หลังจากฟังเรื่องเล่าของโคลินเรียบร้อยแล้ว มีอาก็รู้สึกเหมือนสิ่งที่เขาพูดดูจะเป็นไปได้
“นายก็เลยคิดว่า อลันกำลังรอจูเลียอยู่งั้นเหรอ” น้ำเสียงของมีอายังคงเจือปนความสงสัยอยู่หลายส่วน
“คุณคงจะคิดว่าความทรงจำวันแต่งงานหรืออะไรพวกนั้นน่าจะเป็นเรื่องที่น่าจดจำมากกว่าใช่ไหมครับ” โคลินถามได้ตรงใจเธอราวกับรู้ว่าคิดอะไรอยู่
“อื้ม นายดูสิ วันนี้เป็นแค่วันที่ทั้งสองคนเจอกันครั้งแรกเองนะ ไม่ใช่วันที่ขอคบกันด้วยซ้ำไป” มีอาอาจจะรู้สึกต่างจากโคลิน อยู่บ้าง
“แต่ก็เป็นเพราะการพบกันครั้งแรกไม่ใช่เหรอครับ ที่ทำให้ทั้งสองได้รู้จักกัน และรักกันจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต” โคลินรู้สึกว่าความรักของคนทั้งคู่น่าอิจฉามากกว่าใคร
รักครั้งแรกและรักสุดท้ายอันยาวนาน แม้จะหลงลืมทุกสิ่งอย่างแต่ก็ไม่เคยลืมจุดเริ่มต้น
“มีอา คุณบอกผมได้ไหม คุณยายจูเลียเป็นยังไงบ้าง” โคลินถามเธอคิดแผนออกสองสามอย่าง
“นายคงไม่ได้คิดจะให้ทั้งสองคนพบกันหรอกใช่ไหม” เธอเอ่ยปากดักคออย่างรู้ทัน
“ทำได้ไม่ใช่หรือครับ การบอกลาครั้งสุดท้าย” เขายืนกราน
“เหลือจะเชื่อเลย” มีอาถอนหายใจ แต่ก็คิดว่าแผนของเขาย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว “จูเลียนอนอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ไกลจากที่นี่”
“ไม่ใช่อย่างที่ผมคิดใช่ไหม มีอา” โคลินขมวดคิ้ว
เธอถอนหายใจยืนยันว่าเป็นอย่างที่โคลินคิดเอาไว้
“เวลาไหนหรือครับ” โคลินถามย้ำให้แน่ใจ
หลังจากได้ยินคำตอบ เขาก็พยักหน้ารับรู้ “ถ้าอย่างนั้น เรื่องของคุณตายังพอจะรออีกสักสองสามวันได้ไหมครับ”
“อื้ม” มีอาเข้าใจ ไม่แปลกที่โคลินอยากรอให้ถึงช่วงเวลานั้น ระหว่างนี้เธอจึงคอยอารักขาวิญญาณของอลันอยู่ห่าง ๆ กันไม่ให้สิ่งชั่วร้ายเข้ามาใกล้
วันรุ่งขึ้น
โคลินรีบตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อจะมาโรงเรียนตามเวลาเดิมที่เคยพบวิญญาณคุณตา คิดว่าอย่างน้อยช่วงสองวันนี้ควรจะพาคุณตาไปอยู่ที่บ้านของเขาก่อนเพื่อความปลอดภัยจะดีกว่า
“อลัน!” น้ำเสียงสดใสตะโกนเรียกมาแต่ไกล
ทันทีที่เขาเห็นโคลิน เขาก็ทำหน้างุนงงว่าเด็กหนุ่มคนนี้รู้จักชื่อเขาได้อย่างไร ท่าทางที่แสดงออกมาจึงดูระแวดระวังอยู่บ้าง
“ฉันรู้จักนายเหรอ” อลันถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“อื้ม ใช่สิ ฉันเป็นเพื่อนนายนี่นา จำไม่ได้เหรอ” โคลินพูดอย่างสบายใจ “เรามีนัดไปติวหนังสือที่บ้านฉัน นายลืมไปแล้วเหรอ”
“ไม่เห็นจำได้ นายอย่ามาหลอกฉันเลยน่า ฉันไม่เคยต้องติวหนังสือให้ปวดหัวสักหน่อย” อลันส่ายหน้าไม่เชื่อโคลิน
“อลัน นายก็รู้ว่าฉันไม่เก่งเลข นายบอกว่าจะช่วยติวให้ไง” โคลินยังอ้างเรื่องนู่นนี่ไปเรื่อยเพื่อหว่านล้อมให้อลันยอมตกลงไปที่บ้านของเขา
ราวกับว่าอลันคงจะพอจำได้ลาง ๆ ว่าเพื่อนคนหนึ่งของเขาเรียนไม่ค่อยเก่งพลางคิดว่าคนนั้นคงเป็นโคลินจึงยอมเออออตามเขากลับบ้านอย่างว่าง่าย
โคลินยิ้มแป้นส่งสายตามองไปที่ด้านหลังอาคารเรียน มีอาที่แอบอยู่ตรงนั้นกรอกตามองบนกลับมาให้เขา
จากนั้นทั้งคู่ก็พากันกลับบ้านของโคลิน ระหว่างทางมีวิญญาณอื่น ๆ มองมาที่ทั้งคู่คล้ายสงสัย พลันร่างของมีอาปรากฏขึ้นวิญญาณพวกนั้นก็หายแวบหนีไปทันที
ครั้นเข้ามาด้านในบ้านเรียบร้อยแล้ว โคลินก็ท่องบทสวดหนึ่งขึ้นมา แล้วพาวิญญาณคุณตาเดินไปที่กระจกบานใหญ่ในห้องใต้หลังคาของตัวเอง
“อลัน นายมานี่สิ” เขาเรียกอลันให้เข้าไปใกล้ ๆ
ทันทีที่อลันได้เห็นภาพสะท้อนจากกระจก เขาก็หยุดยืนตรงนั้นแล้วยกมือโบกไปมา พอเห็นว่าร่างในกระจกเลียนแบบท่าทางของเขา อลันก็เริ่มจับที่หน้าของตัวเองแล้วหันมาหาโคลินด้วยความอยากรู้
“นี่ฉันเหรอ” น้ำเสียงสับสนของเขาทำให้โคลินถอนหายใจก่อนจะตอบไป
“อื้ม” เขาพยักหน้า
“ทำไมฉันถึงได้ดูแก่ขนาดนี้ นายกำลังเล่นมายากลอยู่หรือไง” อลันเดินไปดูด้านหลังกระจกบานใหญ่เพราะคิดว่ามีอะไรซ่อนอยู่
“อลัน นายอาจจะลืมหรือไม่รู้ตัว แต่ถึงเวลาที่นายต้องยอมรับความจริงได้แล้วนะ” โคลินปลอบใจ เป็นเรื่องยากที่จะบอกให้วิญญาณตระหนักได้ว่าเขาไม่มีชีวิตอยู่ในโลกคนเป็นอีกต่อไปแล้ว
“ความจริงอะไร” หน้าตาของอลันดูเศร้าหมอง นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
โคลินดีดนิ้วหนึ่งครั้งเรียกสติของอลันกลับมา พลันร่างของมีอาปรากฏขึ้นพร้อมสมุดบันทึก
เธอขานชื่อและอายุของอลัน รวมถึงสาเหตุการตาย
อลันมีสีหน้าตื่นตระหนก คิดจะหายตัวหนีไปจากที่นั่น ทว่า ไม่เป็นผล
“ปล่อยฉันนะ นายหลอกฉันมาที่นี่เหรอ” อลันโวยวายยกใหญ่พุ่งชนประตูอย่างไม่ยอมแพ้
“เปล่านะ คุณตาใจเย็น ๆ ก่อนสิครับ” โคลินร้องห้ามให้เขาเลิกล้มความคิด “ผมรู้นะว่าคุณตามีเรื่องไม่สบายใจ คุณตาจำเรื่องนั้นไม่ได้ใช่ไหมครับ”
คำพูดของโคลินทำให้อลันนึกขึ้นมาได้ว่าเขากำลังรอคอยอะไรบางอย่าง หากแต่นึกเท่าใดก็ยังนึกไม่ออก เขาทรุดตัวนั่งลงกุมหัวเอาไว้
“ผมช่วยคุณตาได้นะครับ ฟังผมก่อน ใจเย็น ๆ” โคลินเอื้อมมือไปลูบไหล่ของอลันอย่างอ่อนโยน แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“วิญญาณเร่ร่อนไม่มีสิทธิ์เลือกมากหรอกนะ คุณจะตามฉันไปเดี๋ยวนี้หรือทำอย่างที่โคลินเล่าให้ฟังก็แล้วแต่คุณ” มีอายื่นข้อเสนอให้วิญญาณคุณตา เธอต้องการจบงานนี้ให้เร็วที่สุดเพราะหากไม่ทันเวลาหรืออลันหนีหายไปอีกจนกลายเป็นวิญญาณร้าย งานของยมทูตคงจะหนักหนาขึ้นกว่าเดิม
“มีอา คุณใจร้อนอีกแล้ว คุณตาไม่หนีไปไหนหรอก ใช่ไหมครับ” โคลินหันมาถามอลันอีกครั้ง กลายเป็นฝ่ายประนีประนอมให้คนทั้งสอง
“อื้ม” อลันพยักหน้าตกลง
สองสามวันต่อมา
โคลินถึงขั้นโดดเรียนวิชาคณิตศาสตร์ครูคนเดิมเพื่อทำภารกิจใหญ่หลวงของเขาให้สำเร็จ ซึ่งจริง ๆ แล้วถือเป็นข้ออ้างไปอย่างนั้นเพราะไม่ชอบเรียนวิชานี้
เขานัดให้มีอาพาวิญญาณของอลันมาที่เดิมเวลาเดิมตามข้อความที่บันทึกไว้ในระเบียนวิญญาณ
จากนั้น วงแหวนสีแดงอีกวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นพร้อมร่างของยมทูตชายกับหญิงสาวในวันวาน
“อลัน!” น้ำเสียงสดใสของเธอเรียกวิญญาณคุณตา พร้อมโบกมือให้ด้วยความดีใจ
อลันลุกขึ้นยืนในทันทีสีหน้ายิ้มแย้มเป็นครั้งแรก เวลานี้ร่างวิญญาณของเขาเปลี่ยนเป็นร่างเดิมในช่วงอายุสิบแปดปี เอ่ยทักทาย “จูเลีย”
มีอามองหน้าโคลินอย่างไม่เชื่อสายตา สุดท้ายแล้วก็ยอมรับว่าสิ่งที่เขาคิดถูกต้อง
จูเลียวิ่งเข้ามาหาอลันด้วยความคิดถึง น้ำเสียงและรอยยิ้มยังเหมือนเคย ทั้งสองคนโอบกอดกันเนิ่นนาน เวลานี้อลันจำเรื่องราวทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาในชีวิตได้แล้ว
“จูเลีย ผมขอโทษที่ลืมคุณ” อลันน้ำเสียงเศร้าสร้อย รู้ว่าที่ผ่านมาเธอคงลำบากไม่น้อยที่ต้องดูแลคนป่วยอย่างเขา
“แต่ตอนนี้คุณจำฉันได้แล้ว ไม่เป็นไรนะอลัน” เธอเอื้อมมือจับใบหน้าของคู่ชีวิตอย่างอ่อนโยน
แม้อลันจะลืมทุกอย่างแต่ก็ยังคงจำสถานที่ที่เขาพบจูเลียครั้งแรกได้ ส่วนเธอยังคงยึดถือคำสัญญาในวันแต่งงานว่าทั้งคู่จะใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างกันตลอดไป ก็ไม่ยอมปล่อยให้อลันเป็นวิญญาณโดดเดี่ยวนานเกินไป จูเลียมาพบเขาอีกครั้งเหมือนเมื่อครั้งอดีต เพื่อออกเดินทางสู่โลกหลังความตายไปด้วยกัน
โคลินยืนดูทั้งสองพูดคุยกันด้วยสีหน้ามีความสุขและสบายใจ พลางหันไปยิ้มให้มีอาและเดม่อนยมทูตหนุ่มอีกคน เอ่ยขอบคุณที่พวกเขาให้ความช่วยเหลือ