้อนวอนขอร้อง “พวกเราไม่อยากให้โคลินต้องรับหน้าที่นั่นแล้ว ดูสิคะว่าเขาหวาดกลัวมันแค่ไหน”
บาทหลวงเซนส่ายหน้าตอบว่า “หน้าที่นี้สวรรค์เป็นคนเลือก วันใดวันหนึ่งเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน” สีหน้าของบาทหลวงผู้นี้ไม่ได้วิตกกังวลแม้แต่น้อย
“อย่ากังวลไปเลย บอกความจริงแล้วให้เขาเริ่มยอมรับมันจะดีกว่า พ่อขอคุยกับโคลินตามลำพังได้ไหม” บาทหลวงเซนขออนุญาตแล้วจูงมือโคลินไปนั่งด้านหน้าพระแท่น
เด็กน้อยพอจะรู้สึกโล่งใจขึ้นบ้างเมื่อได้อยู่ใกล้บาทหลวงหนุ่ม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงรู้สึกว่าคนผู้นี้ปกป้องเขาจากสิ่งที่น่ากลัวเหล่านั้นได้
“โคลิน พ่อคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ลูกจะต้องแบกรับหน้าที่นั้นไว้” เขาเอ่ยปากอธิบายสิ่งที่เด็กน้อยผู้นี้ต้องทำ พลางสวมสร้อยเส้นหนึ่งที่มีจี้รูปดาบเงินให้เขา
ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง บาทหลวงเซนจึงจูงมือโคลินกลับมาหาพ่อและแม่ของเขา พูดกำชับทั้งสองว่า “โคลินเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งหมดมีที่มาและที่ไป ต่อจากนี้ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงมากนัก เขาจะค่อย ๆ เติบโตและผ่านมันไปได้ อนาคตข้างหน้าโคลินจะช่วยเหลือผู้อื่นได้มากมายเลยทีเดียว”
กัสปาร์กับเลน่ายังคงกังวลใจเพราะไม่อยากให้ลูกต้องแบกรับภาระยิ่งใหญ่ตั้งแต่อายุเท่านี้
ก่อนกลับ บาทหลวงเซนยื่นถุงเครื่องรางที่มีอักขระโบราณให้ทั้งสอง “ให้เขาพกติดตัวไว้จะช่วยป้องกันวิญญาณร้ายได้บ้าง หากวันใดโคลินแข็งแกร่งมากขึ้น เขาจะเอาชนะวิญญาณพวกนั้นได้โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องรางนี้อีกต่อไป”